Skip to main content

มีนา

 

 

18jan

 

 

ถึง พันธกุมภา

 

ฉันต้องขอบคุณ พันธกุมภา ที่เชื้อเชิญ และพยายามดึงฉันออกมาเขียน แม้ว่าจะถูกบอกว่า "น่าจะเป็นนักเขียนได้..." แต่ฉันยังไม่...แม้แต่ลงมือทำ จะเป็นได้อย่างไร หน้านี้...และหน้าที่นี้ ต้องเป็นความต้องการของพันธกุมภา ที่จะดึงฉันออกมาจากะลาเดิมเป็นแน่

 

สำหรับฉันแล้ว การเดินทางไปวัดป่าสุคะโต เพื่อพบหลวงพ่อเทียนของเธอ แทบจะไม่เกี่ยวข้องอะไร หากเราไม่ใช่กัลยาณมิตรที่ดีต่อกัน ฉันสนับสนุนให้เดินทางเพื่อไปเรียนรู้ ให้จิตอยู่กับกาย คนสมัยนี้...ฉันเองก็เป็นคนสมัยนี้ ไม่ได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบันของตนเอง

 

ฉันเคยสังเกตตัวเองเมื่อต้องทำงาน ต้องเดินทางไปทำงาน หรือไปในที่ๆ เราไม่รู้จัก ฉันมักกังวลเสมอ แม้ว่าจะใช้การเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะ ถึงอย่างไรเขาก็ต้องพาผู้โดยสารทั้งหมดไปส่งที่จุดหมายปลายทางของแต่ละคน ฉันเห็นตัวเองเมื่อฉันไม่รู้จักสถานที่นั้น ซึ่งจริงๆ อาจต้องใช้เวลามากกว่า 1 ชั่วโมงกว่าจะเดินทางถึง ทั้งๆ ที่ไปกับเพื่อนกลุ่มใหญ่ ฉันก็ยังกังวลใจกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึงคือจุดหมายปลายทาง

 

ฉันรู้สึกว่าฉันไม่สามารถควบคุมมันได้ ฉันไม่สามารถวางแผนแล้วเป็นไปอย่างที่ฉันวางไว้ได้ สิ่งใดก็เกิดขึ้นอยู่เสมอ

 

ข้อธรรมที่ฟังมาตั้งแต่เด็กจนปัจจุบันก็ไม่ช่วยได้ หากฉันหรือเธอไม่เริ่มปฏิบัติ ด้วยการเริ่มวางมัน เมื่อฉันเห็นตัวเองดังนั้นแล้ว การเดินทางอีกครั้งของฉันบนรถโดยสารเช่นเดิม กับเพื่อนกลุ่มเดิม แต่ในสถานที่ใหม่จึงเริ่มขึ้น

ฉันเริ่มดูตัวเอง...อืม...ฉันยังกังวลอยู่ แล้วฉันก็เริ่มมามองดูที่ลมหายใจของตัวเองว่ากำลังหายใจเข้า หรือ หายใจออก สักพักฉันก็มาชื่นชมกับต้นไม้ข้างถนน รถ ผู้คนที่เดินไปมา บางที่ๆ ผ่านแทบจะไม่มีคนเลย บางที่ก็เป็นตลาด เออ...หนอ พอเราอยู่กับปัจจุบันแล้ว ความสุขใจ มันช่างหาง่ายจริงๆ ความกังวลใจที่เคยมีมันมลายหายไปตอนไหน...ไม่รู้

 

เท่าที่ฉันสัมผัส คนอย่างเราๆ มักวางกายไว้ที่หนึ่ง...ที่นี่ ใจลอยไปอยู่กับอนาคต...สิ่งที่มาไม่ถึง ลึกๆ แล้วมันคือความกลัว ที่การศึกษาและชีวิตสมัยใหม่จับมันใส่สมองส่วนคิดเรามาตลอดว่า คนต้องหา ความมั่นคง ...บางครั้งอดคิดไม่ได้ว่าความมั่นคงมันคืออะไร แปลว่า ความสุขหรือเปล่า อนาคตจะเป็นอย่างไร หลายคนวางแผนเป็นอย่างดี ดังเช่น งาน การนัดหมายงาน มีแผนปี แผน 2 ปี แต่เมื่อเหตุการณ์มาถึง แผนทั้งหลายกลับพลิก ฝนอาจจะตกอย่างแรง น้ำท่วมทำให้เดินทางหรือไปทำงานได้ทันตามที่วางแผนไว้ เหตุการณ์ที่ร้ายแรงก็อาจจะมีคนที่เรารักสูญเสียชีวิต เจ็บ หรือป่วย สิ่งเหล่านี้ ทำให้เราต้องล้มเลิกแผนที่วางไว้ ไม่ว่านานแค่ไหนก็ตาม

 

อันเนื่องจากการที่เราเห็นคุณค่าของชีวิต ความสุข มากไปกว่า "ความมั่นคง" เงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียง หรือสิ่งตอบแทนใดๆ

 

หลายเสียงคงบอกว่าอยู่ที่เงิน ถ้าเรามีเงินมากๆ จะทำให้เรามั่นคงได้ สิ่งนั้นเป็นความจริงหรือเป็นจริงหรือไม่ ฉันไม่อาจรู้และไม่อาจตอบแทนใครได้ ฉันรู้เพียงว่า หากวันนี้ฉันมีเงินมากๆ ฉันต้องรับผิดชอบมากขึ้น ต้องทำงานมากขึ้น ร่างกายของฉันคงรับกับโรค ความเจ็บป่วยไม่ไหว จิตใจก็คงเครียด ....ฉันคงป่วยจิตและป่วยกายไปพร้อมๆ กัน

 

ขณะที่คนทำงานเพื่อสังคม แรกเข้ามาต่างมาด้วยความพยายามที่จะเปลี่ยนสังคม อย่างพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน การเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเกิดกับสิ่งใดก็ตาม ย่อมส่งผลกระทบและย้อนกลับมาที่ตัวเรา ทั้งในสิ่งดีและสิ่งที่ไม่ดี แม้ว่าเราจะมีอุดมการณ์เพื่อช่วยชาวบ้าน ช่วยเด็ก ช่วยคนทุกข์ อย่างยากลำบาก ลงมือทำทั้งแรงกายแรงใจ โดยไม่สนใจว่าตนเองจะเจ็บป่วยหรือทุกข์เพียงใด ขอให้คนทุกข์ยากเหล่านี้ได้มีชีวิตที่ดี

 

คนเหล่านี้เขาขอให้เราทำหรือ? ไม่?

 

ถ้าเขาขอ เราทำแล้วมีความสุข ก็อย่าลืมดูแลจิตใจตนเอง ... เราไม่รู้ว่า วันนี้เราดีสำหรับคนอื่น แต่เราไม่เห็นดีในตัวเอง

 

ถ้าเขาไม่ขอ เราทำ...เราคาดหวังให้เขาขอบคุณเราหรือ...เพื่อชื่อเสียงที่จะอยู่กับเราไปจนตายหรือ แล้วเรามีตรงไหนที่เรารักและดูแลตัวเอง อย่างไม่เบียดเบียนต่อสรรพสิ่ง หากคำตอบออกมาว่าเรามีความสุขจากที่ชาวบ้านขอบคุณเรามากมาย เราเองอาจไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย...นอกจากคนอื่นที่รู้จักชื่อและหน้าตาของเรา...เท่านั้น

 

เมื่อความทุกข์และความเจ็บป่วยมาเยือน หลายคนที่ทำงานเพื่อคนอื่น ทำงานเพื่อสังคม มักย้อนถามตัวเองว่า เราทุ่มเทมานาน เราทำไปเพื่ออะไร ทำไมเราไม่ได้สิ่งตอบแทน การเดินทางเข้าวัดป่าสุคะโต อาจเป็นจุดเริ่มต้อนของพันธกุมภา...ในฐานะเพื่อน ฉันได้แต่เอาใจช่วยว่า เมื่อไปถึงแล้วเธอจะได้เรียนรู้ตั้งแต่เริ่มต้น เรื่องง่ายๆ ที่ทำยากสำหรับคนสมัยนี้...ให้กายกับจิตอยู่ด้วยกัน ...อยู่กับปัจจุบัน...

 

เมื่อทำงาน เราเองก็เหมือนกับคนทั่วไป ยังต้องดูแลตนเองด้วยการ ดูแลกาย ดูแลจิต ความห่วงใยที่มีต่อคนใฝ่ปฏิบัติธรรมก็เป็นแบบหนึ่ง คนที่มีอุดมการณ์ทำงานเพื่อสังคมก็เป็นแบบหนึ่ง อย่าท้อใจ...ที่จะเริ่มต้น เริ่ม...จากการมองเห็นตัวเอง เห็นจิตของตนเอง

บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
มีเรื่องหนึ่ง ที่อยากเตือนตัวเองมากๆ นั่นคือว่านักภาวนาหลายๆ คน พอภาวนาไปแล้ว ก็เริ่มคิดว่าเป็นนักภาวนา บางทีเราก็หลงไปสร้างภาพความเป็นคนดีขึ้นมาทันที จนลืมนึกถึงไปว่าเราภาวนาเพื่อเห็นความจริง และความจริงนี้ก็เป็นความจริงธรรมดาของกายและใจเท่านั้นเอง
พันธกุมภา
ช่วงเข้าพรรษาที่ผ่านมา ผมตั้งใจอธิษฐานในการภาวนาในรูปแบบอิริยาบถ เดิน ยืน นั่ง หรือ “เนสักชิก” ซึ่งเป็นธุดงควัตร นั้นหมายความว่าช่วงกลางคืนผมจะไม่นอนหลับ แต่จะเจริญสติอย่างต่อเนื่องตั้งแต่หัวค่ำจนถึงช่วงสว่าง และใช้ชีวิตต่ออย่างปกติ
พันธกุมภา
สำหรับเรื่องป่าเขา มีเรื่องหนึ่งที่ผมจำได้ ตอนนั้นในการเข้าร่วมคอร์สภาวนาแห่งหนึ่ง อาจารย์ผู้นำกระบวนการ ได้เชื้อเชิญให้ผู้เข้าร่วมทุกคน ได้ร่วมหาคำตอบของชีวิตโดยการเข้าไปในป่า และอยู่ตรงนั้นเพื่อหาคำตอบให้กับชีวิตของตัวเอง โดยการอยู่เงียบๆ และอยู่กับตัวเองคนเดียวให้มากที่สุด ไม่พูดไม่คุยกับใคร และรอคำตอบที่เกิดขึ้นในใจของเรา
พันธกุมภา
ชีวิตในการอยู่ท่ามกลางขุนเขา ป่าไม้ ร่มไพร ลำธาร เป็นช่วงเวลาที่ทำให้ได้มีอากาสเฝ้ามองใจของตัวเองได้อย่างลึกซึ้ง เป็นบรรยากาศที่เห็นอาการต่างๆ เกิดขึ้น แปรเปลี่ยนไป ตามการปรุงแต่งของอารมณ์และสิ่งที่เข้ามากระทบภายนอก ทั้งการดูผ่านตา ได้ยินผ่านหู ได้กลิ่นผ่านจมูก ก็ตาม
พันธกุมภา
ผมชอบเดินทางไปในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยเพราะจะทำให้จิตใจตัวเองเกิดอารมณ์ต่างๆ มากมาย ทั้งที่ไม่ค่อยจะเกิด เช่น ความขุ่นเคืองใจในการตากแดด ความกลัวจากการเดินในป่าช้า ความเหนื่อยจากการเดินหลงทาง เป็นต้น ซึ่งการหาสิ่งใหม่ให้ใจได้รู้ได้เห็นนี้จะช่วยให้เห็นสภาวะต่างๆ เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย ถือเป็นอุบายหนึ่งในการภาวนา
พันธกุมภา
การเจริญสติในช่วงที่อยู่ที่วัดป่าสุคะโต ภายหลังจากผ่านบททดสอบแรกเรื่องการเดินจงกรมที่ผมมัวแต่ไปตั้งท่าว่าอยากรู้อยากดูสภาวะแล้ว ก็ได้เกิดความรู้สึกตัวขึ้นว่าตัวเองนั้นเผลอไปจ้องมองเสียนาน
พันธกุมภา
การเดินทางมาเจริญสติที่วัดป่าสุคะโตในช่วงก่อนเข้าพรรษานี้ แม้ว่าที่พักจะไม่เพียงพอแต่ผมก็ได้นอนด้านบนศาลา ซึ่งมีผู้คนมาจากหลายๆ ที่มาร่วมเจริญสติ และยังมีคณะผ้าป่าที่มาร่วมทอดผ้าป่าอีกด้วย ครานี้ที่วัดจึงแน่นไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา อยู่ในวัยเด็กเล็ก ไปจนถึงผู้สูงอายุ
พันธกุมภา
วันเข้าพรรษาปีนี้ผมมีความตั้งใจกับตัวเองที่จะภาวนาให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้นโดยการเจริญสติในรูปแบบอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มความอดทน พากเพียรให้กับตัวเอง ในการมีสติสัมปชัญญะมากยิ่งขึ้นกว่าชีวิตปกติที่ผ่านมา
พันธกุมภา
 สวัสดีประชาไท สวัสดี ผองน้องพี่ ประชาไทสบายดี กันไหม ให้ถามหาได้พบกัน แบ่งปันธรรม แต่นานมาขอขอบคุณ วิถีพา เราพบกัน
พันธกุมภา
  เรื่องนี้ผ่านมานานแล้ว, ปลายฝนต้นหนาว อากาศร้อนระอุไปทั่วแผ่นฟ้า ผมไม่ค่อยได้มีโอกาสมานั่งพักผ่อนอยู่นิ่งๆ คนเดียวมานานแล้ว เพราะหน้าที่การงานที่มากมาย ทำให้ฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมาของผมเป็นช่วงเวลาที่ผ่านไปอย่างไร้ค่า เพียงเพราะผมมุ่งแต่จะทำงาน แต่ไม่ได้มีโอกาสได้ดูแลคนที่ผมรักเลยแม้แต่น้อย ผมทำงานที่มูลนิธิแห่งหนึ่ง เราทำงานเพื่อสังคม มีอุดมการณ์ที่อยากเห็นคนในสังคมมีคุณภาพชีวิตที่ดี งานที่เราทำเป็นงานเพื่อส่วนรวม เพื่อประโยชน์ของคนอื่น ซึ่งนั่นทำให้ผมต้องมีเวลาให้กับงาน ให้กับคนอื่นมากกว่าการดูแลตัวเองและการดูแลคนที่ผมรัก
พันธกุมภา
ชีวิตเกิดมาหนนี้ สิ่งที่ต้องการสูงสุดคืออะไร? คำถามนี้ ถามแล้ว ถามอีก ใจคอยถามอยู่ตลอดเวลาว่าต้องการอะไร ปรารถนาสิ่งใด ทำไมยังไม่มุ่งไปทางนั้นให้เต็มที่ ไยจึงกลัวที่จะเลือก ที่จะตัดสินใจ แม้ว่ารู้และเห็นว่าความน่ากลัว สังเวช อนาถใจของการเวียนว่ายนี้มีมากน้อยเพียงใด แต่เหตุใด ใจจึงไม่เคยหลุดออกจากสมมุติมากมายที่เกาะกุมเราไว้
พันธกุมภา
ช่วงหลังๆ นี้ผมได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับญาติธรรมกัลยาณมิตรหลายๆ คน ซึ่งแต่ละคนก็เจอสภาวะจิตที่แตกต่างกัน มีรูปแบบการภาวนาที่แตกต่างกัน ตามจริต ตามเหตุ ปัจจัยของแต่ละคน ทำให้แต่ละคนเจอกับสภาวะต่างๆ ที่ไม่เหมือนกัน และมีความรู้ ตื่น เบิกบาน ที่มากมายคละกันไป กัลยาณมิตรที่ร่วมสนทนากันนี้มีอยู่ในหลายวัย หลากอาชีพ และมีความสนใจในการภาวนาที่แตกต่างกัน บางคนมีปัญหาเรื่องความรัก ปัญหาครอบครัว ปัญหากับที่ทำงาน ปัญหากับการเรียน และก็ล้วนแต่มองเห็นว่าการภาวนาโดยการเจริญสติรู้กายรู้ใจในชีวิตประจำวันนี้จะทำให้ตัวเองได้เข้าใจความทุกข์และพ้นจากความทุกข์