Skip to main content

มีนา

ถึง พันธกุมภา

พี่ชอบจดหมายรักฉบับนี้มาก เมื่ออ่านแล้วรู้สึกได้ถึงความรักที่สดใส และความเป็นคน “ธรรมดา” ของน้องที่ผ่านมา พี่ออกจะห่วงใยอยู่ลึกๆ ว่าน้องจะรีบโตมากไปหรือเปล่า รีบที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต รีบมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปมากไปไหม...จนอาจจะทำให้พลาดความสดใส ความรัก หรือสิ่งต่างๆ ที่เราน่าจะได้เรียนรู้ และเดินผ่านมันมาด้วยความสง่างาม หรือเจ็บปวดไปบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ที่ต้องเรียนรู้

พี่ก็ผ่านช่วงเวลา “หวาน” “ขมๆ” ของชีวิตมาบ้าง เช่นเดียวกับคนทั่วๆ ไป ที่มักจะมีความรักที่สมหวัง ผิดหวัง ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป พี่มักเลือกที่จะจดจำสิ่งที่ดี  ส่วนประสบการณ์ที่ไม่ดีก็เป็นสิ่งที่สอนให้เรารู้จักไตร่ตรอง เรียนรู้อย่างเท่าทัน... พี่ก็เคยมีชีวิตวัยเด็ก และวัยรุ่น เช่นเดียวกับน้อง...ไม่ต่างกัน ในความเหมือนมีความต่าง ในความต่างมีความเหมือน…ต่างเป็นภาพสะท้อน

หากความรักเป็นสิ่งที่งดงามแล้ว คนมักตั้งคำถามกับ “ความใคร่” และ “ความสุขนิรันดร์” ส่วนมากเมื่อคนมีความรัก มักตั้งคำถามว่า “เอ? นี่เรากำลังสุขหรือทุกข์อยู่” หลายคนไม่ได้ถามตรงไปตรงมาขนาดนี้ แต่อาจจะถามว่า “ทำไม เขาไม่โทรมาหาเรา” “วันนี้เราโทรหากันกี่ครั้งแล้ว” “ทำไม เขาพูดไม่ดีกับเรานะ” “เขาพูดคำนี้...หมายความว่าอย่างไร” คำถามมากมาย หากคิดง่ายๆ คือ เราเอาใจไปจดจ่อกับอีกคนหนึ่ง ว่าเขาคิดอย่างไรกับเรา

ความรักที่เราไปรักคนอื่นก็เพื่อให้เขากลับมารักเรา มันเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า? หลายครั้ง ความรักคือความหวังของชีวิตมนุษย์ หวังว่าสักวันหนึ่งจะได้แต่งงานและมีความสุขตลอดไป หากความรักเป็น “สุขนิรันดร์” คือความสุขที่อยู่สม่ำเสมอ คนจำนวนมากคงเลือกที่จะมีรัก เพราะสุขและไม่ทุกข์

แต่ในความเป็นจริง ความรักของหนุ่มสาว หนุ่มหนุ่ม สาวสาว เพศใดๆ ก็ตาม ต่างเต็มไปด้วยการเล่นเกมที่ต้องเอาชนะกัน มีอารมณ์ทั้งบวกและลบต่อกัน ความคาดหวังต่อกัน ไม่เพียงแค่ความต้องการทางเพศ แต่ยังมีความต้องการอื่นๆ ที่ต่างคาดหวังและต้องการจากกันและกัน

เราหวังว่าเขาจะโทรมาหาเราตลอด เพราะเรารู้สึกว่าเขาต้องง้อเรา เราหวังว่าเขาจะดูแลเราเป็นอย่างดี เพราะเราเป็นคนดีขนาดนี้ สวย/หล่อขนาดนี้ พ่อแม่เลี้ยงดูเรามาเป็นอย่างดีขนาดนี้ เรายอมให้เขามาใกล้ชิดสนิทสนมก็เป็นบุญของเขาแล้วนะ... ส่วนมากมักคิดกันเช่นนี้

แล้วมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือ? ความรักแบบที่คนหนึ่งต้องคอยติดตามอีกคนหนึ่งตลอดเวลา ความรักไม่ใช่เรื่องที่ต่างก็ห่วงใย ใส่ใจ ซึ่งกันและกันหรือ มีด้วยหรือความรักที่บริสุทธิ์ ไม่คาดหวัง ไม่หวังสิ่งตอบแทน แม้กระทั่งความรักตอบ

คนสมัยเรามักตีค่าความรักเป็นสิ่งของ เงิน รางวัล หน้าตาทางสังคม เมื่อมีคนมาให้สิ่งของกับเรา เรามักนึกว่าคนๆ นั้นรักเรา เพราะเราถูกทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นความเคยชิน การแสดงความรักจากพ่อแม่คือรางวัล ตั้งแต่เด็ก เราได้จักรยานคันใหม่ ของเล่นชิ้นใหม่ โทรศัพท์เครื่องใหม่ ก็ต่อเมื่อเราทำตัวดี น่ารัก และพ่อแม่ก็ย้ำเตือนในสิ่งนั้น เราจึงซึมซับมาว่าหากจะแสดงความรัก เราก็แสดงออกด้วยการซื้อของบางอย่างให้คนๆ นั้น

แล้วความห่วงใย ความหวังดี ความห่วงหา อาทรต่อกัน มันอยู่ที่ไหน ... คนมักถามถึงความรักที่บริสุทธิ์ ความสุขนิรันดร์

เพื่อนคนหนึ่งของพี่เธอเป็น “ผู้หญิง” ที่เคยผ่านการคบหากับทั้งผู้ชาย และผู้หญิง มาแล้ว เธอบอกเสมอว่า เธอมีรักที่บริสุทธิ์ เพราะเธอไม่เคยมีเพศสัมพันธ์กับบรรดาแฟนๆ เหล่านั้นเลยสักคน นับรวมทั้งผู้หญิงและผู้ชายก็ 6-7 คน ซึ่งต่างก็อาจจะหวังว่าน่าจะ “มีอะไรกัน” สักวัน แต่เมื่อคบหากันไป 1-2 ปี เพื่อนก็มักเลิกรากับแฟนๆ เหล่านั้น เธอบอกว่า เธอเป็นคนบอกลาคนเหล่านั้นเอง

การเป็นคนบอกลา สำหรับคนทั่วไปหมายถึงการที่เป็นคนชี้ว่าความรักครั้งนี้ ใครเป็นคนที่ถูกรักมากกว่า จริงหรือ? คำถามนี้น่าจะท้าทายคนหลายคน เพราะพี่เองเห็นหลายคู่ที่ฝ่ายหนึ่งยอมรอให้อีกฝ่ายหนึ่งเป็นคนบอกเลิก เนื่องจากรู้สึกว่าถ้าเป็นฝ่ายบอกก่อนก็จะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต น้อยคู่ที่จะคิดว่า การบอกลากันในสถานภาพ “คุ๋รัก” อาจทำให้ทั้งเราและเขาเริ่มต้นใหม่ได้ ทั้งเริ่มต้นการใช้ชีวิตคู่กับคนที่เข้ากันได้มากกว่า เริ่มต้นการเป็นเพื่อนที่ดีกับคนรักเก่า ที่อาจจะเข้ากันในฐานะแฟนไม่ได้แต่เป็นเพื่อนได้

สำหรับเพื่อนคนนี้ เธอมักคิดไปเองว่า เธอเป็นคนที่ถูกรักมากมาย ความรักบริสุทธิ์ (ปราศจากเพศสัมพันธ์) ของเธอสุดแสนจะน่ายกย่อง แต่ในความเป้นจริงแล้ว เธอเต็มไปด้วยความคาดหวัง หวัง...ที่จะมีชีวิตคู่ที่ดี คนรอบข้างและตัวเธอเองไม่อยากผิดหวัง กลัวว่าจะผิดหวัง ไม่เป็นไปตามสิ่งที่เธอหวังและตั้งใจ จะเป็นคนดีและไม่ผิดพลาดเรื่องคู่มาตลอด เธออธิบายว่า แม้ว่าเธอจะมีแฟนหลายคน คบทั้งสองเพศแต่เธอก็ไม่เคยทำให้ครอบครัวผิดหวังเลย

พี่มักบอกเธอว่า สิ่งใดก็ตามที่มนุษย์คนนั้นๆ กลัว เราจะต้องผ่านมันไปให้ได้ โดยเฉพาะความผิดหวังที่มีต่อตนเอง

ข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือ พระสงฆ์ที่มีความเข้าใจในเรื่องชาวบ้าน มักเป็นพระที่ผ่านประสบการณ์ทางโลกมาพอสมควร อาจจะผ่านการมีครอบครัว การมีคู่รัก หรือการแต่งงานมาก่อน มักยอมรับและเห็นการเปลี่ยบนแปลงเป็นเรื่องธรรมดา แต่พระที่บวชตั้งแต่ยังเด็ก มักพบความท้าทายกับความต้องการทางเพศ เรื่องเงิน และผ่านสิ่งเหล่านี้ไปไม่ง่ายเลย

โดยเฉพาะเมื่อโลกปัจจุบันมีความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ข่าวสารและสังคม รวมทั้งสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนอย่างมากมายมหาศาล แต่ความรู้ ความคิด และการตีความทางพระพุทธศาสนาหลายๆ ประเด็น ไม่สามารถทำให้คนทั่วไปเข้าใจ และเท่าทันโลกอย่างเท่าทัน ส่งผลให้คนที่ยึดกรอบ ติดกับ (กับดัก) และไม่มีความเข้าใจที่ลึกซึ้ง และปราศจากกรอบทางสังคมบางอย่างไปได้ ก็จะอยู่ในโลกอย่างยากลำบาก

สำหรับพี่แล้ว เพื่อนคนนี้ “ไม่” แม้แต่รู้ว่ากำลังรักใคร รักอย่างไร ไม่รู้ว่าตนเองคาดหวังอะไร เพื่อจะเดินผ่านมันออกมาจากสิ่งเหล่านั้น แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขาต้องผ่าน เช่นเดียวกับน้อง ที่กล้ากระโดดออกมาตะโกนว่า “...มาระบายเรื่องรัก” สำหรับพี่ นับเป็นเรื่องที่ดี เพราะมันง่ายมาก แค่...ยอมรับมัน แล้วมันก็จะผ่านไป

ความรักทำให้หัวใจเต้นแรง แต่ถ้ามันเต้นแรงอยู่อย่างนั้น เราก็อาจจะตายได้ง่ายๆ ชีวิตคนเรามีเรื่องสุขก็ชั่วคราว ทุกข์ก็ชั่วครั้ง ไม่มีใครทุกข์แสนทุกข์จนยิ้มไม่ออก ไม่มีใครสุขเพราะรักอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน เราส่วนมากคงอยู่ในชีวิตที่ธรรมดาๆ มากกว่า อย่าให้อะไรมาดึงเราไปอยู่กับสิ่งนอกตัวมากมายอย่างทุกวันนี้มากนักเลย ขอให้มีสติอยู่กับตัว กับชีวิตธรรมดาๆ อย่างทั่วพร้อม เท่านี้ก็น่าจะดีนะ...

บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
ชีวิตนี้แสนสั้นและใจก็เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา เช้าสายบ่ายค่ำจิตใจไม่เหมือนเดิม กายก็มีทั้งสุขและทุกข์แปรปรวนไปตามธรรมดา ชีวิตแต่ละวันจึงแสนจะสั้นและดูแล้วไม่เที่ยงเอาเสียเลย จนบางครั้งรู้สึกกลัวว่าจะไม่ได้ทำอะไรก่อนที่ลมหายใจจะหมดไป จึงต้องใคร่ครวญคิดคำนึงอยู่เสมอๆ ว่าตั้งแต่เกิดมามีอะไรที่ตัวเองยังไม่ได้ทำบ้าง และก็ควรจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ของชีวิตนี้เพื่อลงมือทำสิ่งนั้นอย่างจริงจังไม่ใช่แค่คิดและปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ
พันธกุมภา
เร็วๆ นี้ผมและญาติธรรมกำลังร่วมกันดำเนินการจัดพิมพ์ธรรมใจไดอารี่ ฉบับธรรมทาน ซึ่งพี่ๆ ญาติธรรม ทุกๆ คน ที่ได้มาพบเจอ รู้จัก สนทนาธรรมกัน ได้ช่วยเหลือ เกื้อกูล ให้คำปรึกษา แนะนำต่างๆ มากมาย และเมื่อมีผู้เสนอให้ทำ ธรรมใจไดอารี่ขึ้น
พันธกุมภา
สำหรับผมกับแฟน เราทั้งสองคบกันด้วยเหตุแห่งความศรัทธาที่มีต่อกัน ในวันที่เราเจอกันครั้งแรก แม้ไม่ได้รู้สึกอยากจะได้มาครอบครองแต่ด้วยความที่เธอเป็นวัยรุ่นคนหนึ่งที่สนใจในทางธรรม ทั้งการถือศีล และการปฏิบัติ ทำให้เราทั้งสองได้สนทนาและแบ่งปันการภาวนาของกันและกันและก็ได้คุยกันเรื่อยมา
พันธกุมภา
วันธรรมดาวันหนึ่ง ชีวิตประจำวันก็ผ่านไปด้วยเหตุปัจจัยเหมือนเดิม มีประชุม ทำค่าย อบรม เดินทางจัดกิจกรรมตามจังหวัดต่างๆ ได้เจอผู้คนมากหน้าหลายตา มีโอกาสได้สนทนากันตามเรื่องราวที่แตกต่างกันไป แต่ข้างในใจกลับเต็มไปด้วยความเฉื่อยชา เบื่อหน่าย ไม่ค่อยมีความสุขเท่าใดนัก
พันธกุมภา
การได้สังเกตจิตใจของตัวเองตามความเป็นจริงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พบว่าจิตใจนี้มีธรรมชาติแปรเปลี่ยนไปมาตามเหตุปัจจัยเงื่อนไขชีวิต แล้วยังมีปกติไหลลงสู่ที่ต่ำ ไปสู่ความอยากได้ อยากดี อยากมี อยากเป็น ความโกรธ ขุ่นเคือง หงุดหงิด ความไม่รู้เนื้อรู้ตัว ขาดสติ เผลอหลงใหลไปกับโลกของความคิดและสิ่งภายนอกใจ
พันธกุมภา
คำอวยพรจากเพื่อนๆ พี่น้อง หลายๆ คน ส่งมายังผมหลายฉบับ ทำให้เกิดความปีติยินดี ที่ได้รับคำอวยพรอย่างยิ่ง และผมก็ได้ตอบกลับไปยังเพื่อนๆ พี่น้อง ทั้งที่ส่งมาและไม่ได้ส่งมา อีกหลายๆ คน การให้พรจึงเสมือนเป็นการให้กำลังใจและบอกให้กันและกันรู้ว่ายังคงระลึกถึงกันอยู่เสมอ
พันธกุมภา
บ่อยครั้งที่การเจริญสติของใครหลายคนติดอยู่กับอารมณ์คือหลงไปแช่อยู่กับอารมณ์นานจึงทำให้เกิดการเผลอยึดมั่นในอารมณ์นั้น กลายเป็นติดหลุม เผลอลงไปแช่ จะรู้สึกมัวๆ หรือเผลอไปแทรกแซง จนยากยิ่งนักที่จะรู้สึกตัวทัน ทั้งนี้ครูบาอาจารย์ท่านแนะไว้ว่าอาจเป็นเพราะจิตยังไม่ถึงฐานหรือจิตยังไม่ตั้งมั่น
พันธกุมภา
  ในการภาวนาบ่อยครั้งนักที่ผมมักจะได้ยินคนอื่นๆ มาเล่าให้ฟังทำนองว่า สถานที่นี้ไม่ดีเลย ไม่เหมาะที่จะภาวนาเลย เสียงก็ดัง คนก็เยอะ ไม่มีที่ ไม่มีทางเดินจงกรมหรือนั่งปฏิบัติเลย เพราะมองว่าการที่จะภาวนาได้นั้นจะต้องไปในสถานที่ที่มีรูปแบบ เช่น มีทางให้เดินจงกรม มีเบาะให้นั่งภาวนา เป็นต้น
พันธกุมภา
ปลายเดือนตุลาคม 2552 นี้ ผมได้มีโอกาสไปภาวนากับพี่ๆ ญาติธรรมเชียงใหม่ ที่สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ซึ่งพวกเราไปกัน 4 คน ได้แก่ พี่เอ้ พี่ยา พี่นา และผม ซึ่งผมรู้จักพี่ๆ ผ่านทางการสนทนาในอินเตอร์เน็ตและทุกๆ คนก็ภาวนาในแนวดูจิตเหมือนๆ กัน
พันธกุมภา
บ่อยครั้งที่รู้สึกตัว และอารมณ์ต่างๆ เกิดขึ้นภายในใจ มันยิ่งทำให้เห็นว่าเราสามารถตามรู้ ตามดูสภาวะต่างๆ ได้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ด้านบวก หรืออารมณ์ด้านลบที่เกิดขึ้นภายในใจ สิ่งต่างๆ เหล่านี้มีหน้าที่เหมือนกันคือ ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่สามารถควบคุมหรือบังคับบัญชาได้
พันธกุมภา
ในแต่ละวันชีวิตคนเราก็มีเวลา 24 ชั่วโมง เหมือนกัน ไม่มีใครมีเวลามากหรือน้อยไปกว่ากัน ทว่าอยู่ที่ว่าใครจะจัดสรรเวลาให้กับตัวเองมากน้อยเพียงใด ทั้งเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว และอื่นๆ อีกมายมาย ซึ่งการจัดระดับความสำคัญของภารกิจระหว่างวันแต่ลัอย่างนื้ถือเป็นเรื่องที่ช่วยให้วันแต่ละวันผ่านไปอย่างมีคุณประโยชน์
พันธกุมภา
โดยปกติแล้ว ผมมักจะเป็นคนที่ไม่ชอบอยู่กับที่ เป็นคนที่ชอบเคลื่อนไหวตัวเองไปๆ มาๆ ดังนั้นการเจริญสติด้วยการรู้สึกที่กายและใจเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปมานี้ จึงเป็นการภาวนาที่ทำให้ผมถนัดและสามารถรู้สึกตัวได้บ่อยที่สุด