Skip to main content

พันธกุมภา

ถึง มีนา

ผมได้อ่านเรื่องราวของ “ลูกปัดไข่มุก” แล้ว ขออนุโมทนากับน้องอย่างยิ่ง และยังรู้สึกยินดีกับสิ่งที่น้องได้กระทำลงไป และได้พบการหนทางที่จะนำพาความสุข สงบมาให้กับตนเอง เป็นการเรียนรู้จากตัวเอง มากกว่าการเรียนรู้จากคนอื่นๆ ที่เล่าให้ฟังสู่กันมา

การได้ทำสมาธินั้นได้ช่วยให้น้องได้พบกับจิตที่สงบ และเป็นจิตที่นิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเป็นสิ่งที่จะทำให้จิตใจเริ่มปรับความละเอียดเพิ่มขึ้น สู่การเจริญสติในระดับต่างๆ ต่อไป....

จะว่าไปแล้ว เดี๋ยวนี้ วัยรุ่นรุ่นเดียวกับเราๆ ก็หันมาสนใจเรื่องทางธรรมเยอะเหมือนกันนะ, ช่วงหนึ่งก็มีคนมาถามผมว่า วัยรุ่นสนใจธรรมะเพิ่มขึ้น เป็นกระแสที่ดีแบบนี้ คิดยังไง? คนถามๆ ทำนองว่า มันจะเป็นค่านิยม ฮิตธรรมะชั่วขณะเหมือนฮิตเพลงนั้น เพลงนี้หรือเปล่า

ที่จริงแล้ว ผมคิดว่าการที่วัยรุ่นจะชอบ จะนิยมอะไร หรือจะฮิตอะไรก็ตามแต่ มันเกิดจาก “ความสนใจ” อย่างบางคนชอบหนังเกาหลี เขาก็มีแนวทางการชอบของเขา บางคนชอบเพลงไทยเดิมก็มีแนวทางของตน ฉะนั้นยิ่งหากใครที่ชอบหรือสนใจในธรรมะนั้นก็แสดงว่าเขาสนใจในธรรมะ

ทีนี้ถามว่าสนใจมากน้อยเพียงใด ก็ต้องไปดูกันในรายละเอียดของแต่ละบุคคล เพราะบางคนก็สนใจในหลักธรรมคำสอน บางคนก็สนใจเรื่องการปฏิบัติ บางคนสนใจเรื่องการเถียง สนทนาธรรม บางคนสนใจจะทำบุญที่วัด เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ดีควรได้รับการชื่นชมและสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง

วัยรุ่นหลายคนที่เข้าถึงธรรม ถือว่า “ธรรมะจัดสรร” ให้ตัวเองได้เข้าใกล้ธรรม บางคนจะทำยังไง จะบอกยังไงก็ไม่ใส่ใจ ไม่สนใจ แม้ว่าจะมีคนในครอบครัวปฏิบัติธรรมเท่าไหร่ก็ตาม หรือบางคนครอบครัวไม่สนใจเรื่องธรรมะเลย แต่ตัวเองกลับให้ความสำคัญ ... ปรากฏการณ์เช่นนี้บอกได้ว่าการที่ใครจะเข้าถึงธรรมนั้น บางทีก็ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขรอบตัว แต่บางทีก็ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขภายในของแต่ละคนด้วย

เวลาที่ไปปฏิบัติธรรม นั่งภาวนา แล้วเห็นวัยรุ่นมาปฏิบัติ ผู้ใหญ่หลายคนจะชื่นชมและเอ็นดู เพราะเข้าถึงธรรมตั้งแต่อายุยังน้อย และเขาก็มักจะบอกให้ทำต่อไปเรื่อยๆ เพราะหนทางเส้นนี้มีอะไรให้ค้นหาอีกมากมาย

ว่าสำหรับอายุ, มีพี่คนหนึ่งถามผมว่า “ทำไมน้องอายุยังน้อยแล้วมาสนใจธรรม” ผมยิ้มแล้วได้ให้เหตุผล สั้นว่า “อกาลิโก” ธรรมเกิดขึ้นไม่จำกัดกาล จำกัดเวลา และไม่จำกัดวัย

แถมต่อท้ายเหตุผลที่เคยเขียนไว้ คือ...

ประการแรก ที่ชีวิตผมเปลี่ยนแปลงได้เพราะธรรมะ ตอนที่ทำวิปัสสนาใหม่ๆ เพราะอยากพักงาน อยากหนีอารมณ์สูญเสียคนรัก จึงเข้าหาธรรมะเป็นที่พึ่ง ให้ยึดเหนี่ยวจิตใจ และตอนนั้นก็ไม่ได้คิดว่าต้องปฏิบัติ หรือศึกษาธรรมะให้ลึก คิดแต่เพียงว่าจะไปปฏิบัติวิปัสสนาให้เสร็จและได้พักใจก็เพียงพอ

ประการที่สอง เมื่อพบกับธรรมะและแนวการปฏิบัติเพื่อนำไปสู่การพ้นทุกข์ที่แท้จริงแล้ว  ก็ทำให้จิตใจโน้มเอียงเข้าหาธรรมะและเห็นคุณค่าของการเกิดเป็นคนมากขึ้น จากที่เคยเที่ยวผับทุกอาทิตย์ ดื่มเหล้าบ่อยๆ ก็เปลี่ยนแปลงไป

ประการที่สาม เมื่อเกิดมาเป็นคน หากเราเชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม และการเวียนว่ายตายเกิดในสงสารวัฎแล้ว จะพบว่าการได้เกิดมาเป็นคน เป็นมนุษย์นั้น ยากลำบากเพียงใด การที่เราไม่ได้เกิดเป็นเดรัจฉานหรืออบายภูมินั้นย่อมทำให้เราสามารถเข้าถึงธรรมะ เข้าถึงการนำตัวเองไปสู่การหลุดพ้นซึ่งการเวียนว่ายตายเกิดอย่างไม่จบไม่สิ้น ที่สำคัญ มีใครบ้างที่จะรู้ว่าตัวเองจะตาย สิ้นลมหายใจตอนไหน ไม่รู้หรอก

บางคนเห็นเช้าตายเย็น เห็นสายตายบ่าย เห็นตอนเย็นตายตอนเช้า ก็มีแตกต่างกันไป ฉะนั้นแล้วเมื่อผมยังมีลมหายใจ เป็นคน ที่มีสติปัญญา มีประสาทการรับรู้ จึงน่าจะเป็นโอกาสที่เหมาะที่จะปฏิบัติธรรมเพื่อให้เข้าถึงความหลุดพ้นอย่างแท้จริง นี่คือความไม่ธรรมดา ความหมายและคุณค่าที่เราได้เป็นคน ได้เกิดมาทันคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วเมื่อเป็นเช่นนี้ทำไมเราจึงไม่ใช่ประโยชน์จากการเป็นคน เข้าถึงธรรมให้มากที่สุด

สามเหตุผลที่ดังกล่าว ช่วยทำให้พี่คนดังกล่าวหายสงสัย ทว่าก็ได้ให้ข้อเสนอมาว่า ถ้าเราเป็นผู้ที่สนใจเรื่องนี้ สิ่งสำคัญคือ การ “ลดตัวตน” หรือ อีโก้ในตัวเรา เพราะหากเราปฏิบัติแล้วเกิดยึดมั่นว่า “ฉันคือนักปฏิบัติ” เราอาจจะยึดมั่นถือมั่นสำคัญตนว่าตัวเป็นคนดี เกิดอาการ “ติดดี” มองคนที่ไม่ดีกว่าตนเป็นคนไม่ดี ยกตนข่มท่าน หรือ พอตัวเองทำอะไรไม่ดีแล้วเกิดเสียใจ

เรื่องดังกล่าวนี้ ทำให้ผมกลับมาคิดทบทวนตัวเอง ว่าได้เกิดความคิดแบบนี้บ้างไหม? และผมก็พบคำตอบว่าตัวเอง เริ่มจะยึดติดในความเป็นผู้ปฏิบัติธรรม เริ่มทำอะไรจริงจัง และเครียดมากๆ เวลาที่ไม่ค่อยพัฒนา หรือมีจิตที่หยาบ ไม่ได้พบกับจิตที่ละเอียดเหมือนช่วงที่ทำบ่อยๆ เริ่มคิดว่าตัวเองแย่และไม่ตั้งมั่นในธรรมเลย

แต่พอคิดไปแล้ว จิตหนึ่งก็พิจารณาขึ้นมาเราจะไปยึดในจิตที่เป็นแบบนั้นตลอดเวลาได้อย่างไร จิตใจคนเรามันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา มันไม่ได้ยั่งยืน เราไม่สามารถบังคับจิตใจเราได้ เพราะจิตอยู่เหนือกาย และการที่เราทำสมถะภาวนาอาจทำให้จิตถูกกด เพ่ง แล้วเราก็ยึดติดในจิตที่สงบสุข จนหลงคิดว่าตนได้มรรคผลนิพพาน ทั้งที่แท้จริงแล้วเป็นเพียงจิตที่ถูกกดทับไว้

อย่างไรเสียการที่เราได้มาหยุดมองดูตัวเอง สำรวจจิตใจอย่างมีเมตตาและยอมรับกับความเป็นจริง เราจะพบว่าแท้จริงแล้วจิตใจนั้นเป็นอนัตตา...ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เราเขา

ไม่ใช่แม้กระทั่งว่าเราเป็นใคร เป็นผู้ใหญ่หรือวัยรุ่น....

บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
มีเรื่องหนึ่ง ที่อยากเตือนตัวเองมากๆ นั่นคือว่านักภาวนาหลายๆ คน พอภาวนาไปแล้ว ก็เริ่มคิดว่าเป็นนักภาวนา บางทีเราก็หลงไปสร้างภาพความเป็นคนดีขึ้นมาทันที จนลืมนึกถึงไปว่าเราภาวนาเพื่อเห็นความจริง และความจริงนี้ก็เป็นความจริงธรรมดาของกายและใจเท่านั้นเอง
พันธกุมภา
ช่วงเข้าพรรษาที่ผ่านมา ผมตั้งใจอธิษฐานในการภาวนาในรูปแบบอิริยาบถ เดิน ยืน นั่ง หรือ “เนสักชิก” ซึ่งเป็นธุดงควัตร นั้นหมายความว่าช่วงกลางคืนผมจะไม่นอนหลับ แต่จะเจริญสติอย่างต่อเนื่องตั้งแต่หัวค่ำจนถึงช่วงสว่าง และใช้ชีวิตต่ออย่างปกติ
พันธกุมภา
สำหรับเรื่องป่าเขา มีเรื่องหนึ่งที่ผมจำได้ ตอนนั้นในการเข้าร่วมคอร์สภาวนาแห่งหนึ่ง อาจารย์ผู้นำกระบวนการ ได้เชื้อเชิญให้ผู้เข้าร่วมทุกคน ได้ร่วมหาคำตอบของชีวิตโดยการเข้าไปในป่า และอยู่ตรงนั้นเพื่อหาคำตอบให้กับชีวิตของตัวเอง โดยการอยู่เงียบๆ และอยู่กับตัวเองคนเดียวให้มากที่สุด ไม่พูดไม่คุยกับใคร และรอคำตอบที่เกิดขึ้นในใจของเรา
พันธกุมภา
ชีวิตในการอยู่ท่ามกลางขุนเขา ป่าไม้ ร่มไพร ลำธาร เป็นช่วงเวลาที่ทำให้ได้มีอากาสเฝ้ามองใจของตัวเองได้อย่างลึกซึ้ง เป็นบรรยากาศที่เห็นอาการต่างๆ เกิดขึ้น แปรเปลี่ยนไป ตามการปรุงแต่งของอารมณ์และสิ่งที่เข้ามากระทบภายนอก ทั้งการดูผ่านตา ได้ยินผ่านหู ได้กลิ่นผ่านจมูก ก็ตาม
พันธกุมภา
ผมชอบเดินทางไปในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยเพราะจะทำให้จิตใจตัวเองเกิดอารมณ์ต่างๆ มากมาย ทั้งที่ไม่ค่อยจะเกิด เช่น ความขุ่นเคืองใจในการตากแดด ความกลัวจากการเดินในป่าช้า ความเหนื่อยจากการเดินหลงทาง เป็นต้น ซึ่งการหาสิ่งใหม่ให้ใจได้รู้ได้เห็นนี้จะช่วยให้เห็นสภาวะต่างๆ เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย ถือเป็นอุบายหนึ่งในการภาวนา
พันธกุมภา
การเจริญสติในช่วงที่อยู่ที่วัดป่าสุคะโต ภายหลังจากผ่านบททดสอบแรกเรื่องการเดินจงกรมที่ผมมัวแต่ไปตั้งท่าว่าอยากรู้อยากดูสภาวะแล้ว ก็ได้เกิดความรู้สึกตัวขึ้นว่าตัวเองนั้นเผลอไปจ้องมองเสียนาน
พันธกุมภา
การเดินทางมาเจริญสติที่วัดป่าสุคะโตในช่วงก่อนเข้าพรรษานี้ แม้ว่าที่พักจะไม่เพียงพอแต่ผมก็ได้นอนด้านบนศาลา ซึ่งมีผู้คนมาจากหลายๆ ที่มาร่วมเจริญสติ และยังมีคณะผ้าป่าที่มาร่วมทอดผ้าป่าอีกด้วย ครานี้ที่วัดจึงแน่นไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา อยู่ในวัยเด็กเล็ก ไปจนถึงผู้สูงอายุ
พันธกุมภา
วันเข้าพรรษาปีนี้ผมมีความตั้งใจกับตัวเองที่จะภาวนาให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้นโดยการเจริญสติในรูปแบบอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มความอดทน พากเพียรให้กับตัวเอง ในการมีสติสัมปชัญญะมากยิ่งขึ้นกว่าชีวิตปกติที่ผ่านมา
พันธกุมภา
 สวัสดีประชาไท สวัสดี ผองน้องพี่ ประชาไทสบายดี กันไหม ให้ถามหาได้พบกัน แบ่งปันธรรม แต่นานมาขอขอบคุณ วิถีพา เราพบกัน
พันธกุมภา
  เรื่องนี้ผ่านมานานแล้ว, ปลายฝนต้นหนาว อากาศร้อนระอุไปทั่วแผ่นฟ้า ผมไม่ค่อยได้มีโอกาสมานั่งพักผ่อนอยู่นิ่งๆ คนเดียวมานานแล้ว เพราะหน้าที่การงานที่มากมาย ทำให้ฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมาของผมเป็นช่วงเวลาที่ผ่านไปอย่างไร้ค่า เพียงเพราะผมมุ่งแต่จะทำงาน แต่ไม่ได้มีโอกาสได้ดูแลคนที่ผมรักเลยแม้แต่น้อย ผมทำงานที่มูลนิธิแห่งหนึ่ง เราทำงานเพื่อสังคม มีอุดมการณ์ที่อยากเห็นคนในสังคมมีคุณภาพชีวิตที่ดี งานที่เราทำเป็นงานเพื่อส่วนรวม เพื่อประโยชน์ของคนอื่น ซึ่งนั่นทำให้ผมต้องมีเวลาให้กับงาน ให้กับคนอื่นมากกว่าการดูแลตัวเองและการดูแลคนที่ผมรัก
พันธกุมภา
ชีวิตเกิดมาหนนี้ สิ่งที่ต้องการสูงสุดคืออะไร? คำถามนี้ ถามแล้ว ถามอีก ใจคอยถามอยู่ตลอดเวลาว่าต้องการอะไร ปรารถนาสิ่งใด ทำไมยังไม่มุ่งไปทางนั้นให้เต็มที่ ไยจึงกลัวที่จะเลือก ที่จะตัดสินใจ แม้ว่ารู้และเห็นว่าความน่ากลัว สังเวช อนาถใจของการเวียนว่ายนี้มีมากน้อยเพียงใด แต่เหตุใด ใจจึงไม่เคยหลุดออกจากสมมุติมากมายที่เกาะกุมเราไว้
พันธกุมภา
ช่วงหลังๆ นี้ผมได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับญาติธรรมกัลยาณมิตรหลายๆ คน ซึ่งแต่ละคนก็เจอสภาวะจิตที่แตกต่างกัน มีรูปแบบการภาวนาที่แตกต่างกัน ตามจริต ตามเหตุ ปัจจัยของแต่ละคน ทำให้แต่ละคนเจอกับสภาวะต่างๆ ที่ไม่เหมือนกัน และมีความรู้ ตื่น เบิกบาน ที่มากมายคละกันไป กัลยาณมิตรที่ร่วมสนทนากันนี้มีอยู่ในหลายวัย หลากอาชีพ และมีความสนใจในการภาวนาที่แตกต่างกัน บางคนมีปัญหาเรื่องความรัก ปัญหาครอบครัว ปัญหากับที่ทำงาน ปัญหากับการเรียน และก็ล้วนแต่มองเห็นว่าการภาวนาโดยการเจริญสติรู้กายรู้ใจในชีวิตประจำวันนี้จะทำให้ตัวเองได้เข้าใจความทุกข์และพ้นจากความทุกข์