มีนา
ถึง พันธกุมภา
จดหมายฉบับก่อน พี่เล่าเรื่องความรักของแม่ที่มีต่อลูกคนหนึ่ง และยังติดใจในสาส์นของท่านดาไล ลามะ ผู้นำทางจิตวิญญาณ ชาวธิเบตอยู่ ... เมื่อพิจารณาอย่างลึกซึ่ง พี่อยากจะให้น้องและเพื่อน คนรู้จักหลายๆ คนได้อ่านมันอย่างพิจารณาหลายๆ ครั้ง
หลายข้อของสาส์นฉบับนี้ เป็นความรักที่มีต่อตนเอง รักตนเอง แบบที่ไม่ได้ตามใจตนเอง ไม่ตามใจในสิ่งที่บำรุงบำเรอให้ตนเองให้ได้ทุกสิ่งที่ตนต้องการ โดยเฉพาะข้อแรกเป็นสิ่งที่ท่านลามะผู้ยิ่งใหญ่ได้ตักเตือนคนสมัยใหม่ได้อย่างเฉียบคม (ระลึกเสมอว่า การจะได้พบความรักและความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ก็ต้องประสบกับความเสี่ยงอันมหาศาลดุจกัน)
มีใครบ้างไม่อยากมีความรักที่ยิ่งใหญ่ มีใครบ้างที่ไม่อยากได้ชื่อว่าประสบกับความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ...อาจมีเพียงพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์เท่านั้น ที่ปล่อยวางกับสิ่งเหล่านี้ไปแล้ว ชื่อเสียงหรือการยกย่องในฐานะดังกล่าวเป็นสิ่งที่ประชาชน ผู้คนให้กับท่านเอง ท่านไม่ได้ขอ ไม่ได้ต้องการ
ฉันมอง (และฉันก็เป็นคนหนึ่ง) ที่อยากประสบความสำเร็จและมีความรักจากอีกคนหนึ่ง เช่นเดียวกับมนุษย์คนอื่นทั่วๆ ไป ฉันอยากมีบ้าน ฉันอยากมีรถ ฉันอยากมีคนที่รักอยู่เคียงข้าง และมีความสุขตลอดไป...ตราบชั่วนิรันดร์ เช่นเดียวกันนิทาน นิยายรักทั้งหลาย ที่สุดท้ายมักจบด้วยความสุขและความสมหวัง ทั้งเรื่องการงานและความรัก
เพื่อนๆ ที่ฉันรู้จัก รวมทั้งตัวเองต่างตั้งใจที่จะมีวันนั้น แต่ฉันพบว่า เมื่อโตขึ้น การต้องต่อสู้กับการทำงานมันช่างนำความเหนื่อยล้ามาให้ การมีคนรักก็เหน็ดเหนื่อยไม่แพ้กัน และไม่ใช่รักทุกครั้งจะสมหวังทุกครั้ง บ้างเรารักเขา เขาไม่รักเรา เขารักเรา เราไม่รักเขา ยิ่งปัจจุบันเงื่อนไขอื่นๆ นอกเหนือจากความรัก หรือในนามของ “ความเหมาะสม” ยิ่งถูกให้ค่าเหนือกว่าความรักเสียอีก
เพื่อนผู้หญิงฉันคนหนึ่งยอมรับกับฉันว่า เขารักผู้ชายอีกคนหนึ่งมากกว่าคนรักปัจจุบัน แต่ผู้ชายที่เขารักมีฐานะไม่ดีเท่าผู้ชายคนนี้ ซึ่งพ่อแม่สนับสนุนให้คบหากันอย่างมาก ฉันเคยถามเพื่อนว่า “แล้วความสุขของเธออยู่ตรงไหน?” เธอตอบฉันว่า ความสุขของฉันอยู่ที่เงิน การมีเงินจับจ่ายใช้สอยสำคัญสำหรับเธอมาก
เท่าที่ฉันเห็นชีวิตรักของคนคู่นี้ก็มีความสุขในทางโลกดี ... ชีวิตทางเพศที่เข้ากันได้ ผู้ชายมีเงินให้ผู้หญิงใช้เสมอ ไม่เคยถามว่าเธอ ช็อปปิ้งมากไปหรือเปล่า อย่างไร แต่เมื่อใดที่เพื่อนคนนี้มีปัญหามักจะมาจากการที่เธอถูกพ่อของผู้ชายพูดว่า หากเพื่อนฉันไม่มีผู้ชายคนนี้ เธอก็คงไม่มีวันนี้...สำหรับฉัน มันคือความจริง
สิ่งที่ฉันเป็นจากเพื่อนคนนี้คือ เธอไม่เคยเคารพตัวเองเลย ... หากเป็นนิยายรักแล้ว ฉันคงจะเขียนให้เพื่อนคนนี้กลับไปคืนดีกับคนที่เธอรัก ยอมลำบากนิดหน่อย...แค่ไม่มีเงินซื้อของมากมายแล้วเอามากองทิ้งไว้...เท่านั้น
แต่นี่...เป็นชีวิตจริง เพื่อนของฉันยังคงดื้อดึงที่จะแต่งงานกับผู้ชายคนนี้ให้ได้ และอยากให้พ่อเขายอมรับในตัวเธอ สำหรับฉัน...ฉันเคยบอกเพื่อนไปว่า เธอยังไม่เคารพตัวเองเลย แล้วเธอจะคาดหวังอะไรกับการให้คนอื่นมาเคารพตัวเธอ... คำพูดนี้ ทำให้ฉันและเพื่อนแทบจะขาดความสัมพันธ์กันไป เพราะเพื่อนฉันต้องการคนยืนเคียงข้าง แม้เขาจะทำสิ่งใดก็ตาม ส่วนฉันอยากให้เพื่อนรักตัวเอง...ก็เท่านั้น
เรื่องราวของคู่รักคู่นี้ ยังไม่จบและยังไม่ดำเนินไปถึงไหน เพราะมันฉายซ้ำไป-ซ้ำมากว่า 5 ปี และยังฉายซ้ำต่อไป ด้วยวัฏจักรเดิมๆ ไม่ต่างจากเมื่อ 4 ปีก่อนที่ฉันเคยพูดคำนี้
พี่เห็นด้วยตาตัวเองว่า สิ่งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้น เพราะความอยากมีรักที่สำเร็จและยิ่งใหญ่ เพื่อนคนนี้เสียสละชีวิตด้านการงาน ต้องคอยตามแฟนไปทำงายที่นั่น ที่นี่ โดยที่งานของตัวเองไปไม่ถึงไหน สุดท้ายก็ต้องออกจากงานมาเพื่อช่วยงานเขา กลายเป็นการกลืนกินชีวิตด้านอื่นๆ ของเขาเองไป
จากประสบการณ์กับเพื่อนคนนี้ทำให้พี่ได้เรียนรู้ว่า การทะเลาะเบาะแว้งกันบ้าง มันจะไม่ทำลายมิตรภาพระหว่างเรา หากเราเรียนรู้ไปด้วยกันอย่างมีมิตรจิตมิตรใจ สำหรับพี่แล้วพี่ไม่ได้คาดหวังจะให้เพื่อนทำตามในสิ่งที่พี่บอกทุกอย่าง การรักเพื่อนสำหรับพี่ “มิตรภาพ” ระหว่างเราที่เป้นเพื่อนกันมานานมันยังคงอยู่ เมื่อพี่บอกความคิดเห็นของพี่ พี่เรียนรู้ที่จะไม่คาดหวังว่าเขาจะต้องทำตามเราทุกอย่าง เพื่อนหรือคนรักไม่ใช่ต้นไม้ที่เราปลูก ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของเรา ที่เราจะให้เขาทำตามคำสั่งหรือสิ่งที่เราบอกทุกอย่าง พี่เพียงให้ข้อมูลเพิ่มเติมประกอบการตัดสินใจให้เขาเท่านั้น ส่วนการตัดสินใจเป็นของเขาเอง ความรับผิด รับชอบ ต่อการตัดสินใจก็เป็นของเขาเองเช่นเดียวกัน
ในฐานะเพื่อน เราทำได้เพียง...เป็นเพื่อน ฟังความทุกข์ ฟังความสุขกับเพื่อน แต่เราไม่อาจเอาใจไปทุกข์เมื่อเพื่อนอกหัก หรือไม่มีเงินใช้ เราเพียงยืนข้างๆ เท่านั้น
การช่วยเหลือและให้สติกับเพื่อนเป็นสิ่งที่ดี แต่อย่าลืมความรักที่มีต่อตนเองด้วย เช่นเดียวกับแม่ที่รักลูกหรือคนที่ปลูกต้นไม้ ยามลูกทุกข์ ต้นไม้ถูกลมพัดแรงๆ เราคงไม่ไปช่วยพยุงยามต้นไม้มีพายุ แต่ต้นไม้ต้องยืนรับพายุนั้นด้วยตนเอง หากเรามั่นใจแล้วว่ารากฐานของต้นไม้ที่เราปลูกแข็งแรง ลูกที่เราเลี้ยงมีพื้นฐานจิตใจที่มั่นคง เพื่อนของเรามีจิตใจเข้มแข็งพอ เมื่อเขาประสบทุกข์ พบกับปัญหา เขาย่อมก้าวเดินผ่านมันออกมาได้
แล้วถ้าเราไม่มั่นใจ...ว่าเพื่อน ลูก หรือต้นไม้ แข็งแรงพอ เราจะทำอย่างไร...
ลองกลับไปดูข้อ 9 (จงอ้าแขนรับการเปลี่ยนแปลง แต่อย่าปล่อยให้คุณค่าของคุณหลุดลอยจากไป) ...ทำได้ด้วยการยืนเคียงข้างและให้กำลังใจ อย่าลืมที่จะบอกคนที่คุณรักว่า เปิดใจที่จะเรียนรู้กับความเปลี่ยนแปลง เรียนรู้ชีวิตที่มีขึ้นมีมีลง ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์คนอื่นๆ ไม่เพียงเรื่องความรักระหว่างคนรักหรือแม่ลูก แต่ยังรวมถึงเรื่องสถานภาพทางสังคม ชีวิตทั่วไปด้านอื่นๆ ที่เราไม่สามารถกำหนดได้ด้วยตนเองทั้งหมด
ในห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ ถนนหรือย่านที่หรูหราในกรุงเทพมหานคร ความหรูหราสวยงามจะมีอยู่ไม่ได้เลย หากไม่มีคนทำความสะอาด คนกวาดถนน คนคอยอำนวยความสะดวกให้รถผ่านไปได้ คนเก็บขยะที่สกปรกจากมือของคนที่แต่งตัวหรูหราเหล่านั้น ...คุณจะรู้ได้อย่างไรว่า วันนี้คนเป็นคนที่แต่งตัวหรูหราคนนั้น วันข้างหน้าคุณจะไม่ได้เป็นคนทำความสะอาด
ความตระหนักรู้และความเคารพต่อตนเอง ความเคารพต่อผู้อื่น ในฐานะมนุษย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นได้-ลงได้ ไม่ต่างอะไรจากวันนี้คุณให้ความเคารพกับตัวคุณเอง คุณอย่าลืมเคารพคนที่ทำให้ชีวิตของคุณหรูหราอยู่ได้ด้วย
ความสำเร็จในชีวิตจะเป็นไปไม่ได้เลย หากไม่มีคนที่ไม่ประสบกับความสำเร็จ ขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณคิดว่า สิ่งนั้นหรือสิ่งนี้สำหรับคุณแล้วมันคือการประสบความสำเร็จ แม้แต่การปฏิบัติธรรมให้สำเร็จคนก็ยังคาดหวังและเอามันไปพ่วงกับสิ่งที่คุณซื้อได้ เมื่อคุณซื้อบุญคุณอยากรู้ว่าได้อะไร ไม่ต่างกับเมื่อคุณซื้อนมดื่มสักกล่องคุณอ่านข้างกล่องว่าดื่มแล้วได้อะไร และคำนวณว่ายังขาดอะไร
ด้วยความที่คนสมัยใหม่เป็นอย่างนี้ ยิ่งทำให้สถานธรรมหรือวัดบางแห่งตอบสนองคุณว่า เมื่อคุณทำบุญด้วยเงินเท่านี้...คุณจะได้ขึ้นสวรรค์ชั้นนี้ ไม่ต่างอะไรกับที่เพื่อนของฉันอีกหลายคนที่มองการดำเนินชีวิตด้วยการปฏิบัติสู่ความเป็นอรหันต์เป็นเป้าหมายยิ่งใหญ่ที่ต้องไปให้ถึง...ก็คือความสำเร็จ
...จะเป็นไรไหม ถ้าชีวิตไม่มีเป้าหมาย...แต่สำเร็จได้