Skip to main content

มีนา

ถึง...ลูกปัดไข่มุกและพันธกุมภา

ความระลึกถึงวัยเยาว์เมื่อครั้งยังเป็นเด็กสาวสดใสอย่างลูกปัดไข่มุก อดรู้สึกไม่ได้ว่าน้องช่างมี “ทาง” ที่ดีเสียจริง น้องได้เติบโตจากครอบครัวที่หล่อหลอมสิ่งที่ดีงามให้ ทั้งการทำบุญ ทาน และเสริมให้สร้างบารมี ต้องขอบคุณแม่และพ่อที่ปูทางที่ดีให้กับลูก หากมีธรรมแล้ว ไม่ต้องกลัวเลยว่าเด็กสาวและคนรุ่นใหม่จะไม่เติบโตอย่างมีรากเหง้า รู้คิด เพราะกระบวนการเรียนรู้เหล่านี้ไม่ใช่แค่ได้ “ความรู้” หากยังได้ “สติ” และ “ปัญญา” ซึ่งความรู้สมัยใหม่ไม่มีความลึกซึ้งพอ

เมื่อเราปฏิบัติหรือยังไม่ปฏิบัติก็ตาม เรามักยึดติดกับตัวตน (Ego) และเราไม่ได้พยายามลดมัน ที่เราไม่ลดเพราะเราไม่ค่อยรู้ จนกว่าจะมีคนบอกหรือประสบกับมันเอง แม้คนจะปฏิบัติธรรมมามากมายเพียงใดก็ตาม หากรู้ไม่เท่าทันมันแล้ว เมื่อพบ...ก็อาจจะได้รู้ว่า อืม! เรานี่ไม่ได้ก้าวหน้าจริงๆ เพราะการลดความเป็นตัวตนก็เป็นทางเลือกทางแรกที่เจ้าชายสิทธัตถะเลือก

ท่านเลือกที่จะสละความสะดวกสบาย ราชสมบัติมากมาย และครอบครัวที่แม้ไม่มีท่านก็สามารถจะอยู่ได้อย่างสบายกาย (อาจจะไม่สบายจิต) ท่านลดตนเป็นคนธรรมดา เป็นนักบวชที่นุ่งห่มเพียงผ้าเก่าของคนที่ไม่ใช้แล้ว เพื่อฝึกตนเองให้อยู่อย่างเท่าทันตนเอง

ท่านเลือกที่จะ “วาง” สิ่งภายนอก ความยกย่องนับถือจากผู้อื่นในฐานะที่ท่านเป็นเจ้าชายสืบเชื้อสายมาจากเทวดา (ศากยะวงศ์) เพื่อเรียนรู้ตัวตนด้านในและลดความเป็นตัวตนที่คนอื่นเห็น หรือสร้างให้คนอื่นเห็นว่าตนเป็นอย่างไร พระพุทธองค์ต้องวางสิ่งภายนอกไว้นอกท่านจริงๆ ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งที่ทำได้ยากสำหรับเราๆ ท่านๆ หลายคนรวมทั้งพี่เองที่ไม่ได้ตั้งจุดมุ่งหมายว่าจะเดินทางไปให้ถึงนิพพาน หรือการปฏิบัติธรรมเพื่อไปให้ถึงจุดนั้น แต่สิ่งง่ายๆ ที่ค้นพบว่าเมื่อทำแล้วเบาสบายก็คือการเท่าทันและวางความเป็นตัวตน

ในสังคมทั่วไป ใครๆ จะมองเราว่า เราเป็นคนเก่ง เรียนได้ถึงปริญญาโท ปริญญาเอก หน้าตาหล่อ สวย มีหน้าที่การงานที่ดีเพียงใด หากใจเราไม่สบายใจ ไม่สบายกายแล้ว สิ่งเหล่านี้ช่วยเราได้อย่างไร หากจะช่วย อาจช่วยเพียงว่าคนอื่นๆ มาสรรเสริญ เยินยอเราว่าเราเป็นอย่างไร แต่ไม่ได้ลดความไม่สบายกาย ไม่สบายใจนั้นลงได้เลย

เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้มีโอกาสไปทำบุญที่วัดแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ วัดนั้นกำลังฉลองพัดยศให้กับเจ้าอาวาส เนื่องจากท่านได้รับพระราชทานพัดยศพร้อมกับเรียนจบศาสนาและปรัชญาในระดับปริญญาโท จากมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย พี่สังเกตดูว่าท่านไม่ได้ชื่นชมโสมนัสกับพัดยศและปริญญาของท่านเท่ากับเหล่าบรรดาญาติโยมที่มาทำบุญและพากันสรรเสริญเยินยอท่านเลย ซึ่งนับว่าท่านฝึกการวางมาได้อย่างดี

สำหรับพี่แล้ว พี่มองเสมอว่า วัดเป็นที่สำหรับให้เด็กผู้ชายได้มีโอกาสได้รับการศึกษา โดยเฉพาะเด็กที่มาจากครอบครัวยากจนในพื้นที่ห่างไกล ครอบครัวและเครือญาติไม่สามารถสนับสนุนให้เด็กได้รับการศึกษาได้ ต่อมาจึงมีคำถามว่า แล้วที่สำหรับเด็กผู้หญิงล่ะ อยู่ที่ไหน หากเป็นสมัยก่อน ที่สำหรับผู้หญิงอาจมีแค่โรงงาน สถานบริการต่างๆ ที่ต้องการแรงงานผู้หญิง ส่วนผู้ชายจะได้เลือกงานดีๆ เพราะผู้ชายที่มาอยู่วัดและเข้ารับการศึกษา เมื่อถึงเวลาก็อาจจะลาสิกขาเพื่อกลับไปสู่การมีครอบครัว อยู่ทางโลก

สำหรับพี่ไม่มีอะไรผิด สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว หากสังคมยังสร้างให้คนเป็นคนดี มีระบบการดูแลเด็กและเยาวชนที่ดี เพียงแต่ถามหาสิ่งที่ดีให้กับคนอีกครึ่งหนึ่งเท่านั้นว่า อยู่ที่ไหน? หากการพัฒนาจิตใจไม่เลือกเพศ อย่างที่ “ลูกปัดไข่มุก” เป็นเด็กผู้หญิงที่ได้รับการสนับสนุน พันธกุมภาสามารถเลือกทางเดินชีวิตของตัวเองได้แล้ว พี่...ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง เพียงตั้งคำถามกลับสู่สังคมว่า ทางเลือกสำหรับผู้หญิงและเด็กผู้หญิงที่ยากลำบากอยู่ที่ไหน มีสถานที่ปลอดภัยและดูแลที่ไม่กดขี่และเปิดโอกาสทางการศึกษาให้บ้างหรือไม่

การลดความเป็นตัวตนที่แน่นหนัก และพัฒนาตัวตนที่รู้เท่าทันโลกจะไม่สามารถดำเนินไปได้เลย หากสังคมทั่วไปยังไม่สามารถสร้างที่ เปิดทางให้กับคนเพศต่างๆ อย่างเท่าเทียม แม้ว่าพระพุทธองค์จะเปิดทางให้กับผู้หญิงพัฒนาด้านจิตวิญญาณจนกระทั่งมีพระเถรีหลายองค์ที่สามารถเข้าถึงอรหันตผล แต่พุทธศาสนิกชนหลายคนก็ยังไม่เปิดทางนั้น

ยังดีที่โลกสมัยนี้ยังเปิดให้การเดินทางของผู้หญิงโดยที่ไม่มีพ่อ แม่ ญาติพี่น้องไปด้วยนั้นปลอดภัย ทำให้ “ลูกปัดไข่มุก” สามารถเดินทางไปฝึกกรรมฐาน เจริญสติได้ หากเป็นสมัยก่อนและบางพื้นที่สมัยนี้ อย่างประเทศที่ดูในข่าวเท่าไรก็ไม่เคยเป็นเงาของผู้หญิงในที่สาธารณะเลย ทำอย่างไรผู้หญิงก็ไม่อาจปลอดภัยได้

พี่มักมีคำถามเสมอว่า เราต้องหนีจากสังคมที่ไม่ดี ไม่เอื้อให้เรา ไปสู่สังคมที่ไม่ดีเท่านั้นหรือ ซึ่งพี่มีความฝันเล็กๆ ว่าอยากจะสร้างสังคมที่ดี สังคมที่เอื้อให้กับคนดีอยู่ได้ เพราะคนดีอาจจะไม่ฉลาดเท่าทันคนฉลาด เพราะคนฉลาดและมีอำนาจมักสร้างระบบ (Social System) และโครงสร้างสังคม (Social Structure) ให้เอื้อประโยชน์ต่อพวกเขา ทำให้คนดีต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้... (หาไม่เจอ)

อย่างที่เราเคยเห็นในชุดรัฐบาลที่พยายามเปลี่ยนประเทศไทยอย่างมหาศาลว่า สิ่งไม่ดีที่เขาทำสำหรับสังคมไทยและกำลังถูกสืบทอดไปสู่รัฐบาลชุดอื่นๆ คือการสร้างระบบธุรกิจให้แทรกซึมไปสู่ทุกๆ สถาบันทางสังคม โดยเฉพาะสถาบันการศึกษาและศาสนา ขณะนี้สถาบันการศึกษาในสังคมไทยต้องหาเงินมาดูแลสถาบันของตนเอง โดยที่ไม่มีการปูรากฐานการทำงานที่ดี รัฐบาลเพียงออกคำสั่งว่า “ต้องเปลี่ยน” แต่เปลี่ยนอย่างไรนั้น ไปคิดเอาเอง คนที่คิดได้จึงเป็นนักธุรกิจ เพราะเห็นว่า ทำอย่างไรจึงจะหาเงินได้ หาสิ่งที่นำมาบริหารจัดการได้

การศึกษาฟรีนั้นมี แต่ไม่ดี ไม่มีคุณภาพ การศึกษาที่ดีและมีคุณภาพ หมายความว่าคุณต้องจ่ายตามคุณภาพและสมราคา จากการที่ประชาชนรู้ว่าเสียภาษีมาแล้วช่วยเหลือการศึกษา เป็นเงินเดือนให้ข้าราชการ มาตอนนี้ ค่าเรียนไม่ต้องเสีย แต่ขอค่าบำรุง เนื่องจากรัฐบาลให้โรงเรียนมาหาเอง บ้างก็นำไปลดหย่อนภาษีได้ บ้างก็เป็นกิจกรรมที่ล่อลวงใจ...

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว หากสถาบันศาสนา ยังไม่เท่าทันกับระบบและโครงสร้างสังคมอย่างที่เป็นอยู่เหมือนทุกวันนี้ ก็น่าเป็นห่วงว่าสถาบันศาสนาจะเป็นที่พึ่งพิงให้กับคนธรรมดาอย่างเราๆ ท่านๆ ได้อย่างไร

น่าดีใจ...ที่มีคนรุ่นใหม่ มาร่วมสร้างสังคมที่ดี อย่าง ลูกปัดไข่มุก พันธกุมภา และน้องๆ เพื่อนๆ พี่ๆ คนอื่นๆ

ครั้งนี้... พี่อยากชวนท่านๆ ที่มีโอกาสมาอ่านว่า เรามาร่วมสร้างสังคมที่ดีกันเถอะ อย่างน้อยก็ร่วมกันคิดว่า เราจะช่วยกันสนับสนุนสิ่งที่ดีที่มีคนทำอยู่และปรับสิ่งไม่ดีไป ฉันรู้ว่าคนไทยมีความฉลาดมากมาย แต่ที่ไม่แน่ใจคือได้นำความเฉลียวฉลาดนั้นมาสร้างสรรค์สิ่งที่ดีหรือไม่ แม้การปฏิบัติธรรมจะหลุดพ้นด้วยตนเพียงคนเดียว แต่การสร้างชุมชน สร้างสังคม สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีที่เอื้อให้ตัวเราและคนอื่นๆ หลุดพ้นไปด้วยนั้น ย่อมเป็นการเกื้อกูลกันทางหนึ่ง...ไม่ใช่ทางเดียว

บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ค่อยชอบอยู่กับตัวเอง เพราะมีความรู้สึกไม่มั่นคง อีกทั้งยังคิดว่าเราควรที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ บ้าง ในการใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน การเรียน หรือกิจกรรมต่างๆ ที่มีในความสัมพันธ์  แต่เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมและเพื่อนๆ จำนวนหนึ่งที่ทำงานขับเคลื่อนทางสังคมในเรื่องชีวิตทางเพศได้เข้าร่วมภาวนา หรือ Retreat ที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นการภาวนาเพื่อติดตามเพื่อนๆ ที่ได้ภาวนาในรุ่นต่างๆ ก่อนหน้านี้ให้ได้พบปะ พูดคุย แลกเปลี่ยน ซึ่งกันและกันว่าใครเป็นอย่างไร มีสุข มีทุกข์อย่างไรบ้าง
พันธกุมภา
เมื่อมีเวลาตรวจดูสภาวะจิตใจของตัวเองในช่วงนี้แล้ว ก็เหมือนกับว่าผมได้พบกันสภาวธรรมต่างๆ ที่แปรเปลี่ยนไปหลายๆ ประการ มีเกิด มีดับ สลับกันไปในจิตแต่ละช่วงขณะ คือค่อยๆ รู้สึกตัวบ้างในบางครั้ง รู้ว่าเผลอ รู้ว่าหลง รู้ว่าประคอง ในอารมณ์ต่างๆ เช่น ความคิด ความโกรธ หรือแม้กระทั่งความอยาก
พันธกุมภา
ผมถามพี่ที่รู้จักกันท่านหนึ่งว่า "ที่คนทั่วไปไม่ค่อยปฏิบัติธรรมเพราะอะไร"และพี่ท่านนี้ก็ได้ตอบจากประสบการณ์ของตัวเอง ว่า เมื่อก่อนเค้าไม่สนใจ  เพราะเป็นเด็กจะไม่ค่อยมีความทุกข์ แต่พอโตขึ้นแล้วไม่สามารถหาคำตอบได้ในบางคำถาม แต่ธรรมะกลับตอบได้
พันธกุมภา
ถามสวัสดีค่ะเหนื่อยจัง  นอนน้อยเลยเบลอมีคำถามมาถามน้องอีกแล้วค่ะ  คือเมื่อคืนและเมื่อหลายคืนก่อน ดูละครสาปภูษา กับสุสานภูเตศวรสองเรื่องนี้มีความเหมือนกันอยู่อย่างคือ  ย้อนยุค  ทะลุมิติ  โดยมีเรื่องวิญญาณมาเกี่ยวข้องจู่ๆ ก็มีคนถามขึ้นมาว่า  เชื่อเรื่อง ชาตินี้ ชาติหน้า ไหมทำให้พี่คิดขึ้นมาว่า เออ แล้วมันจริงเหรอ เรื่องนี้น่ะไม่รู้สิคะ  ตามความคิดส่วนตัวคือ เชี่อค่ะเชื่อ เลยไม่อยากทำอะไรไม่ดีเลย  อยากสั่งสมความดี สร้างบุญเพราะเราเห็นว่ามันสุขตั้งแต่นาทีที่ทำวันก่อนอ่านหนังสือคุณ ดังตฤณ พี่คิดว่าตามแนวคิดคุณดังตฤณ  มันก็มีจริงสิคะ ชาตินี้…
พันธกุมภา
ต่อจากการตอบจดหมายเรื่องทุกข์ใจกับคนที่ไม่ชอบเรา1 ขอบคุณอย่างยิ่งค่ะอ่านแล้วรู้สึกน้ำตาจะไหล
พันธกุมภา
ช่วงที่ผ่านมา มีจดหมายจาก คุณ พรพรรณ เขียนจดหมายมาสอบถามผม 4 เรื่องดังนี้  1. การที่เราต้องอยู่ร่วมกับคนที่เขาไม่ชอบเรา หรือมีทัศนคติที่ขัดแย้งกัน  เราควรทำอย่างไร2. การแผ่เมตตา  ช่วยให้ทุกข์ที่เกิดขึ้นคลายลง ได้หรือไม่  และการแผ่เมตตามีคุณอย่างไร3. การไปปฏิบัติ  จะช่วยให้เกิดผลบุญถึงเจ้ากรรมนายเวรได้จริงหรือเปล่าคะ4. คุณน้องเต้าเชื่อเรื่องกรรม หรือไม่คะ ผมได้รับและตอบกลับดังนี้.................... สวัสดีครับ ขอบคุณที่ไว้วางใจให้ผมได้แบ่งปันนะครับแต่...สภาวะของผมอาจเป็นคนอื่น…
พันธกุมภา
 คืนนี้ ดึกแล้วครับช่วงเวลาตีสามกว่าๆ ควรเป็นเวลาที่ผมจะได้นอนหลับอย่างสงบแต่ไม่รู้ทำไม? คืนนี้จึงเกิดความรู้สึกว่าอยากจะรวมเล่มบันทึก "ธรรมใจ ไดอารี่" นี้ให้เสร็จ
พันธกุมภา
ผมเขียนเรื่องนี้ตอนเพิ่งตื่น ตอนนี้ยังไม่ได้ล้างหน้า แปรงฟัน ตาก็ดูเบลอ ทำอะไรก็เบลอๆ อยู่นิดหนึ่ง ยังไม่ค่อยมีใจอยากจะทำอะไร ความขี้เกียจเป็นเพื่อนที่ไม่หนีไปไหน ยังคงยืนอยู่ข้างๆ กายผม ไม่อยากทำอะไรเลย แม้ว่าจะมีงานมากน้อยเพียงใด ผมอยากจะหยุดเวลาไว้ตรงที่การอยู่เฉยๆ เพราะเวลาไม่ได้ทำอะไรก็ดีไปอีกอย่าง...บอกไม่ถูกครับ
พันธกุมภา
  ตอนนี้ผมพบว่าความอ่อนล้าทำให้เหนื่อยกับสิ่งกำลังทำอยู่ ไม่ว่างานจะสนุกเพียงใด แต่ถ้าอะไรหลายๆ อย่างเข้ามาในชีวิตจนไม่สามารถจัดการได้ว่าจะทำอะไรก่อนหลัง วิธีการเรียงลำดับความสำคัญของงานเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ สำหรับการมีชีวิตที่สมดุลกัน
พันธกุมภา
แม่เพิ่งโทรมาถามผมว่าวันเกิดปีนี้จะทำอะไร? และเตือนว่าอย่าลืมไปทำบุญถวายพระ แถมยังบอกอีกว่าปีนี้ อยากให้ทำทานโดยการซื้อผ้าเช็ดตัวให้กับผู้เฒ่าผู้แก่และเลี้ยงอาหารกลางวันเด็กๆ ในหมู่บ้าน ผมรู้สึกดีใจที่คุณแม่โทรมา เพราะอย่างน้อยแสดงว่าท่านจำวันเกิดของผมได้ แม้ว่าผมจะไม่ค่อยตื่นเต้นอะไรกับวันเกิดเพราะมันก็เป็นวันธรรมดาวันหนึ่งสำหรับผม แต่ที่ไหนได้วันนี้เป็นวันสำคัญที่สุดในชีวิตของคุณแม่ เพราะท่านได้ให้การเกิดผมมาลืมตาดูโลก
พันธกุมภา
ช่วงอาทิตย์กว่าที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ที่คนรอบข้างผมต้องเสียชีวิตไปมากกว่า 3 คน คนหนึ่งเสียชีวิตด้วยการยิงตัวตาย อีกคนเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง และคนสุดท้ายเสียชีวิตดูความชรา การจากไปของคนรู้จักเหล่านี้ แน่นอนว่านำมาซึ่งความเสียใจ ความเศร้าโศก และมันก็ทำให้ผมคิดถึง “ความตาย” อยู่ทุกๆ ขณะ เพราะความตายนี้เป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเราจริงๆ ซึ่งมันเป็นการบอกย้ำธรรมชาติของชีวิตว่าชีวิตทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง
พันธกุมภา
หลังจากวันที่เริ่มบันทึกมาจนถึงวันนี้ ก็ผ่านเลยมาหลายวันแล้ว มีเรื่องราวหลายๆ อย่างเกิดขึ้นในชีวิตแต่เท่าที่สำคัญและจำได้ดีคือ ช่วงวันที่ 5 - 15 มกราคม ที่ผ่านมา ผมและเพื่อนๆ ที่ทำงานสุขภาวะทางเพศประมาณ 20 คนได้เข้าอบรมภาวนาภายในและการเรียนรู้โครงสร้างทางสังคม ที่บ้านสวนธารทิพย์ ซึ่งมีพี่อวยพร เขื่อนแก้ว เป็นกระบวนกรหลัก