Skip to main content

พันธกุมภา

20080218 ภาพประกอบ (1)

ถึง มีนา....

เมื่อวางแผนการเดินทางเสร็จสิ้น และพยายามที่จะเคลียร์งานทุกอย่างให้แล้วเสร็จก่อนช่วงส่งท้ายปีเก่า ฉันเดินทางออกจากบ้านที่เชียงรายในวันที่ 24 ธันวาคม 2550 เพื่อมาจัดการงานต่างๆ เอกสารที่คั่งค้างจากการทำวิจัย

ช่วงการเดินทางโดยรถทัวร์จากเชียงรายมายังกรุงเทพฯ ฉันนอนไม่ค่อยหลับ เพราะกลัวหลายเรื่อง กลัวรถจะชน กลัวจะมี “มาร” มาขวางไม่ให้ได้ไปปฏิบัติ

คำว่า “มาร” ในที่นี้ ฉันไม่รู้ว่าคืออะไร แต่เท่าที่เคยสัมผัสคือ น่าจะมาเป็นลักษณะของอุปสรรค กีดกันไม่ให้เราไปปฏิบัติ อย่างเช่นบางคนพอจะไปปฏิบัติธรรม ก็ป่วยไม่สบาย หรือ ประสบอุบัติเหตุ หรือว่าคนรอบข้างเราเช่น ญาติพี่น้อง ป่วยไม่สบาย ทำให้เราเดินทางต่อไปไม่ได้ เมื่อก่อนตอนที่ฉันจะไปปฏิบัติที่ธรรมอาภา จ.พิษณุโลก ก็เจอแบบอาการป่วยไม่สบายตามร่างกาย ซึ่งก็กลัวว่าการจะไปปฏิบัติครั้งนี้ที่วัดป่าสุคะโตจะเป็นแบบนั้นอีก

ทีนี้พออยู่บนรถทัวร์ระหว่างทางไปกรุงเทพฯ ในคืนนั้น รถทัวร์ขับเร็วมากๆ และก็เกือบชนกันสองหน แต่ตอนนั้นก็ตั้งสติตลอดว่า ถ้าจะตายก็ขอให้ตายไปเลย......

สุดท้าย มาถึงกรุงเทพฯ ด้วยความปลอดภัย และใช้เวลาอยู่ในกรุงเทพฯ สอง วัน ก่อนจะเดินทางไปจังหวัดชัยภูมิในวันที่ 27 ธันวาคม 2550 ระหว่างที่อยู่กรุงเทพฯ ได้จัดการเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัย ซึ่งเพื่อนที่ทำงานร่วมกันบอกว่าต้องหาเอกสารเพิ่มอีกหลายชุด เกี่ยวกับทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคงต้องใช้เวลาหานานพอสมควร ดีไม่ดีอาจจะไม่ได้ไปวัดป่าสุคะโต ซึ่งเมื่อฟังข้อเสนอแนะเสร็จ ฉันก็ได้พยายามที่จะหาเอกสารงานต่างๆ ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และจัดการเตรียมตัวก่อนที่จะเดินทางไปยังวัดป่าสุคะโต เพื่อไม่ให้ขัดขวางต่อการไปปฏิบัติธรรมในครั้งนี้

ในที่สุด ฉันก็สามารถจัดการงานได้ทันท่วงที และพร้อมที่จะเดินทางไปยังจังหวัดชัยภูมิ การเดินทางไปวัดป่าสุคะโตที่จังหวัดชัยภูมิ เป็นการเดินทางไปยังที่หมายนี้ครั้งแรก ....ทว่าฉันยังคงระวังตัวและตื่นเต้นอยู่ทุกขณะ

ระหว่างการเดินทาง ฉันคิดถึงหลายๆ เรื่อง ทั้งที่เกิดขึ้นมาในอดีต และคาดการณ์ถึงเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต ระยะเวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ – ชัยภูมิ ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง ค่าโดยสารรถทัวร์ก็ไม่ถึง 300 บาท (ถูกกว่าค่าเหล้าและกับแกล้มมื้อหนึ่งด้วยซ้ำ)

ฉันนั่งคิดไปคิดมา สลับกับการโทรศัพท์หาเพื่อนๆ พี่น้องหลายๆ คน เพื่อทักทายก่อนสิ้นปี

บางคนที่เคยมีเรื่องราว “บางอย่าง” ต่อกันในอดีต ก็ขอ “อโหสิกรรม” ต่อกัน - การขอหรือให้อโหสิกรรมเพื่อไม่ให้จองเวร จองกรรม ผูกกรรม สร้างวิบากใหม่ต่อไปให้เกิดขึ้นแก่กัน

ฉันเดินทางจากกรุงเทพฯ ตอนบ่าย 2 และถึงจังหวัดชัยภูมิประมาณ 1 ทุ่ม

คุณลุงที่เป็นเพื่อนแม่ มารอรับที่บริษัทรถทัวร์ประจำทางที่จังหวัดชัยภูมิ – ลุงทา คือคำเรียกชื่อลุง

ลุงทา พาฉันไปทักทายกับญาติฝ่ายผู้ใหญ่ที่อยู่ในจังหวัดชัยภูมิ บางท่านเป็นผู้อำนวยการเขตการศึกษา เป็นผู้บริหารขนส่งจังหวัดชัยภูมิ ผู้ใหญ่หลายท่านนั่งสรวลเสเฮฮาเพื่อฉลองการเกษียณอายุราชการของลุงคนหนึ่ง

ป้าคนหนึ่งตักปลาเผาและให้ลุงทาชงเหล้ามาให้ทาน
“อ่อ...เอ่อ...ขอบคุณครับ ผมทานเนื้อสัตว์ไม่ได้ครับและไม่กินเหล้าด้วย” ฉันตอบด้วยความเกรงใจ

ป้าท่านหนึ่งถามว่าทำไม?
ฉันจึงได้โอกาสบอกว่า ฉันกินอาหารมังสวิรัติ และถือศีล 5 จึงไม่สามารถทานเนื้อสัตว์และดื่มเหล้าได้ และได้ขอบคุณในความปรารถนาดีของผู้ใหญ่ทุกๆ ท่าน
 
จริงๆ ฉันอยากจะตอบด้วยเหตุผลที่มากกว่านี้ แต่เวลาไม่เอื้ออำนวยเท่าใดนัก เพราะเธอและหลายคนอาจงง ว่าทำไมฉันต้องทำแบบนั้น ทำไมต้องถือศีล กินมังสวิรัติ เหตุผลมีอยู่ สามประการ

หนึ่ง ในการปฏิบัติวิปัสสนาตามแนวทางมรรคมีองค์ 8 นั้น มีหมวดใหญ่ๆ อยู่ สามอย่างคือ ศีล-สมาธิ-ปัญญา นั่นคือ หากเราจะปฏิบัติสมาธิ-ปัญญัติเราจักดำรงในศีลเพื่อให้ตัวเองเป็นปกติ ไม่ละเมิดศีล แล้วศีลที่บริสุทธิ์ก็จะส่งผลให้เราทำสมาธิได้ดี และการมีสมาธิได้ดีก็จะทำให้เราเจริญสติ เจริญปัญญาได้ดี ทั้งนี้ ปัญญาของเราก็จะเกื้อกูลการรักษาศีลของเราไปไหนตัว

สอง ศีลช่วยกำกับไม่ให้เราทำอะไรที่ไม่ดี เช่น การพูดปด พูดส่อเสียด นินทา ฆ่าสัตว์ ลักขโมยทรัพย์ เพราะการกระทำเหล่านี้จะทำให้เราพบกับผลกระทบต่างๆ ที่จะตามมา ดังนั้นไม่ว่าจะมองทางโลกหรือทางธรรม การรักษาตนในศีลก็ช่วยให้เราไม่พบเจอกับอันตรายใดๆ ที่เข้ามาในชีวิต จากการที่เราทำอะไรผิดๆ

สาม พอปฏิบัติวิปัสสนานานเข้า ก็พบว่าตัวเองโกรธ ที่โกรธเพราะอะไรไม่รู้ ลองดูตัวเองมาหลายวัน ก็พบว่าเพราะทานเนื้อสัตว์ จึงลองตั้งใจไม่กินเนื้อสัตว์ ก็ปรากฏว่าอารมณ์โกรธไม่ค่อยมี เพิ่มเมตตาธรรมในตัวเองเพิ่มมากขึ้น และพอกินไปมากๆ ก็ชินและทำอย่างเป็นปกติติดต่อกันมาหลายเดือน จนพบว่าการทานอาหารมังสวิรัติแม้จะไม่ได้ทานเจ คือ ฉันยังคงกินไข่และนมและผักกลิ่นฉุนต่างๆ อยู่ ก็ช่วยลดการเบียดเบียนสัตว์ ไม่ก่อกรรม สร้างวิบากใหม่ๆ ให้เกิดกับสรรพสัตว์อีกด้วย

เหตุผลต่างๆ เหล่านี้ได้ถูกบอกเล่าให้กับเพื่อนๆ ที่สนิทกันฟังอยู่บ่อยๆ จนหลายคนที่รู้จักและเคยกินเคยเที่ยวด้วยกันเมื่อก่อนถึงกับยอมรับกับฉันว่า “รู้สึกไม่คุ้นเคยกับแกเลยนะ” เพราะเปลี่ยนแปลงไปทีละนิด ทีละน้อย ช่วงหลังๆ เวลาใครเขาจะไปเที่ยวดื่มเหล้าที่ไหน ก็จึงไม่ค่อยจะชวนฉันไป หรืออย่างมากถ้าไป ฉันก็ไปเที่ยว แต่ดื่มเฉพาะน้ำเปล่าหรือน้ำอัดลมเท่านั้น

การตั้งวงกินอาหาร ทานเนื้อสัตว์อย่างเอร็ดอร่อยก็เช่นกัน หากฉันได้พูดแบบว่าไม่อยากเบียดเบียนสัตว์ต่อหน้าพวกเขา มีหวังโดนตำหนิว่าไม่รู้จักกาลเทศะแน่นอน

โชคดีที่การเจอผู้ใหญ่ในวงเหล้าฉลองปลดเกษียณนี้ฉันไม่เผลอปากพูดออกไป

ทีนี้พอลุงทา ดื่มเหล้าจนหมดแก้วก็ได้พาฉันกลับไปพักค้างคืนที่บ้านของลุงซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองชัยภูมิ 8 กิโลเมตร และคุยกับฉันเพื่อวางแผนการเดินทางในวันรุ่งขึ้น เพื่อไปยังวัดป่าสุคะโต อย่างที่ฉันได้เล่าให้เธอรับทราบในจดหมายฉบับก่อนนั่นแหละ.....

บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
ผมคิดไว้มานานหลายเดือนแล้วว่า จะตั้งใจเขียน "บันทึกการเจริญสติ" ของตัวเองขึ้นมาเพราะคิดว่าคงจะดี ถ้าได้บันทึกไว้ เพื่อการเรียนรู้ของตัวเอง และคนอื่นๆ ที่สนใจ ก่อนที่จะบันทึกในกาลต่อไป ขอเล่าเรื่องการภาวนาของตัวเองก่อน....สำหรับผมแล้ว เริ่มต้นของการปฏิบัติคือเมื่อปลายปี 2549 ก็เกิดจากทุกข์ทางใจ เพราะงานเยอะ เครียด และตอนนั้นแฟนจะขอเลิก เขาเลยเสนอว่าให้ไปปฏิบัติธรรมเพื่อทำใจ จึงได้สมัครไปปฏิบัติของท่าน โกเอ็นก้า ที่ ธรรมอาภา จ.พิษณุโลก พอไปทำมา 10 วัน ก็ดีใจ ที่ทุกข์ครั้งนี้ทำให้ได้พบกับธรรมะ
พันธกุมภา
พันธกุมภาถึง มีนา ปลายปี 2551 นี้ ผมมีโปรแกรมไปเจริญสติที่วัดป่าสุคะโตอีกครั้ง ภายหลังจากเมื่อสิ้นปี 2550 ที่ผ่านมาผมได้เดินทางไปที่วัดป่าสุคะโตแล้วและได้พบหลัก พบหนทาง หลายอย่างที่เหมาะสมกับตัวเองยิ่งนัก แต่การเดินทางไปครั้งนี้ไม่เหมือนปีก่อน....มีหลายเรื่องเกิดขึ้น เปลี่ยนแปลง ไปตามกาลเวลา สิ่งที่เข้ามารับรู้ทำให้อารมณ์ของผมเกิดขึ้นไปต่างๆ นานา และสิ่งที่เสียใจที่สุด ทำให้ใจหม่นหมองมาหลายวัน นั่นคือการมรณภาพของ "หลวงปู่" เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน
พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง มีนา เมื่อฉบับที่แล้ว ผมได้กล่าวถึงโครงการ “ธรรมทานสู่โรงพยาบาล” ที่ผมและลูกปัดไข่มุก ร่วมกันทำในนามกลุ่ม “ธรรมะทำดี” – กลุ่มที่เราสองคนร่วมกันคิด ร่วมกันก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา เพื่อการเผยแพร่ธรรมะที่เราได้พบและเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นๆ ทั้งวัยรุ่นและผู้ใหญ่ ที่ผ่านมา พวกเราสองคนต้องขอบคุณพี่ๆ หลายๆ ท่านที่ได้ส่งหนังสือมาให้นะครับ ตอนนี้มีคนที่มอบหนังสือมาหลายเล่ม ทั้งนิตยสาร และหนังสือธรรมะ และก็มีบางส่วนที่เราไปหาซื้อแถวจตุจักร จากเงินเก็บของเราที่มีอยู่
พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง พี่มีนา  ผมหายจากหน้าจอไปนานเพราะมีงานให้ทำ จนฟกช้ำจิตใจไปทั่วเลย ไม่ค่อยมีเวลาได้พัก เพราะงานที่ผมรัก ทำให้ผมต้องใช้กำลังกายและความคิดมากเหลือล้น ผมจึงเป็นดั่งคนที่นำเอาพลังชีวิตในอนาคตมาใช้ ซึ่งตอนนี้ไม่รู้ว่าจะพอมีเรี่ยวแรงเหลือใช้หรือไม่ในกาลต่อไป เฮ้อ...แต่ที่จะเล่าให้พี่ฟังครานี้ก็คือ ช่วงที่ผ่านมาผมและ “ลูกปัดไข่มุก” ได้ไปจัดห้องสนทนาธรรมชื่อห้องว่า “ห้องธรรมตามใจ” เนื่องในงานเพศศึกษาวิชาการขององค์การแพธ แล้วมีเรื่องที่น่าสนใจมากมาย ทว่าในฉบับนี้อยากเอาคำคมชวนคิดที่ “ลูกปัดไข่มุก” และผมได้ช่วยกันคิดและเขียนขึ้นมาบอกเล่าต่อ ดังนี้ครับ 1.…
พันธกุมภา
มีนา ถึง...น้อง พันธกุมภา ความขี้เกียจมันไม่เข้าใคร ออกใครจริงๆ ... แต่ตอนนี้ต้องเริ่มลุกขึ้นมาทำงานแล้ว เพราะคนที่อดทนไม่ได้เมื่อเราไม่ทำงานก็คือ “แม่” ของเราเอง แม่ของพี่ เป็นภาพสะท้อนของคนจีนในเมืองไทย รุ่นที่ 2 ที่ยังคง ลำบาก ทำงานหนัก และถือปรัชญาพุทธ “ขงจื๊อ” ในเรื่องการทำงานว่าต้องมี ความซื่อสัตย์ ไม่เอารัดเอาเปรียบ ความขยัน อดทน และอดออม แม่มีทุกอย่างจริงๆ แต่พี่อาจจะไม่มีทุกอย่าง อย่างที่แม่มี เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตที่เรามีความเหมือนและความต่าง แม้เราจะเติบโตมาท่ามกลางครอบครัวที่สอนให้เราเป็นคนค้าขาย เราอาจจะไม่ได้อยากค้าขาย ครอบครัวสอนให้เราทำงานหนัก…
พันธกุมภา
มีนาถึง พันธกุมภาช่วงนี้เป็นเวลาพักของพี่ ช่างเป็นช่วงเวลาที่สั้นมากๆ ในความรู้สึก... แต่พี่อดคิดถึงน้องไม่ได้... แล้ววันหนึ่ง... โดยที่ไม่คาดคิด เราก็มาพบกันโดยที่มิได้คาดหมายหรือนัดกันไว้ก่อน พี่อดคิดไม่ได้ว่า ชีวิตคนเราช่างแปลกจริงๆ เราก็มาพบกันจนได้ เพราะความไม่สบายของพี่ชายเพื่อนของเรา ส่วนตัวพี่ไปบ้านนั้นเพราะต้องการไปดูแลตัวเองนอกจากได้ไปดูแลตัวเองและพบกับน้องแล้ว พี่ยังได้พบกับเพื่อนอีกหลายคน ที่ไม่ได้พบกันนานที่นั่น ใครหลายคนบอกว่า โลกมันช่างแคบ ถ้าเรารู้จักคนนี้ เราก็จะรู้จักคนนั้น แต่อาจจะไม่ใช่ในช่วงเวลาเดียวกันเท่านั้นเองการพักผ่อนของพี่ ก็คงเหมือนกับคนทั่วๆ…
พันธกุมภา
มีนา ถึง...พันธกุมภา ตั้งแต่ตกงาน พี่ยังไม่ได้หยุดงานเลย พี่พบว่าโลกปัจจุบันมีงานอยู่หลายประเภท ขึ้นอยู่กับว่าใครจะนิยามมันว่าเป็นงานอย่างไร สำหรับชีวิตพี่ตอนนี้ มีงานแบบที่ถูกให้คุณค่าทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคม และงานที่ไม่ได้ถูกให้ค่าเชิงเศรษฐกิจแต่จำเป็นต้องทำ อันนี้ยังไม่ได้นับรวมเรื่องทางธรรมที่พี่ไปพบมา คืองานที่ทำแล้วไม่มีคุณค่าทางโลกแต่ได้ “บุญ” คิดดูสิว่า... ในโลกเรามีงานมากมายขนาดไหน งานที่พี่ลาออกมาเพื่อขอพัก พี่ยังไม่ได้พักเลยจนกระทั่งบัดนี้ เพราะพี่ทำแต่งานที่ไม่ให้ค่าทางเศรษฐกิจ อย่าง การดูแลแม่ งานบ้าน และการดูแลบ้าน และยังงานอื่นๆ ที่ต้องเกี่ยวข้องกับครอบครัว…
พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง มีนา ผมขอแสดงความดีกับพี่สาวของผมด้วยนะครับ ที่มีโอกาสได้พักผ่อน แม้ว่าหลายคนจะบอกว่าการที่เราตกงานนั้นเปรียบเสมือนการพายเรือในมหาสมุทรที่กว้างใหญ่เคว้งคว้างไม่รู้ว่าจะมีหนทางในงานใหม่อย่างไรได้อีก ผมทราบดีว่าพี่คงจะเหนื่อยจากการทำงานมิน้อยเลย และเชื่อว่าการได้รับมอบหมายงานเยอะคงไม่ใช่สาเหตุของการออกจากงานหรอกใช่ไหมครับ ผมรู้ว่าจดหมายหลายฉบับที่พี่ได้เขียนมาบอกเล่านั้นมันสะท้อนให้เห็นถึงการต่อสู้กับวิถีชีวิตความเป็นคนในเมืองหลวง และรวมถึงการต้องสัมพันธ์กับคนมากหน้าหลายตา ที่มีตัวตนแตกต่างกันไป การที่เราทำงานที่เรารัก…
พันธกุมภา
มีนา  ถึง พันธกุมภา พี่กำลังจะเป็นคนตกงานค่ะ... ฉันกำลังจะเป็นคนตกงานค่ะ เดือนสิงหาคมนี้เป็นเดือนสุดท้ายสำหรับการทำงานอย่างเป็นทางการของฉัน ญาติพี่น้อง... เจ้านาย... เพื่อนร่วมงาน... เพื่อน... ต่างเป็นห่วงเป็นใยกลัวว่าพี่จะว่าง กลัวว่าฉันจะไม่มีงานทำ ไม่มีเงินใช้ ตอนที่ฉันทำงาน พวกเขาต่างให้ความห่วง ความกังวล ว่าฉันทำงานหนักเกินไป  คนและสังคมสมัยนี้ให้คุณค่ากับการทำงานมากกว่าคุณค่าของความว่างงาน พี่เคยมีประสบการณ์การตกงานมาก่อนหน้านี้แล้ว ครั้งนั้นพี่ยังไม่สามารถปล่อยวางเรื่องการว่างงานได้ แต่ครั้งนี้ พี่พยายามปล่อยวางเรื่องการงานในปัจจุบันเพื่อพบกับความว่าง …
พันธกุมภา
  พันธกุมภาถึง มีนาเมื่อฉบับที่แล้วพี่มีนาได้กล่าวถึงเรื่องการ "ปล่อยวาง" ซึ่งผมมองว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งของการปฏิบัติธรรม เพราะหาไม่แล้วเราก็เป็นเพียงแค่ผู้เผชิญกับความสุขที่จิตใจเกิดขึ้นโดยที่หลงยึดติดอย่างไม่ทันรู้ตัวทั่วถ้วนสิ่งที่ผมอยากจะเน้นย้ำในที่นี้ก็คือ เรื่องการปล่อยวาง หรือ การวางเฉย ซึ่งคล้ายกับภาษาธรรมที่เรียกว่า "อุเบกขา" นี้ ถือได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิบัติธรรมอย่างยิ่ง เพราะอย่างที่เราได้รู้กันมานั้นก็คือ ในการปฏิบัติธรรมนั้น ถือว่ามีด้วยกัน 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ การทำสมถะ และการทำวิปัสสนา เท่าที่รู้, การทำสมถะ คือ การทำให้จิตสงบ ทำให้จิตนิ่ง…
พันธกุมภา
มีนา สวัสดี พันธกุมภา รู้ว่าน้องสบายดี พี่ก็ยินดีไปด้วย การดำรงชีวิตอย่างมีสติไม่ใช่เรื่องง่าย พี่ก็ว่างบ้างไม่ว่างบ้าง เพียงแต่ช่วงเวลาที่น้องไม่ว่าง บังเอิญพี่ว่าง ซึ่งเป็นเรื่องดีที่เราจะมีจังหวะชีวิตที่แตกต่างกัน และทำให้การเขียนงานลงตัว พี่ยังคิดอยู่ว่า ถ้าไม่ว่างขึ้นมาพร้อมๆ กัน คงมีปัญหาแน่ๆ สำหรับพี่ ความแตกต่างจึงน่าสนใจ เช่นเดียวกับฤดูที่แตกต่าง ชีวิตที่ขึ้นๆ ลงๆ ช่วงสัปดาห์ที่น้องกำลังมีความสุขอยู่นั้น ชีวิตของพี่เหน็ดเหนื่อยและผจญกับความทุกข์ของคนอื่น แล้วยึดมาเป็นความทุกข์ของตนเอง ... บางทีพี่ก็คิดว่า ทำไมเราจึงเป็นคนอย่างนั้นไปได้ และทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่…
พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง มีนา สวัสดีครับพี่มีนา เป็นอะไรไปถึงไหนอย่างไรบ้างครับ หวังว่าพี่จะสบายดีมีสติในทุกๆ ความสนุกนะครับ อืม...จะว่าไปแล้วเราก็ไม่ได้ตอบรับจดหมายกันนานทีเดียว บางทีพี่ก็ว่างมากมายจนผมรู้สึกอิจฉาตาร้อน และผมเองบางทีก็ว่างนิดหน่อย พอมีเวลามานั่งขีดเขียน เวียนวนให้พี่ได้ยลได้ติดตามอยู่เนืองๆ ช่วงที่ผ่านมาวันเข้าพรรษา ผมพาตัวเองไปเข้าวัดมาครับ แถวๆ เกาะสีชัง ได้ไปกับคนที่รักและใช้ชีวิต “ดูจิต” สนทนาธรรมและดื่มด่ำบรรยากาศอบอุ่นจากไอทะเล ทำกับข้าวกินกันริมชายฝั่ง นั่งนับดาวยามราตรี มีเวลาก็ขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวรอบเกาะ หาซื้อเงาะ ซื้อทุเรียนมานั่งกิน รินน้ำเปล่าชนกัน…