Skip to main content

มีนา

ถึง...ลูกปัดไข่มุกและพันธกุมภา

ความระลึกถึงวัยเยาว์เมื่อครั้งยังเป็นเด็กสาวสดใสอย่างลูกปัดไข่มุก อดรู้สึกไม่ได้ว่าน้องช่างมี “ทาง” ที่ดีเสียจริง น้องได้เติบโตจากครอบครัวที่หล่อหลอมสิ่งที่ดีงามให้ ทั้งการทำบุญ ทาน และเสริมให้สร้างบารมี ต้องขอบคุณแม่และพ่อที่ปูทางที่ดีให้กับลูก หากมีธรรมแล้ว ไม่ต้องกลัวเลยว่าเด็กสาวและคนรุ่นใหม่จะไม่เติบโตอย่างมีรากเหง้า รู้คิด เพราะกระบวนการเรียนรู้เหล่านี้ไม่ใช่แค่ได้ “ความรู้” หากยังได้ “สติ” และ “ปัญญา” ซึ่งความรู้สมัยใหม่ไม่มีความลึกซึ้งพอ

เมื่อเราปฏิบัติหรือยังไม่ปฏิบัติก็ตาม เรามักยึดติดกับตัวตน (Ego) และเราไม่ได้พยายามลดมัน ที่เราไม่ลดเพราะเราไม่ค่อยรู้ จนกว่าจะมีคนบอกหรือประสบกับมันเอง แม้คนจะปฏิบัติธรรมมามากมายเพียงใดก็ตาม หากรู้ไม่เท่าทันมันแล้ว เมื่อพบ...ก็อาจจะได้รู้ว่า อืม! เรานี่ไม่ได้ก้าวหน้าจริงๆ เพราะการลดความเป็นตัวตนก็เป็นทางเลือกทางแรกที่เจ้าชายสิทธัตถะเลือก

ท่านเลือกที่จะสละความสะดวกสบาย ราชสมบัติมากมาย และครอบครัวที่แม้ไม่มีท่านก็สามารถจะอยู่ได้อย่างสบายกาย (อาจจะไม่สบายจิต) ท่านลดตนเป็นคนธรรมดา เป็นนักบวชที่นุ่งห่มเพียงผ้าเก่าของคนที่ไม่ใช้แล้ว เพื่อฝึกตนเองให้อยู่อย่างเท่าทันตนเอง

ท่านเลือกที่จะ “วาง” สิ่งภายนอก ความยกย่องนับถือจากผู้อื่นในฐานะที่ท่านเป็นเจ้าชายสืบเชื้อสายมาจากเทวดา (ศากยะวงศ์) เพื่อเรียนรู้ตัวตนด้านในและลดความเป็นตัวตนที่คนอื่นเห็น หรือสร้างให้คนอื่นเห็นว่าตนเป็นอย่างไร พระพุทธองค์ต้องวางสิ่งภายนอกไว้นอกท่านจริงๆ ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งที่ทำได้ยากสำหรับเราๆ ท่านๆ หลายคนรวมทั้งพี่เองที่ไม่ได้ตั้งจุดมุ่งหมายว่าจะเดินทางไปให้ถึงนิพพาน หรือการปฏิบัติธรรมเพื่อไปให้ถึงจุดนั้น แต่สิ่งง่ายๆ ที่ค้นพบว่าเมื่อทำแล้วเบาสบายก็คือการเท่าทันและวางความเป็นตัวตน

ในสังคมทั่วไป ใครๆ จะมองเราว่า เราเป็นคนเก่ง เรียนได้ถึงปริญญาโท ปริญญาเอก หน้าตาหล่อ สวย มีหน้าที่การงานที่ดีเพียงใด หากใจเราไม่สบายใจ ไม่สบายกายแล้ว สิ่งเหล่านี้ช่วยเราได้อย่างไร หากจะช่วย อาจช่วยเพียงว่าคนอื่นๆ มาสรรเสริญ เยินยอเราว่าเราเป็นอย่างไร แต่ไม่ได้ลดความไม่สบายกาย ไม่สบายใจนั้นลงได้เลย

เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้มีโอกาสไปทำบุญที่วัดแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ วัดนั้นกำลังฉลองพัดยศให้กับเจ้าอาวาส เนื่องจากท่านได้รับพระราชทานพัดยศพร้อมกับเรียนจบศาสนาและปรัชญาในระดับปริญญาโท จากมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย พี่สังเกตดูว่าท่านไม่ได้ชื่นชมโสมนัสกับพัดยศและปริญญาของท่านเท่ากับเหล่าบรรดาญาติโยมที่มาทำบุญและพากันสรรเสริญเยินยอท่านเลย ซึ่งนับว่าท่านฝึกการวางมาได้อย่างดี

สำหรับพี่แล้ว พี่มองเสมอว่า วัดเป็นที่สำหรับให้เด็กผู้ชายได้มีโอกาสได้รับการศึกษา โดยเฉพาะเด็กที่มาจากครอบครัวยากจนในพื้นที่ห่างไกล ครอบครัวและเครือญาติไม่สามารถสนับสนุนให้เด็กได้รับการศึกษาได้ ต่อมาจึงมีคำถามว่า แล้วที่สำหรับเด็กผู้หญิงล่ะ อยู่ที่ไหน หากเป็นสมัยก่อน ที่สำหรับผู้หญิงอาจมีแค่โรงงาน สถานบริการต่างๆ ที่ต้องการแรงงานผู้หญิง ส่วนผู้ชายจะได้เลือกงานดีๆ เพราะผู้ชายที่มาอยู่วัดและเข้ารับการศึกษา เมื่อถึงเวลาก็อาจจะลาสิกขาเพื่อกลับไปสู่การมีครอบครัว อยู่ทางโลก

สำหรับพี่ไม่มีอะไรผิด สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว หากสังคมยังสร้างให้คนเป็นคนดี มีระบบการดูแลเด็กและเยาวชนที่ดี เพียงแต่ถามหาสิ่งที่ดีให้กับคนอีกครึ่งหนึ่งเท่านั้นว่า อยู่ที่ไหน? หากการพัฒนาจิตใจไม่เลือกเพศ อย่างที่ “ลูกปัดไข่มุก” เป็นเด็กผู้หญิงที่ได้รับการสนับสนุน พันธกุมภาสามารถเลือกทางเดินชีวิตของตัวเองได้แล้ว พี่...ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง เพียงตั้งคำถามกลับสู่สังคมว่า ทางเลือกสำหรับผู้หญิงและเด็กผู้หญิงที่ยากลำบากอยู่ที่ไหน มีสถานที่ปลอดภัยและดูแลที่ไม่กดขี่และเปิดโอกาสทางการศึกษาให้บ้างหรือไม่

การลดความเป็นตัวตนที่แน่นหนัก และพัฒนาตัวตนที่รู้เท่าทันโลกจะไม่สามารถดำเนินไปได้เลย หากสังคมทั่วไปยังไม่สามารถสร้างที่ เปิดทางให้กับคนเพศต่างๆ อย่างเท่าเทียม แม้ว่าพระพุทธองค์จะเปิดทางให้กับผู้หญิงพัฒนาด้านจิตวิญญาณจนกระทั่งมีพระเถรีหลายองค์ที่สามารถเข้าถึงอรหันตผล แต่พุทธศาสนิกชนหลายคนก็ยังไม่เปิดทางนั้น

ยังดีที่โลกสมัยนี้ยังเปิดให้การเดินทางของผู้หญิงโดยที่ไม่มีพ่อ แม่ ญาติพี่น้องไปด้วยนั้นปลอดภัย ทำให้ “ลูกปัดไข่มุก” สามารถเดินทางไปฝึกกรรมฐาน เจริญสติได้ หากเป็นสมัยก่อนและบางพื้นที่สมัยนี้ อย่างประเทศที่ดูในข่าวเท่าไรก็ไม่เคยเป็นเงาของผู้หญิงในที่สาธารณะเลย ทำอย่างไรผู้หญิงก็ไม่อาจปลอดภัยได้

พี่มักมีคำถามเสมอว่า เราต้องหนีจากสังคมที่ไม่ดี ไม่เอื้อให้เรา ไปสู่สังคมที่ไม่ดีเท่านั้นหรือ ซึ่งพี่มีความฝันเล็กๆ ว่าอยากจะสร้างสังคมที่ดี สังคมที่เอื้อให้กับคนดีอยู่ได้ เพราะคนดีอาจจะไม่ฉลาดเท่าทันคนฉลาด เพราะคนฉลาดและมีอำนาจมักสร้างระบบ (Social System) และโครงสร้างสังคม (Social Structure) ให้เอื้อประโยชน์ต่อพวกเขา ทำให้คนดีต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้... (หาไม่เจอ)

อย่างที่เราเคยเห็นในชุดรัฐบาลที่พยายามเปลี่ยนประเทศไทยอย่างมหาศาลว่า สิ่งไม่ดีที่เขาทำสำหรับสังคมไทยและกำลังถูกสืบทอดไปสู่รัฐบาลชุดอื่นๆ คือการสร้างระบบธุรกิจให้แทรกซึมไปสู่ทุกๆ สถาบันทางสังคม โดยเฉพาะสถาบันการศึกษาและศาสนา ขณะนี้สถาบันการศึกษาในสังคมไทยต้องหาเงินมาดูแลสถาบันของตนเอง โดยที่ไม่มีการปูรากฐานการทำงานที่ดี รัฐบาลเพียงออกคำสั่งว่า “ต้องเปลี่ยน” แต่เปลี่ยนอย่างไรนั้น ไปคิดเอาเอง คนที่คิดได้จึงเป็นนักธุรกิจ เพราะเห็นว่า ทำอย่างไรจึงจะหาเงินได้ หาสิ่งที่นำมาบริหารจัดการได้

การศึกษาฟรีนั้นมี แต่ไม่ดี ไม่มีคุณภาพ การศึกษาที่ดีและมีคุณภาพ หมายความว่าคุณต้องจ่ายตามคุณภาพและสมราคา จากการที่ประชาชนรู้ว่าเสียภาษีมาแล้วช่วยเหลือการศึกษา เป็นเงินเดือนให้ข้าราชการ มาตอนนี้ ค่าเรียนไม่ต้องเสีย แต่ขอค่าบำรุง เนื่องจากรัฐบาลให้โรงเรียนมาหาเอง บ้างก็นำไปลดหย่อนภาษีได้ บ้างก็เป็นกิจกรรมที่ล่อลวงใจ...

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว หากสถาบันศาสนา ยังไม่เท่าทันกับระบบและโครงสร้างสังคมอย่างที่เป็นอยู่เหมือนทุกวันนี้ ก็น่าเป็นห่วงว่าสถาบันศาสนาจะเป็นที่พึ่งพิงให้กับคนธรรมดาอย่างเราๆ ท่านๆ ได้อย่างไร

น่าดีใจ...ที่มีคนรุ่นใหม่ มาร่วมสร้างสังคมที่ดี อย่าง ลูกปัดไข่มุก พันธกุมภา และน้องๆ เพื่อนๆ พี่ๆ คนอื่นๆ

ครั้งนี้... พี่อยากชวนท่านๆ ที่มีโอกาสมาอ่านว่า เรามาร่วมสร้างสังคมที่ดีกันเถอะ อย่างน้อยก็ร่วมกันคิดว่า เราจะช่วยกันสนับสนุนสิ่งที่ดีที่มีคนทำอยู่และปรับสิ่งไม่ดีไป ฉันรู้ว่าคนไทยมีความฉลาดมากมาย แต่ที่ไม่แน่ใจคือได้นำความเฉลียวฉลาดนั้นมาสร้างสรรค์สิ่งที่ดีหรือไม่ แม้การปฏิบัติธรรมจะหลุดพ้นด้วยตนเพียงคนเดียว แต่การสร้างชุมชน สร้างสังคม สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีที่เอื้อให้ตัวเราและคนอื่นๆ หลุดพ้นไปด้วยนั้น ย่อมเป็นการเกื้อกูลกันทางหนึ่ง...ไม่ใช่ทางเดียว

บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
ผมคิดไว้มานานหลายเดือนแล้วว่า จะตั้งใจเขียน "บันทึกการเจริญสติ" ของตัวเองขึ้นมาเพราะคิดว่าคงจะดี ถ้าได้บันทึกไว้ เพื่อการเรียนรู้ของตัวเอง และคนอื่นๆ ที่สนใจ ก่อนที่จะบันทึกในกาลต่อไป ขอเล่าเรื่องการภาวนาของตัวเองก่อน....สำหรับผมแล้ว เริ่มต้นของการปฏิบัติคือเมื่อปลายปี 2549 ก็เกิดจากทุกข์ทางใจ เพราะงานเยอะ เครียด และตอนนั้นแฟนจะขอเลิก เขาเลยเสนอว่าให้ไปปฏิบัติธรรมเพื่อทำใจ จึงได้สมัครไปปฏิบัติของท่าน โกเอ็นก้า ที่ ธรรมอาภา จ.พิษณุโลก พอไปทำมา 10 วัน ก็ดีใจ ที่ทุกข์ครั้งนี้ทำให้ได้พบกับธรรมะ
พันธกุมภา
พันธกุมภาถึง มีนา ปลายปี 2551 นี้ ผมมีโปรแกรมไปเจริญสติที่วัดป่าสุคะโตอีกครั้ง ภายหลังจากเมื่อสิ้นปี 2550 ที่ผ่านมาผมได้เดินทางไปที่วัดป่าสุคะโตแล้วและได้พบหลัก พบหนทาง หลายอย่างที่เหมาะสมกับตัวเองยิ่งนัก แต่การเดินทางไปครั้งนี้ไม่เหมือนปีก่อน....มีหลายเรื่องเกิดขึ้น เปลี่ยนแปลง ไปตามกาลเวลา สิ่งที่เข้ามารับรู้ทำให้อารมณ์ของผมเกิดขึ้นไปต่างๆ นานา และสิ่งที่เสียใจที่สุด ทำให้ใจหม่นหมองมาหลายวัน นั่นคือการมรณภาพของ "หลวงปู่" เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน
พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง มีนา เมื่อฉบับที่แล้ว ผมได้กล่าวถึงโครงการ “ธรรมทานสู่โรงพยาบาล” ที่ผมและลูกปัดไข่มุก ร่วมกันทำในนามกลุ่ม “ธรรมะทำดี” – กลุ่มที่เราสองคนร่วมกันคิด ร่วมกันก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา เพื่อการเผยแพร่ธรรมะที่เราได้พบและเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นๆ ทั้งวัยรุ่นและผู้ใหญ่ ที่ผ่านมา พวกเราสองคนต้องขอบคุณพี่ๆ หลายๆ ท่านที่ได้ส่งหนังสือมาให้นะครับ ตอนนี้มีคนที่มอบหนังสือมาหลายเล่ม ทั้งนิตยสาร และหนังสือธรรมะ และก็มีบางส่วนที่เราไปหาซื้อแถวจตุจักร จากเงินเก็บของเราที่มีอยู่
พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง พี่มีนา  ผมหายจากหน้าจอไปนานเพราะมีงานให้ทำ จนฟกช้ำจิตใจไปทั่วเลย ไม่ค่อยมีเวลาได้พัก เพราะงานที่ผมรัก ทำให้ผมต้องใช้กำลังกายและความคิดมากเหลือล้น ผมจึงเป็นดั่งคนที่นำเอาพลังชีวิตในอนาคตมาใช้ ซึ่งตอนนี้ไม่รู้ว่าจะพอมีเรี่ยวแรงเหลือใช้หรือไม่ในกาลต่อไป เฮ้อ...แต่ที่จะเล่าให้พี่ฟังครานี้ก็คือ ช่วงที่ผ่านมาผมและ “ลูกปัดไข่มุก” ได้ไปจัดห้องสนทนาธรรมชื่อห้องว่า “ห้องธรรมตามใจ” เนื่องในงานเพศศึกษาวิชาการขององค์การแพธ แล้วมีเรื่องที่น่าสนใจมากมาย ทว่าในฉบับนี้อยากเอาคำคมชวนคิดที่ “ลูกปัดไข่มุก” และผมได้ช่วยกันคิดและเขียนขึ้นมาบอกเล่าต่อ ดังนี้ครับ 1.…
พันธกุมภา
มีนา ถึง...น้อง พันธกุมภา ความขี้เกียจมันไม่เข้าใคร ออกใครจริงๆ ... แต่ตอนนี้ต้องเริ่มลุกขึ้นมาทำงานแล้ว เพราะคนที่อดทนไม่ได้เมื่อเราไม่ทำงานก็คือ “แม่” ของเราเอง แม่ของพี่ เป็นภาพสะท้อนของคนจีนในเมืองไทย รุ่นที่ 2 ที่ยังคง ลำบาก ทำงานหนัก และถือปรัชญาพุทธ “ขงจื๊อ” ในเรื่องการทำงานว่าต้องมี ความซื่อสัตย์ ไม่เอารัดเอาเปรียบ ความขยัน อดทน และอดออม แม่มีทุกอย่างจริงๆ แต่พี่อาจจะไม่มีทุกอย่าง อย่างที่แม่มี เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตที่เรามีความเหมือนและความต่าง แม้เราจะเติบโตมาท่ามกลางครอบครัวที่สอนให้เราเป็นคนค้าขาย เราอาจจะไม่ได้อยากค้าขาย ครอบครัวสอนให้เราทำงานหนัก…
พันธกุมภา
มีนาถึง พันธกุมภาช่วงนี้เป็นเวลาพักของพี่ ช่างเป็นช่วงเวลาที่สั้นมากๆ ในความรู้สึก... แต่พี่อดคิดถึงน้องไม่ได้... แล้ววันหนึ่ง... โดยที่ไม่คาดคิด เราก็มาพบกันโดยที่มิได้คาดหมายหรือนัดกันไว้ก่อน พี่อดคิดไม่ได้ว่า ชีวิตคนเราช่างแปลกจริงๆ เราก็มาพบกันจนได้ เพราะความไม่สบายของพี่ชายเพื่อนของเรา ส่วนตัวพี่ไปบ้านนั้นเพราะต้องการไปดูแลตัวเองนอกจากได้ไปดูแลตัวเองและพบกับน้องแล้ว พี่ยังได้พบกับเพื่อนอีกหลายคน ที่ไม่ได้พบกันนานที่นั่น ใครหลายคนบอกว่า โลกมันช่างแคบ ถ้าเรารู้จักคนนี้ เราก็จะรู้จักคนนั้น แต่อาจจะไม่ใช่ในช่วงเวลาเดียวกันเท่านั้นเองการพักผ่อนของพี่ ก็คงเหมือนกับคนทั่วๆ…
พันธกุมภา
มีนา ถึง...พันธกุมภา ตั้งแต่ตกงาน พี่ยังไม่ได้หยุดงานเลย พี่พบว่าโลกปัจจุบันมีงานอยู่หลายประเภท ขึ้นอยู่กับว่าใครจะนิยามมันว่าเป็นงานอย่างไร สำหรับชีวิตพี่ตอนนี้ มีงานแบบที่ถูกให้คุณค่าทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคม และงานที่ไม่ได้ถูกให้ค่าเชิงเศรษฐกิจแต่จำเป็นต้องทำ อันนี้ยังไม่ได้นับรวมเรื่องทางธรรมที่พี่ไปพบมา คืองานที่ทำแล้วไม่มีคุณค่าทางโลกแต่ได้ “บุญ” คิดดูสิว่า... ในโลกเรามีงานมากมายขนาดไหน งานที่พี่ลาออกมาเพื่อขอพัก พี่ยังไม่ได้พักเลยจนกระทั่งบัดนี้ เพราะพี่ทำแต่งานที่ไม่ให้ค่าทางเศรษฐกิจ อย่าง การดูแลแม่ งานบ้าน และการดูแลบ้าน และยังงานอื่นๆ ที่ต้องเกี่ยวข้องกับครอบครัว…
พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง มีนา ผมขอแสดงความดีกับพี่สาวของผมด้วยนะครับ ที่มีโอกาสได้พักผ่อน แม้ว่าหลายคนจะบอกว่าการที่เราตกงานนั้นเปรียบเสมือนการพายเรือในมหาสมุทรที่กว้างใหญ่เคว้งคว้างไม่รู้ว่าจะมีหนทางในงานใหม่อย่างไรได้อีก ผมทราบดีว่าพี่คงจะเหนื่อยจากการทำงานมิน้อยเลย และเชื่อว่าการได้รับมอบหมายงานเยอะคงไม่ใช่สาเหตุของการออกจากงานหรอกใช่ไหมครับ ผมรู้ว่าจดหมายหลายฉบับที่พี่ได้เขียนมาบอกเล่านั้นมันสะท้อนให้เห็นถึงการต่อสู้กับวิถีชีวิตความเป็นคนในเมืองหลวง และรวมถึงการต้องสัมพันธ์กับคนมากหน้าหลายตา ที่มีตัวตนแตกต่างกันไป การที่เราทำงานที่เรารัก…
พันธกุมภา
มีนา  ถึง พันธกุมภา พี่กำลังจะเป็นคนตกงานค่ะ... ฉันกำลังจะเป็นคนตกงานค่ะ เดือนสิงหาคมนี้เป็นเดือนสุดท้ายสำหรับการทำงานอย่างเป็นทางการของฉัน ญาติพี่น้อง... เจ้านาย... เพื่อนร่วมงาน... เพื่อน... ต่างเป็นห่วงเป็นใยกลัวว่าพี่จะว่าง กลัวว่าฉันจะไม่มีงานทำ ไม่มีเงินใช้ ตอนที่ฉันทำงาน พวกเขาต่างให้ความห่วง ความกังวล ว่าฉันทำงานหนักเกินไป  คนและสังคมสมัยนี้ให้คุณค่ากับการทำงานมากกว่าคุณค่าของความว่างงาน พี่เคยมีประสบการณ์การตกงานมาก่อนหน้านี้แล้ว ครั้งนั้นพี่ยังไม่สามารถปล่อยวางเรื่องการว่างงานได้ แต่ครั้งนี้ พี่พยายามปล่อยวางเรื่องการงานในปัจจุบันเพื่อพบกับความว่าง …
พันธกุมภา
  พันธกุมภาถึง มีนาเมื่อฉบับที่แล้วพี่มีนาได้กล่าวถึงเรื่องการ "ปล่อยวาง" ซึ่งผมมองว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งของการปฏิบัติธรรม เพราะหาไม่แล้วเราก็เป็นเพียงแค่ผู้เผชิญกับความสุขที่จิตใจเกิดขึ้นโดยที่หลงยึดติดอย่างไม่ทันรู้ตัวทั่วถ้วนสิ่งที่ผมอยากจะเน้นย้ำในที่นี้ก็คือ เรื่องการปล่อยวาง หรือ การวางเฉย ซึ่งคล้ายกับภาษาธรรมที่เรียกว่า "อุเบกขา" นี้ ถือได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิบัติธรรมอย่างยิ่ง เพราะอย่างที่เราได้รู้กันมานั้นก็คือ ในการปฏิบัติธรรมนั้น ถือว่ามีด้วยกัน 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ การทำสมถะ และการทำวิปัสสนา เท่าที่รู้, การทำสมถะ คือ การทำให้จิตสงบ ทำให้จิตนิ่ง…
พันธกุมภา
มีนา สวัสดี พันธกุมภา รู้ว่าน้องสบายดี พี่ก็ยินดีไปด้วย การดำรงชีวิตอย่างมีสติไม่ใช่เรื่องง่าย พี่ก็ว่างบ้างไม่ว่างบ้าง เพียงแต่ช่วงเวลาที่น้องไม่ว่าง บังเอิญพี่ว่าง ซึ่งเป็นเรื่องดีที่เราจะมีจังหวะชีวิตที่แตกต่างกัน และทำให้การเขียนงานลงตัว พี่ยังคิดอยู่ว่า ถ้าไม่ว่างขึ้นมาพร้อมๆ กัน คงมีปัญหาแน่ๆ สำหรับพี่ ความแตกต่างจึงน่าสนใจ เช่นเดียวกับฤดูที่แตกต่าง ชีวิตที่ขึ้นๆ ลงๆ ช่วงสัปดาห์ที่น้องกำลังมีความสุขอยู่นั้น ชีวิตของพี่เหน็ดเหนื่อยและผจญกับความทุกข์ของคนอื่น แล้วยึดมาเป็นความทุกข์ของตนเอง ... บางทีพี่ก็คิดว่า ทำไมเราจึงเป็นคนอย่างนั้นไปได้ และทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่…
พันธกุมภา
พันธกุมภา ถึง มีนา สวัสดีครับพี่มีนา เป็นอะไรไปถึงไหนอย่างไรบ้างครับ หวังว่าพี่จะสบายดีมีสติในทุกๆ ความสนุกนะครับ อืม...จะว่าไปแล้วเราก็ไม่ได้ตอบรับจดหมายกันนานทีเดียว บางทีพี่ก็ว่างมากมายจนผมรู้สึกอิจฉาตาร้อน และผมเองบางทีก็ว่างนิดหน่อย พอมีเวลามานั่งขีดเขียน เวียนวนให้พี่ได้ยลได้ติดตามอยู่เนืองๆ ช่วงที่ผ่านมาวันเข้าพรรษา ผมพาตัวเองไปเข้าวัดมาครับ แถวๆ เกาะสีชัง ได้ไปกับคนที่รักและใช้ชีวิต “ดูจิต” สนทนาธรรมและดื่มด่ำบรรยากาศอบอุ่นจากไอทะเล ทำกับข้าวกินกันริมชายฝั่ง นั่งนับดาวยามราตรี มีเวลาก็ขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวรอบเกาะ หาซื้อเงาะ ซื้อทุเรียนมานั่งกิน รินน้ำเปล่าชนกัน…