Skip to main content

บุคลิกภายนอกและนิสัยภายในของเขา ไม่ได้บ่งบอกเลยว่าเขาจะมีท่าทีสนใจในธรรมะและปฏิบัติเจริญสติอย่างสม่ำเสมอ หลายๆ คนที่รู้จักเขาต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่น่าเป็นไปได้ที่เขาจะมีความคิดที่อยากบวช

เรื่องของเขาน่าสนใจตรงที่ว่า อยู่ดีๆ เขาก็บอกกับข้าพเจ้าและเพื่อนๆ ที่ทำงานด้วยกันว่าอยากจะบวช

เพื่อนคนนี้ของข้าพเจ้า แต่เดิมเป็นคนชอบเที่ยวกลางคืน ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ แถมขี้หลีอีกต่างหาก จนวันหนึ่งตัวเองได้ไปปฏิบัติวิปัสสนา, เวลา 10 วันของการปฏิบัติ ทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงไป เริ่มไม่เที่ยว เริ่มไม่ดื่มเหล้า แต่ยังคงความขี้หลีสาวๆ และสูบบุหรี่อยู่

ทุกๆ คนต่างรับรู้อยู่อย่างห่างๆ ว่าเขาตั้งใจปฏิบัติ และเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงมากขึ้นๆ เช่น เริ่มซื้อหนังสือธรรมะมาอ่าน ชอบคุยเรื่องกฎแห่งกรรม คุยภาษาธรรม เรื่องสมาธิ เรื่องการเจริญสติ มิหนำซ้ำยังชอบเก็บตัวอยู่คนเดียว และช่วงหลังๆ กลายเป็นคนกินมังสวิรัติ ไม่ทานเนื้อสัตว์เลย

ข้าพเจ้าชื่นชมในความตั้งใจในธรรมปฏิบัติของเขาและเฝ้าภาวนาให้เขาได้พบกับหนทางแห่งการพ้นทุกข์อย่างแท้จริง ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าได้พบและได้สนทนากับเขาถึงผลของการปฏิบัติ

“ผมก็นั่งสมาธิทำอานาปานสติแล้วก็ทำวิปัสสนาต่อ ตอนเช้าและก่อนนอนอย่างละเกือบชั่วโมง ส่วนตอนกลางวันก็ดูลมหายใจของตัวเองไปเรื่อยๆ เฝ้าดูจิตของตัวเองไปตลอด ให้รู้ตัว ทั่วพร้อมอยู่เสมอๆ” เขาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังและแนะนำให้ข้าพเจ้าลองปฏิบัติแบบเขา

เขาเรียนรู้แนวทางปฏิบัติของพระอาจารย์หลายท่าน และเรียนรู้เรื่องสมาธิและวิปัสสนาหลายอย่าง เช่น เรื่องฌานสมาบัติ เรื่องนิวรณ์ 5 เรื่องสติปัฏฐานสี่ เรื่องมโนมยิทธิ หรือแม้แต่อภิญญา 6 และการถอดจิต ซึ่งข้าพเจ้าสงสัยว่าทำไมเขาต้องศึกษาเยอะมากมายขนาดนี้

“ลองศึกษาดูหลายๆ แนว คือถ้าเราจะปฏิบัติก็น่าจะรู้จักหลักต่างๆ ด้วย คือมีปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวท คือการปฏิบัติจะรู้ได้ว่าเราทำอะไรไปถึงไหน น่าจะลองศึกษาจากผู้รู้แล้วนำมาประยุกต์ให้เข้ากับตัวเอง ให้เข้ากับจริตของเรา” เขาตอบข้อสงสัยนั้น

หลังจากที่ได้คุยกัน ข้าพเจ้าลองทำอย่างที่เขาแนะนำ และได้นำมาประยุกต์ให้เข้ากับชีวิตตัวเองในการดำเนินประจำวัน ซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นการนำมาปรับได้อย่างลงตัว เหมาะเจาะอย่างยิ่ง

ต่อมาไม่นานจากที่ได้พบกันครานั้น ข้าพเจ้าทราบข่าวว่าเขาต้องการที่จะบวช ด้วยเหตุผลที่ว่าหลังจากไปชมภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่อง “พระพุทธเจ้า” แล้ว เขาก็ปลื้มและอยากเป็นสาวกสงฆ์ของพระพุทธเจ้า และอยากหาทางพ้นทุกข์ในร่มกาสาวพัตรอย่างจริงจัง

หลายคนที่ทราบข่าวของเขาต่างพูดคุยกันไปต่างๆ นานา บ้างเห็นด้วย อนุโมทนา บ้างไม่เห็นด้วยเพราะอยากให้เขาทำงานที่รับผิดชอบให้เสร็จเสียก่อนค่อยบวช หนักกว่านั้นคือทั้งพ่อและแม่ของเขาต่างไม่อยากให้ลูกชายของตนบวชเพราะเหตุผลอะไรก็ไม่อาจทราบได้

“ถึงเราบวชกายไม่ได้ เราบวชที่ใจเราไหม” มีคนหนึ่งเสนอแนะเขา
“อื้ม ครับ ผมไม่ลังเลใจที่จะบวชนะครับ แต่ผมกลัวว่าวันหนึ่งถ้าผมเป็นอะไรไปแล้วไม่ได้บวชคงจะเสียใจ ผมเปลี่ยนแปลงไปเพราะธรรมะของพระพุทธเจ้า ถ้าผมไมได้รู้ ไม่ได้ปฏิบัติ ผมคงเป็นคนโง่เขลาที่กิน เที่ยว เล่นไปวันๆ ผมคิดมาตลอดว่าการกินเที่ยวเล่นมันเป็นความสุขจริงๆ แต่ที่ไหนได้ มันเป็นแค่สุขทางโลกจอมปลอม ไม่ได้แก้ทุกข์ของเราได้จริงๆ” เขาตอบกลับเพื่อนผู้นั้น
พร้อมกับพูดเสริมว่า “พ่อแม่ไม่ให้บวชก็ค่อยว่ากัน แต่ยังไงผมก็อยากบวช เหตุผลมันตอบไม่ได้ มันมาจากความรู้สึก”

วันหนึ่งเขาโทรศัพท์มาถามเพื่อนทางธรรมเช่นข้าพเจ้าว่าควรทำยังไงดี เขาอยากบวชแต่มีงาน มีพ่อแม่เป็นอุปสรรค เขาบอกว่าเขาคิดเหมือนดั่งมีมารมาขวางหรือเทวดามาทดสอบจิตใจจริงๆ ว่าเขาอยากบวชจริงแท้ขนาดไหนกัน เป็นความคิดชั่ววูบหรือเป็นศรัทธาจริงๆ

เขาถาม ข้าพเจ้าตอบ

“เอายังไงดีครับ”
“ลองปฏิบัติต่อไปอีกนิดไหม ดูจิตของตัวเองไปเรื่อยๆ”
“แล้วถ้าผมจะบวชแล้วไม่สึกหรือหนีไปเลยไม่ต้องบอกใครจะดีไหม”
“จะดีเหรอ ถ้าเราบวชแล้ว ทำให้คนอื่นทุกข์ หรือเบียดเบียนเขามันก็เป็นการสร้างทุกข์ให้คนอื่นนะ”
“ลองไปอยู่วัดจะดีไหม”
“ดี ไปเลย”
“ถ้าไม่อยากบวชล่ะ”
“ก็ไม่ต้องบวช บวชใจก็ดีนะ”

“บวชใจ เป็นยังไง”
“หมั่นให้ทาน รักษาศีล ปฏิบัติภาวนาสม่ำเสมอเป็นฆราวาสก็ทำได้ บวชใจ การบวชไม่ได้อยู่ว่าจะใส่ผ้าเหลือง โกนหัว เราเป็นแบบเรา เราก็เป็นพระได้ พระอยู่ที่ใจ บวชที่ใจ ให้ธรรมอยู่ที่ใจเรา”
“แต่กิเลสเยอะ”
“ยังไง”
“กาม โกรธ เกลียด”
“แล้ว....”
“บวชเป็นพระอยู่วัดป่าจะได้ไม่ต้องมีผัสสะ ไม่มีทุกข์ กิเลส โทสะ มากระทบจิตให้เกิดปรุงแต่ง”
“แสดงว่าบวชหนีปัญหา ทำไมไม่เผชิญกับมัน ต่อสู้มัน เอาชนะให้ได้”

“กลัวทำไม่ได้”
“ทำไม”
“เราอายุยี่สิบสองปีเท่ากัน เรายังเป็นหนุ่ม เป็นวัยรุ่น โอกาสที่จะเกิดอะไรที่กิเลสพาไปมันมีเยอะ สภาพแวดล้อมมันไม่เอื้อต่อการปฏิบัติ มันไม่สัปปายะดีพอ”
“ใช่”
 “ผมเลยอยากบวช”
“อื้ม.........”
“แล้วจะบวชดีไหมละตอนนี้”
“ยังๆ........ รอจังหวะไปก่อน พ่อกับแม่สำคัญ การบวชต้องได้รับความเห็นชอบจากเขา”
“พูดหยั่งกับตัวเองจะบวชแล้วพ่อกับแม่ไม่ให้บวชเลยเนอะ”
“ใช่, อยากบวชเหมือนกันแต่พ่อกับแม่ไม่ให้บวช”
“.........”
“..........”
“บุพการีไม่ให้บวช แต่อยากบวช ทำยังไงดีล่ะ” ใครคนหนึ่งพูดก่อนที่ความเงียบจะมาเยือน.......

 

บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
ชีวิตนี้แสนสั้นและใจก็เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา เช้าสายบ่ายค่ำจิตใจไม่เหมือนเดิม กายก็มีทั้งสุขและทุกข์แปรปรวนไปตามธรรมดา ชีวิตแต่ละวันจึงแสนจะสั้นและดูแล้วไม่เที่ยงเอาเสียเลย จนบางครั้งรู้สึกกลัวว่าจะไม่ได้ทำอะไรก่อนที่ลมหายใจจะหมดไป จึงต้องใคร่ครวญคิดคำนึงอยู่เสมอๆ ว่าตั้งแต่เกิดมามีอะไรที่ตัวเองยังไม่ได้ทำบ้าง และก็ควรจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ของชีวิตนี้เพื่อลงมือทำสิ่งนั้นอย่างจริงจังไม่ใช่แค่คิดและปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ
พันธกุมภา
เร็วๆ นี้ผมและญาติธรรมกำลังร่วมกันดำเนินการจัดพิมพ์ธรรมใจไดอารี่ ฉบับธรรมทาน ซึ่งพี่ๆ ญาติธรรม ทุกๆ คน ที่ได้มาพบเจอ รู้จัก สนทนาธรรมกัน ได้ช่วยเหลือ เกื้อกูล ให้คำปรึกษา แนะนำต่างๆ มากมาย และเมื่อมีผู้เสนอให้ทำ ธรรมใจไดอารี่ขึ้น
พันธกุมภา
สำหรับผมกับแฟน เราทั้งสองคบกันด้วยเหตุแห่งความศรัทธาที่มีต่อกัน ในวันที่เราเจอกันครั้งแรก แม้ไม่ได้รู้สึกอยากจะได้มาครอบครองแต่ด้วยความที่เธอเป็นวัยรุ่นคนหนึ่งที่สนใจในทางธรรม ทั้งการถือศีล และการปฏิบัติ ทำให้เราทั้งสองได้สนทนาและแบ่งปันการภาวนาของกันและกันและก็ได้คุยกันเรื่อยมา
พันธกุมภา
วันธรรมดาวันหนึ่ง ชีวิตประจำวันก็ผ่านไปด้วยเหตุปัจจัยเหมือนเดิม มีประชุม ทำค่าย อบรม เดินทางจัดกิจกรรมตามจังหวัดต่างๆ ได้เจอผู้คนมากหน้าหลายตา มีโอกาสได้สนทนากันตามเรื่องราวที่แตกต่างกันไป แต่ข้างในใจกลับเต็มไปด้วยความเฉื่อยชา เบื่อหน่าย ไม่ค่อยมีความสุขเท่าใดนัก
พันธกุมภา
การได้สังเกตจิตใจของตัวเองตามความเป็นจริงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พบว่าจิตใจนี้มีธรรมชาติแปรเปลี่ยนไปมาตามเหตุปัจจัยเงื่อนไขชีวิต แล้วยังมีปกติไหลลงสู่ที่ต่ำ ไปสู่ความอยากได้ อยากดี อยากมี อยากเป็น ความโกรธ ขุ่นเคือง หงุดหงิด ความไม่รู้เนื้อรู้ตัว ขาดสติ เผลอหลงใหลไปกับโลกของความคิดและสิ่งภายนอกใจ
พันธกุมภา
คำอวยพรจากเพื่อนๆ พี่น้อง หลายๆ คน ส่งมายังผมหลายฉบับ ทำให้เกิดความปีติยินดี ที่ได้รับคำอวยพรอย่างยิ่ง และผมก็ได้ตอบกลับไปยังเพื่อนๆ พี่น้อง ทั้งที่ส่งมาและไม่ได้ส่งมา อีกหลายๆ คน การให้พรจึงเสมือนเป็นการให้กำลังใจและบอกให้กันและกันรู้ว่ายังคงระลึกถึงกันอยู่เสมอ
พันธกุมภา
บ่อยครั้งที่การเจริญสติของใครหลายคนติดอยู่กับอารมณ์คือหลงไปแช่อยู่กับอารมณ์นานจึงทำให้เกิดการเผลอยึดมั่นในอารมณ์นั้น กลายเป็นติดหลุม เผลอลงไปแช่ จะรู้สึกมัวๆ หรือเผลอไปแทรกแซง จนยากยิ่งนักที่จะรู้สึกตัวทัน ทั้งนี้ครูบาอาจารย์ท่านแนะไว้ว่าอาจเป็นเพราะจิตยังไม่ถึงฐานหรือจิตยังไม่ตั้งมั่น
พันธกุมภา
  ในการภาวนาบ่อยครั้งนักที่ผมมักจะได้ยินคนอื่นๆ มาเล่าให้ฟังทำนองว่า สถานที่นี้ไม่ดีเลย ไม่เหมาะที่จะภาวนาเลย เสียงก็ดัง คนก็เยอะ ไม่มีที่ ไม่มีทางเดินจงกรมหรือนั่งปฏิบัติเลย เพราะมองว่าการที่จะภาวนาได้นั้นจะต้องไปในสถานที่ที่มีรูปแบบ เช่น มีทางให้เดินจงกรม มีเบาะให้นั่งภาวนา เป็นต้น
พันธกุมภา
ปลายเดือนตุลาคม 2552 นี้ ผมได้มีโอกาสไปภาวนากับพี่ๆ ญาติธรรมเชียงใหม่ ที่สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ซึ่งพวกเราไปกัน 4 คน ได้แก่ พี่เอ้ พี่ยา พี่นา และผม ซึ่งผมรู้จักพี่ๆ ผ่านทางการสนทนาในอินเตอร์เน็ตและทุกๆ คนก็ภาวนาในแนวดูจิตเหมือนๆ กัน
พันธกุมภา
บ่อยครั้งที่รู้สึกตัว และอารมณ์ต่างๆ เกิดขึ้นภายในใจ มันยิ่งทำให้เห็นว่าเราสามารถตามรู้ ตามดูสภาวะต่างๆ ได้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ด้านบวก หรืออารมณ์ด้านลบที่เกิดขึ้นภายในใจ สิ่งต่างๆ เหล่านี้มีหน้าที่เหมือนกันคือ ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่สามารถควบคุมหรือบังคับบัญชาได้
พันธกุมภา
ในแต่ละวันชีวิตคนเราก็มีเวลา 24 ชั่วโมง เหมือนกัน ไม่มีใครมีเวลามากหรือน้อยไปกว่ากัน ทว่าอยู่ที่ว่าใครจะจัดสรรเวลาให้กับตัวเองมากน้อยเพียงใด ทั้งเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว และอื่นๆ อีกมายมาย ซึ่งการจัดระดับความสำคัญของภารกิจระหว่างวันแต่ลัอย่างนื้ถือเป็นเรื่องที่ช่วยให้วันแต่ละวันผ่านไปอย่างมีคุณประโยชน์
พันธกุมภา
โดยปกติแล้ว ผมมักจะเป็นคนที่ไม่ชอบอยู่กับที่ เป็นคนที่ชอบเคลื่อนไหวตัวเองไปๆ มาๆ ดังนั้นการเจริญสติด้วยการรู้สึกที่กายและใจเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปมานี้ จึงเป็นการภาวนาที่ทำให้ผมถนัดและสามารถรู้สึกตัวได้บ่อยที่สุด