Skip to main content

ลูกปัดไข่มุก

 

ถึง พี่พันธกุมภา และ พี่มีนา....

 

10401

 

เส้นทางที่เรากำลังพยายามจะมุ่งไปอยู่นี้ มันคือหนทางแห่งความสุขและความสำเร็จที่แท้จริงของเราจริงๆหรอ” ....นั่นคือความคิดที่ฉันคิดมาตลอด

 

ฉันโชคดีที่ได้เกิดมาท่ามกลางครอบครัวที่มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา ในวันว่างๆ เรามักจะได้ไปวัดแทนการไปเที่ยวเสมอๆ ซึ่งด้วยความเป็นเด็ก ฉันจึงไม่คิดว่ามันดีนัก.....จะว่าไปฉันทำบุญมาตั้งแต่จำความได้ เพราะถูกสั่งสอนมาให้ทำแบบนั้น ว่าถ้าทำบุญเยอะๆ จะได้ไปสวรรค์ ถ้าทำบาปก็จะตกนรก รวมถึงนิทานต่างๆที่แม่ได้เล่าให้ฟังมาตลอด

 

ฉันจึงพูดได้เต็มปากว่า ฉันเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี แต่ลึกๆแล้วฉันยังไม่เข้าใจอะไรหลายๆอย่าง จนกระทั่งฉันอายุ 17 ปี เมื่อฉันได้มาพบกับคนๆหนึ่งจากธรรมะ และเราก็มักคุยกันเรื่องธรรมะตลอด นั่นเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ฉันเปลี่ยนแปลงความคิดเสียใหม่

 

ฉันเริ่มมองเห็นตัวเองมากกว่าที่เคยเป็น เริ่มมองความรู้สึกและอารมณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นอย่างเข้าใจ จนเริ่มคิดว่าทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ไม่มีอะไรที่คงทนและอยู่กับเราไปตลอด

 

เชื่อสิว่าการที่เคยได้ยินคนอื่นเค้าพูดมาก่อนนั้น มันเทียบไม่ได้เลยกับการที่เราคิดได้ด้วยตนเอง ฉันเคยได้ยินคำพูดแบบนี้มานานแล้วแต่ก็แค่ฟังผ่านๆไม่ได้คิดอะไร จนตอนนี้ฉันเริ่มมองสิ่งรอบตัว จริงๆ ด้วยทุกอย่างล้วนต้องลาจากเราไปทั้งนั้นเลย...หวีสุดโปรดปรานที่พกติดตัวตลอด..หายไปแล้ว แฟนที่เราแสนรัก...ก็ไปจากเราแล้วด้วย หรือแม้กระทั่งคุณปู่ที่รักก็จากเราไปอย่างไม่มีวันกลับเช่นกัน... คนเราอยู่ท่ามกลางการลาจากตลอดเวลา ถ้าเราไม่จากมัน มันก็ต้องจากเราไป ไม่วันใดก็วันหนึ่งไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม... อ่าว! แล้วคนเราตายไปจะไปอยู่ไหนดีล่ะ นรกหรือสวรรค์

 

แล้วนรกกับสวรรค์เนี๊ยมันมีจริงๆ หรือ หรือเป็นแค่นิทานหลอกเด็กเท่านั้น!?

 

 

ฉันเริ่มอยากรู้...แต่แล้วฉันก็โชคดีอีกอย่างที่ได้พบกับคนๆ นั้น เพราะเค้าได้ทำให้ฉันอยากฝึกนั่งสมาธิอย่างจริงๆ จังๆ สักที...ฉันไปบอกแม่ว่า “อยากจะไปฝึกนั่งสมาธิตามต่างจังหวัดจังเลย” นี่เป็นความคิดที่ไม่เคยอยู่ในหัวของฉันเลยด้วยซ้ำ

 

แล้วโอกาสก็ผ่านเข้ามา ฉันได้ไปปฏิบัติที่สวนแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ อากาศดีมาก ทั้งร่มรื่นและเงียบสงบ นี่เป็นการเดินทางไปต่างจังหวัดคนเดียวและเป็นการปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังครั้งแรกในชีวิตของฉัน...

 

ฉันขออ้างอิงข้อความจากบันทึกของฉันก็แล้วกันนะเพราะมันจะดูสดใหม่กว่าตอนนี้...

 

 

 

10403

 


วันเดินทาง

อยู่บนรถคณะทัวร์ที่ไปปฏิบัติธรรมเหมือนกันแต่ไม่รู้จักใครเลยสักคน พอตื่นขึ้นมามีสติเมื่อไรก็จะเป็นทุกข์ทุกครั้งไป จิตกระวนกระวายกลัวจะอยู่ไม่ได้ตั้ง 7 วัน

 

วันที่ 1
ถึงที่ปฏิบัติประมาณตี 4 และได้รู้จักกับพี่กัลยาณมิตรคนหนึ่งซึ่งตลอดระยะเวลาการปฏิบัติพี่เค้าได้ช่วยเหลือเกื้อกูลฉันตลอด เมื่อกี้ตอนเค้าให้นอนพักผ่อนเสียงดนตรีดังกระหึ่มเลย คร๊อก คราก~ (กรนนะ) -*- บางคนก็เสียงมือถือ>.< อีกประมาณ 5 วันก็จะได้กลับแล้ว (จริงๆ เราต้องฝึกตัวเองสิ ทำไมถึงอยากกลับบ้านนัก T^T)

 

วันที่ 2
วันนี้ตื่นตั้งแต่ตี 4 เลย ไปทำวัตรเช้า (นั่งสมาธิกันนานมากๆ) แต่ก็นั่งได้ดีกว่าเมื่อวานนะ แต่ถึงอย่างงั้นฉันก็ยังมีหลับอยู่ พอหลับตาจิตก็ฟุ้งมากเลย ภาพต่างๆ วิ่งเข้ามาในหัวสมาธิเลยไม่ค่อยเกิด แต่เช้านี้มีปิติเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวเอง แต่ฉันว่าก็ดีมากแล้วล่ะ

 

วันที่ 3
วันนี้ข้าวเช้าคือกระเพาะปลา ลันลา~ ^^ ตอนนี้ฝึกสมาธิจิตไม่ฟุ้งแล้วและก็สงบเลย แต่เย่ตรงที่สงบไม่นานฉันก็หลับทุกทีน่ะสิ จะว่าไปการทำใจไม่ให้คิดนี่ก็ยากใช่ย่อยนะ วันนี้ไปหลับในห้องปฏิบัติรวมตอนที่เค้าให้หันหน้าไปดูวีดีโอมา พี่เค้าปลุกก็ไม่ตื่น พอตื่นมาอีกที อ่าวหลวงพี่พูดอะไรอยู่น่ะ คนก็หันหน้ามาทำสมาธิกันหมดแล้ว(โชคดีที่ยังไม่เปิดไฟ ไม่งั้นคงหาที่ซุกหน้าไม่ทันแน่ๆ-*-) แต่วันนี้ตอนนั่งสมาธิรอบดึก (หลังจากตื่น-*-) ฉันนั่งดีมากเลย จิตสงบไม่หลับแล้วก็เกิดปิติอีกครั้ง ตัวโยกไปมาอย่างเร็วๆ เลย ฉันก็ดูไปเรื่อยๆ พยายามไม่คิดอะไร แล้วก็เห็นแสงสีขาวแว๊บขึ้นมา เหมือนแฟลชกล้องถ่ายรูปน่ะ 2 ดวงแป๊บเดียวเอง (ใจก็คิดว่าเค้ามาถ่ายรูปตอนเรานั่งสมาธิกันรึเปล่านะ?) แต่ก็ไม่ได้ลืมตานะ ดูต่อไปเรื่อยๆ แล้วก็เหมือนมีคนมาเปิดไฟ ภาพที่มองเริ่มสว่างขึ้นกว่าที่เคยเห็นแต่ก็ไม่ได้จ้ามากนะ รู้สึกดีจังเลย...พอปวดขาฉันก็ขยับตัวนิดหน่อย แต่ยังดีที่ว่าพอหลับตาปุ๊บปิติก็จะเกิดขึ้นทันทีเลย ^^

 

วันที่ 4
วันนี้ตอนเช้านั่งไม่ดีเลย(เริ่มยึดติดและ -*-) แต่ตอนนั่งรอบบ่ายน่ะสงบดีมากเลย หลงพี่ท่านสอนท่านั่งด้วยว่าควรนั่งยังไง

(นั่งหลังตรง หลับตาเบาๆ ไม่เกร็งที่หน้าผาก เหลือบตาขึ้นนิดหน่อย มือก็ควรเอามาวางซ้อนขวาทับซ้าย วางไว้ใกล้ๆ ท้องเพราะมันจะทำให้ตัวเราตรงโดยอัตโนมัติ) ส่วนรอบดึกฉันก็เห็นแสงสีขาวอีกครั้ง ตอนเห็นก็ยังตกใจเหมือนเดิมเพราะนึกว่ามีคนมาเปิดไฟ >.< ส่วนปิติที่เกิดขึ้นก็ทำให้ฉันเวียนหัวน่าดู...

 

วันที่ 5
อีกวันเดียวก็ได้กลับบ้านแล้ว^^ อากาศที่นี่เย็นสบาย เมื่อคืนก็หลับสบายเหมือนเคยเลยทำให้สรุปได้ว่า ถ้าฉันไม่หลับในห้องปฏิบัติรวม ฉันก็จะหลับสบายให้ห้องพักได้ ^^

 

วันที่ 6
เช้านี้พอทำวัตรเช้าเสร็จแล้วก็เดินทางไปยังวัดใกล้เคียง ได้มีโอกาสทำอาหารถวายสามเณรกว่า 200 รูปแน่ะ ดีใจมากๆเลย พอกลับมาเห็นคนอื่นเค้าเก็บเสื้อผ้ากันหมดแล้ว รีบวิ่งเลย แล้วก็เข้ามาขอขมาพระอาจารย์ นั่งสมาธิอีกไม่นานก็ได้กลับบ้าน เย้ๆๆๆ ได้กลับบ้านแล้วววววววววววว ถึงกรุงเทพประมาณตี 4

 


10402


....
เสร็จสิ้นภารกิจที่ได้ไปปฏิบัติธรรม กลับบ้านมาพร้อมกับความรู้สึกที่แตกต่างในหัวมีคำถามพร้อมคำตอบเต็มไปหมดว่า แต่ก่อนเราไม่เคยได้เข้าใจอะไรอย่างนี้ก็เพราะว่าเราปิดใจนั้นเอง... ปิดแต่คิดว่าเปิด....มันเลยไม่ได้อะไร ตอนนั่งไปปฏิบัติ มีคำถามในใจอยู่เรื่อยๆ ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรอ?

 

ที่เค้าว่าจะเห็นองค์พระ และจะได้ไปในที่ๆ อยากจะไป ฟังแล้วมันเป็นไปไม่ค่อยได้เลย คิดแย้งอยู่เรื่อยๆ แต่ตอนหลังก็คิดว่าเอาเถอะ ไหนๆ ก็มาแล้ว ลองดูสักตั้งจะเป็นไร ก็เลยลบความสงสัยออกให้หมด ทำใจให้โล่งๆ นั่งแล้วมันก็สบายดี ถึงยังไม่เห็นองค์พระอย่างที่เค้าบอกกันก็เถอะ... แต่จิตได้อยู่นิ่งๆ มันก็มีความสุขที่สุดแล้ว เค้าบอกกันมาว่าคนเราเข้าใจคนอื่นมามากมายแต่คนที่อยู่กับเราตลอดเวลานั่นคือตัวเราเองกลับเป็นอะไรที่เข้าใจได้ยากที่สุด เพราะอะไรนะ? ก็เพราะว่าเราเอาจิตไปไว้ที่อื่นหมดน่ะสิ จิตอยู่ที่ไหนเรามักจะทำสิ่งนั้นได้ดีเสมอ.............

 

ช่วงที่ผ่านมาฉันได้ดูจิตของตัวเอง ทำให้ได้รู้ว่าตนเองมีตัณหามากมาย ยังอยากได้อยากมี ยังยึดติดอยู่กับ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ซึ่งการดูจิตทำให้ฉันรู้เท่าทัน และสามารถละบางอย่างออกไปได้ ถึงจะยังไม่ทั้งหมดก็ตาม ซึ่งฉันว่านี่คือสิ่งที่สำคัญที่ได้จากการไปปฏิบัติธรรมในครั้งนี้

 

หลายๆ คนถามฉันว่ามีความเปลี่ยนแปลงยังไงหลังจากที่ได้ไปปฏิบัติมา..ฉันคิดว่า ฉันดูจิตตัวเองบ่อยขึ้น คือรู้ตัวตอนไหนจะพยายามนั่งดูจิตคือดูอารมณ์ของตัวเองว่าตอนนี้เรารู้สึกยังไง โกรธ เครียด ดีใจ หรือเสียใจ พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่า ถ้าเรารู้เท่าทันอะไร เราก็จะสามารถดับมันได้…

 

และฉันก็จะพยายามเอาจิตไว้กับตัวตลอด (เวลาที่ไม่เผลอน่ะนะ)

 

มันก็เหมือนกับการนั่งสมาธิแต่ลืมตานั่นแหละ คือมองตัวเอง ถึงแม้ว่าจะเห็นอะไรก็ไม่ต้องไปตั้งคำถามมันว่า นั้นอะไรน่ะ ทำไมเค้าถึงทำแบบนั้น หรืออะไรก็ตาม นิ่งๆไว้ เห็นก็รู้ว่าเห็น ไม่ต้องไปใส่อะไรลงไปคือตามรู้ไม่ต้องใช้สมองคิดมาถึงตรงนี้ฉันจึงคิดว่าน่าจะเขียนมาถึงพี่พันธกุมภาและพี่มีนาเพราะว่าฉันก็เป็นเด็กน้อยคนนึงที่อีกไม่นานก็จะก้าวผ่านความเป็นเด็กเข้าสู่วัยเยาวชน

 

ขอบคุณครอบครัวของฉันที่ได้อบรมเลี้ยงดูมาอย่างเข้าใจและใกล้ชิดพระพุทธศาสนา ขอบคุณกัลยาณมิตรทุกๆท่านที่ช่วยดำรงพระพุทธศาสนาไว้ ฉันหวังว่าบทความน้อยๆ นี้จะมีส่วนช่วยให้คนรุ่นใหม่ที่ต้องการจะฝึกปฏิบัติธรรมได้มีแรงจูงใจในการเริ่มต้นทำในสิ่งที่ดี

 

และหวังว่าฉันคงจะได้พบบทความที่เล่าเรื่องราวการปฏิบัติธรรมของคนอื่นๆ มาเล่าสู่กันฟังนะคะ ^^

บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
มีเรื่องหนึ่ง ที่อยากเตือนตัวเองมากๆ นั่นคือว่านักภาวนาหลายๆ คน พอภาวนาไปแล้ว ก็เริ่มคิดว่าเป็นนักภาวนา บางทีเราก็หลงไปสร้างภาพความเป็นคนดีขึ้นมาทันที จนลืมนึกถึงไปว่าเราภาวนาเพื่อเห็นความจริง และความจริงนี้ก็เป็นความจริงธรรมดาของกายและใจเท่านั้นเอง
พันธกุมภา
ช่วงเข้าพรรษาที่ผ่านมา ผมตั้งใจอธิษฐานในการภาวนาในรูปแบบอิริยาบถ เดิน ยืน นั่ง หรือ “เนสักชิก” ซึ่งเป็นธุดงควัตร นั้นหมายความว่าช่วงกลางคืนผมจะไม่นอนหลับ แต่จะเจริญสติอย่างต่อเนื่องตั้งแต่หัวค่ำจนถึงช่วงสว่าง และใช้ชีวิตต่ออย่างปกติ
พันธกุมภา
สำหรับเรื่องป่าเขา มีเรื่องหนึ่งที่ผมจำได้ ตอนนั้นในการเข้าร่วมคอร์สภาวนาแห่งหนึ่ง อาจารย์ผู้นำกระบวนการ ได้เชื้อเชิญให้ผู้เข้าร่วมทุกคน ได้ร่วมหาคำตอบของชีวิตโดยการเข้าไปในป่า และอยู่ตรงนั้นเพื่อหาคำตอบให้กับชีวิตของตัวเอง โดยการอยู่เงียบๆ และอยู่กับตัวเองคนเดียวให้มากที่สุด ไม่พูดไม่คุยกับใคร และรอคำตอบที่เกิดขึ้นในใจของเรา
พันธกุมภา
ชีวิตในการอยู่ท่ามกลางขุนเขา ป่าไม้ ร่มไพร ลำธาร เป็นช่วงเวลาที่ทำให้ได้มีอากาสเฝ้ามองใจของตัวเองได้อย่างลึกซึ้ง เป็นบรรยากาศที่เห็นอาการต่างๆ เกิดขึ้น แปรเปลี่ยนไป ตามการปรุงแต่งของอารมณ์และสิ่งที่เข้ามากระทบภายนอก ทั้งการดูผ่านตา ได้ยินผ่านหู ได้กลิ่นผ่านจมูก ก็ตาม
พันธกุมภา
ผมชอบเดินทางไปในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยเพราะจะทำให้จิตใจตัวเองเกิดอารมณ์ต่างๆ มากมาย ทั้งที่ไม่ค่อยจะเกิด เช่น ความขุ่นเคืองใจในการตากแดด ความกลัวจากการเดินในป่าช้า ความเหนื่อยจากการเดินหลงทาง เป็นต้น ซึ่งการหาสิ่งใหม่ให้ใจได้รู้ได้เห็นนี้จะช่วยให้เห็นสภาวะต่างๆ เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย ถือเป็นอุบายหนึ่งในการภาวนา
พันธกุมภา
การเจริญสติในช่วงที่อยู่ที่วัดป่าสุคะโต ภายหลังจากผ่านบททดสอบแรกเรื่องการเดินจงกรมที่ผมมัวแต่ไปตั้งท่าว่าอยากรู้อยากดูสภาวะแล้ว ก็ได้เกิดความรู้สึกตัวขึ้นว่าตัวเองนั้นเผลอไปจ้องมองเสียนาน
พันธกุมภา
การเดินทางมาเจริญสติที่วัดป่าสุคะโตในช่วงก่อนเข้าพรรษานี้ แม้ว่าที่พักจะไม่เพียงพอแต่ผมก็ได้นอนด้านบนศาลา ซึ่งมีผู้คนมาจากหลายๆ ที่มาร่วมเจริญสติ และยังมีคณะผ้าป่าที่มาร่วมทอดผ้าป่าอีกด้วย ครานี้ที่วัดจึงแน่นไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา อยู่ในวัยเด็กเล็ก ไปจนถึงผู้สูงอายุ
พันธกุมภา
วันเข้าพรรษาปีนี้ผมมีความตั้งใจกับตัวเองที่จะภาวนาให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้นโดยการเจริญสติในรูปแบบอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มความอดทน พากเพียรให้กับตัวเอง ในการมีสติสัมปชัญญะมากยิ่งขึ้นกว่าชีวิตปกติที่ผ่านมา
พันธกุมภา
 สวัสดีประชาไท สวัสดี ผองน้องพี่ ประชาไทสบายดี กันไหม ให้ถามหาได้พบกัน แบ่งปันธรรม แต่นานมาขอขอบคุณ วิถีพา เราพบกัน
พันธกุมภา
  เรื่องนี้ผ่านมานานแล้ว, ปลายฝนต้นหนาว อากาศร้อนระอุไปทั่วแผ่นฟ้า ผมไม่ค่อยได้มีโอกาสมานั่งพักผ่อนอยู่นิ่งๆ คนเดียวมานานแล้ว เพราะหน้าที่การงานที่มากมาย ทำให้ฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมาของผมเป็นช่วงเวลาที่ผ่านไปอย่างไร้ค่า เพียงเพราะผมมุ่งแต่จะทำงาน แต่ไม่ได้มีโอกาสได้ดูแลคนที่ผมรักเลยแม้แต่น้อย ผมทำงานที่มูลนิธิแห่งหนึ่ง เราทำงานเพื่อสังคม มีอุดมการณ์ที่อยากเห็นคนในสังคมมีคุณภาพชีวิตที่ดี งานที่เราทำเป็นงานเพื่อส่วนรวม เพื่อประโยชน์ของคนอื่น ซึ่งนั่นทำให้ผมต้องมีเวลาให้กับงาน ให้กับคนอื่นมากกว่าการดูแลตัวเองและการดูแลคนที่ผมรัก
พันธกุมภา
ชีวิตเกิดมาหนนี้ สิ่งที่ต้องการสูงสุดคืออะไร? คำถามนี้ ถามแล้ว ถามอีก ใจคอยถามอยู่ตลอดเวลาว่าต้องการอะไร ปรารถนาสิ่งใด ทำไมยังไม่มุ่งไปทางนั้นให้เต็มที่ ไยจึงกลัวที่จะเลือก ที่จะตัดสินใจ แม้ว่ารู้และเห็นว่าความน่ากลัว สังเวช อนาถใจของการเวียนว่ายนี้มีมากน้อยเพียงใด แต่เหตุใด ใจจึงไม่เคยหลุดออกจากสมมุติมากมายที่เกาะกุมเราไว้
พันธกุมภา
ช่วงหลังๆ นี้ผมได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับญาติธรรมกัลยาณมิตรหลายๆ คน ซึ่งแต่ละคนก็เจอสภาวะจิตที่แตกต่างกัน มีรูปแบบการภาวนาที่แตกต่างกัน ตามจริต ตามเหตุ ปัจจัยของแต่ละคน ทำให้แต่ละคนเจอกับสภาวะต่างๆ ที่ไม่เหมือนกัน และมีความรู้ ตื่น เบิกบาน ที่มากมายคละกันไป กัลยาณมิตรที่ร่วมสนทนากันนี้มีอยู่ในหลายวัย หลากอาชีพ และมีความสนใจในการภาวนาที่แตกต่างกัน บางคนมีปัญหาเรื่องความรัก ปัญหาครอบครัว ปัญหากับที่ทำงาน ปัญหากับการเรียน และก็ล้วนแต่มองเห็นว่าการภาวนาโดยการเจริญสติรู้กายรู้ใจในชีวิตประจำวันนี้จะทำให้ตัวเองได้เข้าใจความทุกข์และพ้นจากความทุกข์