Skip to main content

แม่ของบอยออกไปนาตั้งแต่เช้า พร้อมกับที่พ่อกับแม่ของผมกลับบ้านไปพอดี  เมื่อคืนเรานอนกันที่บ้านของบอยจึงมีเรื่องเล่าสู่กันฟังมากมาย  บ่าวกับผมเล่าเรื่องของเล่นสนุกๆ ให้บอยฟัง โดยเฉพาะเรื่องวีดีโอเกม คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต บอยนั่งฟังตาโตเป็นไข่ห่าน  ผมกับบ่าวก็สนุกกับเรื่องราวกลางทุ่งกว้างของบอยจนดึกและหลับไปโดยไม่รู้ตัว

แดดในเช้าวันเสาร์สาดทามาทางหน้าต่างปลุกเราตอนสายเข้าไปแล้ว ย่าขึ้นมาปลุกเราแล้วบอกว่า อาสาวไปนาตั้งแต่เช้า  วันนี้ที่ศาลากลางหมู่บ้านมีตลาดนัดทั้งวันตั้งแต่เช้าจนเย็น บอยบอกจะพาเราไปตระเวนเที่ยวตลาดนัดกัน  ผมนึกอยู่ในใจว่าคงจะสนุกเพราะเป็นตลาดที่ชาวบ้านทั้งในและหมู่บ้านใกล้เคียงจะนำของมาขายกันที่นี่ บอยบอกว่ามีทั้งกับข้าวกับปลา เสื้อผ้า และของใช้ไม้สอยต่างๆ มากมาย ที่สำคัญที่ศาลากลางหมู่บ้านเป็นสถานที่นัดพบของเด็กๆ  วันนี้ผมกับบ่าวคงได้รู้จักเพื่อนใหม่อีกหลายคนที่ร้านขนมจีนยายนอมเป็นแน่

“ รีบไปสิ เดี๋ยวขนมจีนยายนอมหมดไม่รู้ด้วยนะ”
ย่าเร่งบอยให้พาผมกับบ่าวไปกินขนมจีนยายนอมเป็นมื้อเช้าก่อนที่จะเถลไถลไปอื่น

ขนมจีนยายนอมเป็นที่ติดอกติดใจของเด็กๆ ในหมู่บ้าน ยายนอมใจดีชอบแถมอยู่บ่อยๆ ลูกพี่ลูกน้องตัวเมี่ยงของเรานำทางมาจนถึงร้านขนมจีนยายนอมพร้อมกับเด็กคนอื่นๆ อีกสองสามคน

“พี่บ่าวกับน้อง”
บอยแนะนำผมกับพี่ชายให้เด็กชายสองคนได้รู้จัก  ผมได้แต่ยิ้มร่าและไม่พูดอะไร
“บ่าวกับน้องเป็นลูกพี่ลูกน้องของฉัน”
“มาจากในเมือง”

บ่าวทิ้งระยะสักพักพอให้ทั้งสองฝ่ายได้สบตาและยิ้มทักทายกันในความเงียบสักครู่แล้วแนะนำต่อ
“นี่แดงกับจ้อย”
เด็กชายทั้งสองทำท่าเก้ๆ กังๆ ยิ้มรับเราอย่างเป็นกันเอง

ยายนอมหยิบขนมจีนราดน้ำยาให้เราทุกคน  ผมไม่ชอบกินอาหารรสเผ็ดแต่บ่าวพอกินได้ ส่วนแดงกับจ้อยไม่ต้องห่วง พวกเขาคุ้นชินกับอาหารพื้นบ้านมาตั้งแต่เด็กแล้ว แดงกับจ้อยกินเร็วกว่าใครเพื่อน ผมเห็นพวกเขาตักขนมจีนเข้าปากคำโตแล้วสูดเข้าปากไปดูแล้วน่าสนุกจึงพยายามทำตามแต่เส้นขนมจีนก็สะบัดเลอะไปทั้งสองแก้มจนทำให้คนอื่นๆ หัวเราะ

บอยหยิบทอดมันกุ้งมาชิ้นหนึ่งฉีกแบ่งให้ผมกับบ่าวกินเป็นกับแกล้มขนมจีน ส่วนบรรดาผักต่างๆ ที่วางอยู่เต็มถาดนั้นไม่ต้องพูดถึง ไม่มีใครแตะเลยสักคน ทั้งยอดหมุย ยอดแซะ ยอดมันปู ลูกฉิ้ง หรือแม้แต่จะเป็นถั่วงอกก็ตามที

ก๊วนของเรากินขนมจีนยายนอมกันคนละสองจาน ทั้งผมและบ่าวเผ็ดน้ำมูกน้ำตาไหลจนเป็นที่ขบขันของเพื่อนๆ  ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีฟ้าตอนสายแล้วขณะที่คนในตลาดเริ่มพลุกพล่าน ที่ศาลาเริ่มมีเด็กๆ มากันหลายคนแล้ว แดงบอกว่าพวกเขาเป็นเด็กๆ แถวนี้กับลูกพ่อค้าแม้ค้าที่ติดสอยห้อยตามมาด้วยเสมอเมื่อมีตลาดนัดที่นี่ 

“ดูโน่นสิ”
บ่าวชี้ไปทางต้นโพธิ์ใหญ่ข้างศาลา
“อะไรๆ”
ทุกคนลุกลี้ลุกลนหันขวับไปทางเดียวกัน

“ไก่ๆ  ไก่แจ้”
“ไหนๆ”
“โน่น...ทางโน้น”
บ่าวชี้คว้างไปที่กิ่งโพธิ์ทางซ้าย

“ไก่แจ้มันมักขึ้นแอบไปไข่ทิ้งไว้บนนั้นเสมอ ฉันเห็นประจำ”
จ้อยพูดเหมือนอวดเพื่อนๆ ว่าตัวเองเห็นเป็นปกติ

“เดี๋ยวฉันขึ้นไปหยิบให้ดู ตอนนี้ไม่มีแม่ไก่แล้ว”
จ้อยปีนขึ้นไปช้าๆ และระมัดระวังตัวเองเป็นอย่างดี แต่ก็ไม่วายเหลียวหลังหันกลับลงมองพื้นล่างที่เพื่อนๆ คอยเชียร์อยู่  เมื่อถึงตรงจุดหมายทั้งบ่าว แดง และผมก็ลุ้นกันอย่างเต็มที่ ภาพไข่ไก่แจ้ลอยลิ่วอยู่ในหัวทั้งๆ ที่ยังไม่เคยเห็นเลยว่าแท้จริงแล้วนั้นเป็นอย่างไร

“เจอหรือยัง?”
บ่าวเร่งจ้อยเพราะอยากเห็นไข่เร็วๆ
“เจอแล้วๆ...นี่ไง”
จ้อยชูไข่ไก่แจ้ใบเล็กๆ ขึ้นแกว่งไปมาเหนือหัวสองฟอง ไข่ไก่แจ้จะเล็กกว่าไข่ธรรมดาที่บ่าวกับผมเคยกินอยู่มากทีเดียว เพราะไก่แจ้ตัวเล็กกว่าไก่ทั่วไปที่บ่าวกับผมเห็นอยู่เป็นประจำ

“มีหกฟอง”
จ้อยตะโกนดังจากบนต้นไม้ ส่วนพวกเราก็ตาโตไปตามๆ กัน

“เก็บไว้เถอะ...เดี๋ยวแม่มันก็กลับมา ให้มันอยู่กับแม่ของมัน”
ในแววตาพวกเราจ้องกันอยู่ ทุกคนไม่อยากพรากมัน

เด็กๆ ที่มุงกันอยู่ใต้โคนต้นโพธิ์เริ่มถอยออกไปเมื่อจ้อยปีนกลับลงมามือเปล่า  บอยชวนทุกคนไปเดินเล่นในตลาดต่อ วันนี้มีปลาสวยงามสัตว์เลี้ยงสุดโปรดของผมมาขายด้วย  บ่าวซื้อลูกเนียงต้มคลุกมะพร้าวขูดมากินตามคำของจ้อยแล้วก็แบ่งกันกินทุกคน

แม่ค้ามือสมัครเล่นที่เก็บผัก-จับปลาข้างบ้านมาขายกลับบ้านไปบ้างแล้ว ดวงตะวันดวงโตฉายแสงร้อนลงตรงหัวบอกเวลาเที่ยงวันพอดี  พวกเราซึ่งนำทีมโดยบอยและเพื่อนๆ ยังพาผมกับบ่าวเที่ยวตลาดโดยรอยอย่างสนุกสนาน ระหว่างทางเราเดินผ่านร้านขนมหลายร้าน ผมแวะซื้อปลาหมึกย่าง แดงวิ่งนำพวกเราทุกคนรี่ไปหาแม่ที่ขายบรรดาน้ำหวานต่างอยู่ในตลาดนัดนี้ด้วย 

เมื่อเราวิ่งตามมาถึง แม่ของแดงยิ้มให้เราทุกคน
“บ่าวกับน้อง  ลูกของลุงมาจากในเมืองครับ”
บอยทำหน้าที่แนะนำให้แม่ของแดงรู้จัก
“โตขึ้นเยอะเลยนี่  คราวก่อนที่เจอกันยังเล็กอยู่เลย  จำได้ไหม?”
“ไม่ได้ครับ”
ผมเอียงหน้าอายเล็กน้อย

“ครั้งก่อนที่พ่อของน้องพามาเที่ยวตลาดนัด ตอนที่น้องตัวเท่านี้ได้มั้ง”
แม่ของแดงทำมือบอกความสูงของผมสักครึ่งเอวของแม่ ส่วนผมก็ยิ้มตอบคำบอกเล่าของแม่  แม่ของแดงเป็นแม่ค้าขายของอยู่ที่นี่มานานจึงมักเห็นใครต่อใครผ่านหูผ่านตามมากมาย  ใครผิดหูผิดตามาก็จะรู้ อีกทั้งแม่ของแดงเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกันด้วย

เราได้ชาเย็นติดมือมาจากร้านแม่ของแดงคนละถุง ก่อนเดินกลับออกมาพร้อมๆ กัน ผมสงสัยเหลือเกินว่าถุงใส่น้ำที่ห้อยโตงเตงอยู่หน้าร้านขายขนมหลายร้านนั้นมีไว้ทำไม ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนรี่เข้าไปถามเพื่อคลายข้อสงสัย
“นี่อะไรครับ?”
“ถุงน้ำ”
“ถุงน้ำไว้ไล่แมลง”
แม่ค้าคนสวยตอบพร้อมกับแกว่งถุงน้ำไล่แมลงอวดผม

“อ๋อ...”
“อีกอย่างลองมองผ่านถุงน้ำดูสิก็จะรู้ว่าไล่แมลงได้อย่างไร”
แม่ค้าคนสวยเพิ่มความใคร่รู้ของผม

“เฮ้ย...แปลกจริง บ่าวลองดูสิ”
“เฮ้ย...จริงๆ ด้วย”
บ่าวลองดูบ้าง

“เวลาแมลงมองผ่านถุงก็จะเห็นภาพแปลกๆ เป็นภาพขยายตัวขึ้นเพราะมองผ่านน้ำ หรือไม่ก็จะเห็นภาพสะท้อนตัวเองที่ใหญ่ขึ้นจนตกใจบินหนีไปอย่างไรล่ะ”
แม้ค้าคนสวยแกว่งถุงไปมาอีกครั้งเมื่อมันหยุดอยู่กับที่แล้ว  เราขอบคุณแม่ค้าคนสวยที่ให้ความรู้ใหม่ๆ แล้วเดินจากไป

ตลาดเริ่มวายเมื่อตะวันค่อยไปทางบ่ายแก่ๆ เด็กๆ แยกย้ายกลับบ้าน ก๊วนของเราแยกกันที่บ่อน้ำหน้าบ้านจ้อย  รถกระบะของแม่ค้า-พ่อค้าหลายคันบรรทุกของเต็มคันรถแล่นผ่านแซงเราไปคันแล้วคันเล่า  แดงโบกมือหยอยๆ ลาพวกเราเมื่อพ่อของแดงขับผ่านเราไป แม่กับแดงนั่งอยู่ท้ายกระบะ พอรถตกลงหลุมโยกเยกไปมา แดงกับแม่กระดอนขึ้นเหมือนลูกบอลปนเสียงหัวเราะเล็กๆ ดังขึ้นจนลับไป

บอยพาเรากลับถึงบ้านตอนตะวันตกดินพอดี  ไอ้หมีกับไอ้ตาลวิ่งหน้าระรื่นมารับเราแต่ไกล

“เป็นไงล่ะตลาดนัด”
ย่ายิ้มถามแล้วมองมาทางผม

บล็อกของ ปรเมศวร์ กาแก้ว

ปรเมศวร์ กาแก้ว
ผมเริ่มรับพฤติกรรมหล่อนไม่ได้เสียแล้ว ยิ่งนานวันเข้า รากฝอยของความเกียจคร้านก็ชอนไชแตกงามไปทั่วฝ่ามือและฝ่าเท้าบอบบางของหล่อน การงานทุกอย่างจึงต้องตกเป็นหน้าที่ของผมไปโดยปริยาย ทั้งที่ก่อนนั้นหล่อนเองต่างหากที่เป็นฝ่ายคิดเสนอโปรเจ็กยั่วใจเหล่านั้นขึ้นมาเพื่อหวังพัฒนาหน้าที่การงานที่หล่อนรับผิดชอบอยู่ ผมเริ่มสงสัยถึงเรื่องการมีจิตสาธารณะ จิตอาสาหรือการมีหัวใจ ความเป็นมนุษย์ของตัวเองว่ามันบกพร่อง หรือสั่นคลอนไปแล้วหรือไร ถึงได้คิดประหวั่นพรั่นพรึงกับพฤติกรรมของหล่อนได้ถึงเพียงนี้ หรืออีกนัยหนึ่ง ความละเอียดอ่อนต่อมิติทางสังคมบางอย่างของผมอาจหล่นหายไประหว่างการร่วมงานกับหล่อนเสียบ้างแล้ว
ปรเมศวร์ กาแก้ว
แม้ผ่านวันเพ็ญเดือนสิบสองที่น้ำนองเต็มตลิ่งไปนานแล้ว แต่น้ำในคลองข้างบ้านผมยังนองปริ่มตลิ่งอยู่เช่นเดิม แถมลมมรสุมยังพัด "ฝนหยาม"(ฝนประจำฤดู) มาซัดหลังคาบ้านให้คนเหงาได้นอนฟังกล่อมใจไม่สร่างมาหลายวันแล้วแน่นอนว่าฤดูฝนหยามจะพา "น้ำพะ"(น้ำนอง) มาด้วย ทุ่งข้าวสีเขียวจมอยู่ใต้น้ำ และแน่นอนคนหาปลาทุกเพศทุกวัยจะออกมาดักปลากันอย่างสนุกสนานดั่งรอคอยมาแรมปีปีนี้ฝนโปรยปักษ์ใต้อยู่แรมเดือน ยางพาราราคาต่ำ นาข้าวเสียหาย กระนั้นเลย คนที่นี่ก็ยังพอมีความสุขพอประทังกันบ้าง "กัด"(ตาข่ายดังปลา) ถูกนำมาชะล้างและ "วาง"ลงในห้วยเดิม คัน "เบ็ดทง"(เบ็ดสำหรับปักทิ้งไว้กลางทุ่งและค่อยกลับไปตรวจตราเป็นช่วง ๆ บน "ผลา"(…
ปรเมศวร์ กาแก้ว
สวัสดีครับพี่... ผม..เมศเองครับ ผมยังรู้สึกเหมือนเสียงหัวเราะและแรงมือที่ตบลงบนบ่าผม ก่อนเสียง “ไอ้เมศ...กูรักมึง...กูรักมึง” ของพี่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน... ในเสียงนั้นยังคงไหวหวานมาตลอด แม้ผมจะไม่ได้ยินเสียงพี่มานานแล้วก็ตามที สิ่งเดียวที่ทำให้ผมเชื่อว่าพี่จะอยู่กับเราไปตลอด คือความรักที่เราแลกเปลี่ยนกันตอนพี่บียังอยู่กับเรา หนึ่งปีผ่านไปแล้ว ดูเหมือนผมจะรู้สึกว่าเราใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น ทั้งที่ไม่ได้เจอกันเลยสักครั้งแม้ในยามค่ำคืนที่โลกของความฝันชวนดวงดาวพริบแสงมาเยือนก็ตาม
ปรเมศวร์ กาแก้ว
เมื่อเดือนแปดตามจันทรคติมาถึง “ลมหัวษา” (ลมต้นฤดูพรรษา) โหมแรงมาทางตะวันตกเฉียงใต้ พัดจีวรและผ้าอาบน้ำฝนใหม่ของพระหนุ่มแรกพรรษาและพระเก่าหลายพรรษาพลิ้วลมอยู่ไหวๆ ลมช่วงนี้อาจพัดแรงไปจนถึงปลายเดือนเก้าที่ “ลมออก” พัด “ฝนนอก” (มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ) ห่าใหญ่มาเติมทะเลสาบสงขลา (ที่มีพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดพัทลุง) อีกครั้งตอนผมยังเด็กกว่านี้ (เมื่อสองสามปีก่อน.....ฮา) ผ้าเหลืองบนกุฏิไหวลมไม่เคยสวยเท่าตอนนี้มาก่อน แม้ครอบครัวของผมจะคุ้นชินกับผ้าเหลือง (จีวร) เพราะ “พ่อเฒ่า” (ตา) ของผมบวชครองผ้าเหลืองมาตั้งแต่วัยหนุ่มใหญ่จนปลิดลมหายใจชราของชีวิตสิ้นไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน…
ปรเมศวร์ กาแก้ว
เ ชิ ญ ช ว น กั น สั ก ห น่ อ ยด้วยหัวใจผมรักธรรมชาติ และแน่นอนผมรักบทเพลงของชีวิตรวมถึงบทกวีที่ไหวเต้นเป็นจังหวะมาจากส่วนลึกของจิตใจผู้เป็นกวีจริง ๆ แล้วผมอยากบอกเล่าเรื่องราวของคนกลุ่มหนึ่ง แถบบ้านผม"คนเขาปู่" (บ้านเขาปู่ อำเภอศรีบรรพต จังหวัดพัทลุง) ที่ตัวผมเองก็จำชื่อกลุ่มของพวกเขาได้ไม่แน่ชัดนัก (น่าจะชื่อเครือข่ายคนต้นน้ำ/หรืออะไรสักอย่างที่คล้ายชื่อนี้) เรามีโอกาสพบปะพูดคุยกัน 2-3 ครั้งก่อนหน้านี้และบ่อยขึ้น จนพบหัวใจบางอย่างในดวงตาพวกเขา จึงคิดเรื่องกิจกรรมบางอย่างร่วมกันเพื่อผืนป่าเล็ก ๆ เด็กๆ…
ปรเมศวร์ กาแก้ว
ปรเมศวร์ กาแก้ว
ช่วงเดือนหกตามจันทรคติที่ผ่าน ดอกผักบุ้งกลางทุ่งทางปักษ์ใต้ได้บานรับฝนโปรยกันทั่ว เป็นสัญญาณของการเริ่มต้นฤดูฝนปรัง  เติมความชุ่มชื่นให้ผืนดินหลังฤดูเก็บเกี่ยว รอการไถปลูกนอกฤดูกาล แม้ในบางพื้นที่ ทุ่งนาได้กลายเป็นกล้าข้าวพื้นเมืองสีเขียวจำพวก ‘ข้าวเล็บนก’ ‘ข้าวสังข์หยด’ ‘ข้าวเฉี้ยง’ ‘ข้าวไข่มดริ้น’ ฯลฯ ไปแล้ว ที่ลุ่มริมทะเลสาบเจิ่งนองด้วยน้ำที่เอ่อมาจากพรุ  วาระอย่างนี้ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้ามาทุกปีไม่เหนื่อยหน่าย
ปรเมศวร์ กาแก้ว
หลังมื้อค่ำ ดาวไถทอประกายวาวอยู่บนฟ้าทางทิศเหนือแทนดวงไฟในคืนแรม ปู่เคยเล่าว่ามันเป็นสัญลักษณ์ให้นัก เดินทางกลางราตรีได้จดจำเส้นทางเพื่อความอุ่นใจขณะที่เรากำลังนอนดูดาวอยู่ระเบียงนอกชานหลังบ้าน สายลมบางเบาพัดเอาควันไฟจากกองที่จุดไว้ไล่ยุงให้วัว สามตัวในคอกของปู่ผ่านร่องกระดานไม้เก่าคร่ำโชยผ่านจมูกของเรา  หลังมื้อค่ำเรามักมานอนนับดาวเล่นอย่างนี้เสมอๆ ปู่นั่งถัดขึ้นไปที่ประตูซึ่งยกระดับขึ้นเหนือระเบียงนอกชานไม้เล็กน้อย  เราทั้งสามลุกขึ้นมานั่งใกล้ๆ ปู่  ปู่ลูบหัว เราทั้งสามเบาๆ แล้วโอบตัวบ่าวมาแนบกาย นัยน์ตาปู่ใสและเปล่งประกายอย่างอ่อนโยน  “อยู่บ้านปู่สนุกมั๊ย” …
ปรเมศวร์ กาแก้ว
ขณะที่แดดเช้าเก็บผีตากผ้าอ้อมไม่ทันหมด เครื่องจักรลูกหมาสีแดงยังคำรามเสียงดังไปทั่วท้องนา มันคำรามมาตั้งแต่เมื่อค่ำวานจนตลอดทั้งคืน  ปู่ออกจากบ้านมาตั้งแต่เมื่อค่ำวานพร้อมกับเพื่อนบ้านคนอื่นๆ เพื่อมาเฝ้ามองมันอย่างตั้งอกตั้งใจ เราเดินเลาะชายป่าไปทางท้ายวัด  ท้องนาสีเหลืองถูกเก็บเกี่ยวเหลือแต่ซังข้าวรอการไถกลบเพื่อ ปลูกใหม่อีกครั้งในฤดูทำนา   ปู่นั้งอยู่ริมบึงถัดจากที่เรายืนไปสองบิ้งนารวมอยู่กับตาเขียว ตาไข่ และคนอื่นๆ คนชนบททางภาคใต้เรียกรถไถนาเดินตามกันว่า “รถจักรลูกหมา” ปู่เคยบอกว่าประโยชน์ของมัน มากมาย นอกจากไถนาได้แล้ว …
ปรเมศวร์ กาแก้ว
ผมผลักประตูออกจากบ้านตั้งแต่เช้า  จ้อยนัดพวกเราไว้ที่ศาลากลางหมู่บ้านเหมือนทุกวัน  วันนี้บอยจัดแจงเตรียมเม็ดหัวครกมาด้วย แปลกจริงขณะที่บอยบอกชื่อของมัน บ่าวหัวเราะกับชื่อ แปลกๆ แล้วบอกบอยว่าที่บ้านเราเขาเรียกเม็ดมะม่วงหิมพานต์ วันนี้เราจะเล่นขว้างหัวงูระหว่างทางสู่ศาลากลางหมู่บ้านกระจัดกระจายไปด้วยผีตากผ้าอ้อมขาวไปทั้งทุ่ง  บ่าว นั่งลงจ้องมองอย่างพินิจและยิ้มก่อนที่แดดเช้าจะรีบเก็บผีตากผ้าอ้อมเสียหมดทีละน้อยตั้งแต่เมื่อวานที่เราพากันไปเก็บเม็ดหัวครกหลังบ้านจ้อย เราเลือกเอาผลสุกที่เม็ดจะเป็น สีน้ำตาลเข้มแล้ว …
ปรเมศวร์ กาแก้ว
บนศาลากลางหมู่บ้านวันนี้ไม่มีเสียงเอ็ดตะโรของเด็กๆ  ขณะที่ฟ้าใส ดวงอาทิตย์คล้อยบ่ายทิ้งไว้เพียงเศษเปลือกลูกยางที่แหลกแล้วและ ใบตองห่อขนมเกลื่อนพื้นอีกฟากหนึ่งเป็นถนนสายเล็กๆ เราเดินตามทางนั้นไปเลี้ยวอ้อมป่าละเมาะสู่อีกหมู่บ้านทางตะวันตกตามคำชวนของขาว สองข้างทางเป็นผืนนาไกลสุดตา  ปู่เคยบอกว่าแถวนี้มีที่นาของปู่รวมอยู่ด้วยแล้วช่วงเก็บเกี่ยวจะพาเรามาเที่ยวเล่นกันเด็กๆ ชักย่านเดินตามกันเต็มถนนตัดกลางทุ่งนาไปทางตะวันตกขณะที่แดดบ่ายโดนเมฆขาวบดบังเป็นร่มเงาและลมทุ่งผัดแผ่วๆ  ไล้เนื้อตัวเรา  อีกไม่ไกลข้างหน้าเป็นหมู่บ้านริมธารเล็กๆ ที่ขาวและเพื่อนๆ อาศัยอยู่…
ปรเมศวร์ กาแก้ว
เหมือนฟ้าดำเก็บดาววิบวาวดวงและเหมือนแดดโชติช่วงกลับหุบหายเมื่อผีเสื้อปีกงามพบความตายและเหมือนฝันเกลื่อนรายเส้นทางจรใต้ใจรู้สึกโลกหมุนกลับขาวพลิกดำขลับใจโหยอ่อนดูสิน้ำตาฉันหลั่งบทกลอนผ่าวแต่ไม่ร้อนอย่างเคยเป็นยินไหม “จเรวัฒน์  เจริญรูป”ใจดั่งจะจูบแม้ทุกข์เข็ญโลกทั้งโลกรู้ความเยียบเย็นใครเล่ารู้ความเป็นของกวีเถิดพรุ่งนี้พบกันบนฟ้ากว้างพบในความอ้างว้างโค้งรุ้งสีฉันจะจำเธอไว้-ใจกวีพบในงามความดี-ฤดีดาล“จเรวัฒน์” จากแล้วเหมือนยังอยู่เหมือนยังนั่งเคียงคู่ ครูเขียนอ่านเรารู้เธอจะเป็นเช่นตำนานผู้สร้างความต้านทานทระนงอาลัยยิ่งกับการจากไปของกวีหนุ่มผู้มุ่งมั่นในงานกวีนิพนธ์ป ร เ ม ศ ว ร์ …