ผมผลักประตูออกจากบ้านตั้งแต่เช้า จ้อยนัดพวกเราไว้ที่ศาลากลางหมู่บ้านเหมือนทุกวัน วันนี้บอยจัดแจงเตรียมเม็ดหัวครกมาด้วย แปลกจริงขณะที่บอยบอกชื่อของมัน บ่าวหัวเราะกับชื่อ แปลกๆ แล้วบอกบอยว่าที่บ้านเราเขาเรียกเม็ดมะม่วงหิมพานต์ วันนี้เราจะเล่นขว้างหัวงู
ระหว่างทางสู่ศาลากลางหมู่บ้านกระจัดกระจายไปด้วยผีตากผ้าอ้อมขาวไปทั้งทุ่ง บ่าว นั่งลงจ้องมองอย่างพินิจและยิ้มก่อนที่แดดเช้าจะรีบเก็บผีตากผ้าอ้อมเสียหมดทีละน้อย
ตั้งแต่เมื่อวานที่เราพากันไปเก็บเม็ดหัวครกหลังบ้านจ้อย เราเลือกเอาผลสุกที่เม็ดจะเป็น สีน้ำตาลเข้มแล้ว ผมกับบ่าวเก็บไม่เป็นกลับมาเสื้อผ้าเลอะเทอะไปด้วยยางจนเสื้อผ้าดูด่างๆ ดำๆ น่าขัน เสียจริง
“บอย…ทางนี้ๆ เร็วเข้าๆ” แดงตะโกนเรียกเร่งเราให้รีบเดินมาแต่ไกล
“บ่าว…น้อง…” บอยตะโกนเรียกบ้างขณะที่เรายังเดินชมนกชมไม้กันอยู่
เรารีบจ้ำเดินเร็วขึ้นตามคำเร่งของแดงรี่ตรงไปที่ศาลา เด็กๆ หลายคนรอเราอยู่แล้ว ทุกคนต่างหิ้วถุงเม็ดหัวครกของตัวเองมาจากบ้านรวมทั้งเรา ผมรู้สึกแปลกตากับความรู้สึกนี้ ปกติที่เห็นกันอยู่แถวบ้านในเมืองของเราเจอะเจอแต่เด็กๆ ที่หิ้วพวกการ์ดสะสมรูปการ์ตูนหรือ พวกเกมกดต่างๆ มาโอดกันมากกว่า
ผมโปรยยิ้มให้กับทุกคนแทนคำขอโทษที่เรามาสาย ไม่ทันไรแดงก็ลงมือวาดเส้นเป็น วงกลมเล็กแล้ววาดวงรีอันยาวอีกวงต่อกัน
“แดงทำอะไร? ” บ่าวถาม
“วาดงู” แดงตอบ
“วาดงูเหรอ ทำไมล่ะ?”
“วันนี้เราจะเล่นขว้างหัวงู เราต้องวาดงูอย่างนี้แหละ เอาไว้วางเม็ดหัวครกต่อกันเป็นแถว ยาวดูแล้วเหมือนงูน่ะสิ” บ่าวยิ้มตอบเพื่อนอย่างบริสุทธิ์
“ไม่เคยเล่นเหรอ?” แดงถามกลับ
“ไม่เลย ที่บ้านเราไม่มีต้นหัวครกให้เก็บหรอก มีแต่เม็ดที่เคยสั่งกินตามร้านอาหาร หรือซื้อเอาตามตลาด” บ่าวอธิบาย แดงยิ้ม
บอยชิงว่าดังขึ้น บอกกติกาและเรียกเก็บเม็ดหัวครกจากเพื่อนๆ มาคนละ 2 เม็ด ทุกคนทำตามคำบอกของบอยเหมือนเคย แดงรับหน้าที่วางเม็ดหัวครกเม็ดหนึ่งไว้ในวงกลมเล็ก แล้ววางที่เหลือเรียงยาวต่อกันเป็นแถวคล้ายกระดูกงูไว้ในวงรีอีกวงูที่วาดไว้ก่อนแล้ว การละเล่นนี้นับเป็นการละเล่นแปลกใหม่ในชีวิตของเราทั้งสองพี่น้อง บ่าวยืนพินิจอยู่นานก่อนหันไปถามบอยเบาๆ
“เล่นอย่างไรล่ะ?”
“หาแม่เกยไว้สักเม็ด” บ่าวฟังบอยแล้วหัวเราะเรื่องแม่เกย
“บอย…อะไรคือแม่เกย?”
“แม่เกยก็คือเม็ดที่เราเลือกไว้สำหรับเป็นเม็ดที่จะขว้างออกไปให้โดนเม็ดอื่น ต้องเลือกเม็ดโตๆ น้ำหนักดีหน่อยนะ เวลาขว้างจะได้กระชับมือ น้ำหนักดีก็เมื่อไปโดนเม็ดไหน แล้วกระเด็นออกจากตัวงูที่วาดไว้แล้ว เราก็จะได้เม็ดหัวครกตั้งแต่เม็ดนั้นไปจนสุดปลายหาก เลยนะ” บอยบอกเรื่องแม่เกยพร้อมอธิบายกติกา
“โอ้โห! …น่าสนุกนะ” บ่าวยิ้ม บอยยิ้มตอบ
บ่าวและผมตื่นเต้นกับการหาแม่เกยของตัวเองอยู่ครู่หนึ่งจนได้มา 2-3 เม็ด แบมือถ่วงน้ำหนักคะเนก่อนได้แม่เกยลำดับ 1-3 เตรียมไว้
ขว้างหัวงูเป็นการละเล่นประลองความแม่นยำของเด็กๆ ที่นิยมเล่นกันแถวชนบทปักษ์ใต้ เมื่อหน้าแล้งมาถึงและวันปิดเทอม เพราะเป็นช่วงที่ต้นหัวครกจะออกผลสุกสีเหลืองบ้างสีส้มและ บ้างก็สีแดงเต็มต้นให้เด็กๆ เก็บมากินกันส่วนที่เป็นเม็ดดูจะมีคุณค่าที่สุดในบรรดาส่วนต่างๆ ของหัวครก ใบอ่อนใช้เป็นผักจิ้มเครื่องเคียง ผลก็กินได้ ส่วนเม็ดที่โผล่ออกมาดูแปลกตานั่นผ่าออก ก็เจอเม็ดในสีขาวอีกทีหนึ่งนำมาประกอบอาหารได้หลายอย่าง เด็กๆ ชอบให้แม่ผัดน้ำผึ้ง(น้ำตาลทรายแดง) บ้างเอาหมกไฟทุบกินกันอย่างสนุกสนาน
บ่าวทำท่าเล็งเป้าไปที่หัวงูตามที่บอยบอกแล้วขว้างมันออกไป เพื่อนๆ ที่นำโดยจ้อย หัวเราะลั่นเมื่อแม่เกยของบ่าวพลาดเป้าไปอย่างไม่เฉียดเลยแม้แต่น้อย คราวต่อไปเป็นจอมแม่น มือฉมัง จ้อยเล็งตรงหัวแล้วขว้างไปด้วยความแรงพอประมาณ แม่เกยของจ้อยพุ่งตรงไปที่หัวงู โดนแล้วกระเด็นออกจากวงกลมเล็กๆ ทั้งคู่ จ้อยกระโดดเหยงๆ ดีใจชูกำปั้นเมื่อเห็นผีมือการขว้าง ของตัวเอง เม็ดหัวครกกระเด็นออกไปคนละทาง เพื่อนๆ โห่ร้องกันสนุกสนาน
“เห็นมั๊ยๆๆ” จ้อยทำท่าเย้ยเพื่อนๆ อยู่นัยๆ
จ้อยเก็บเม็ดหัวครกทั้งหมดเป็นรางวัลจากความแม่น บอยรวมรวมเม็ดหัวครกสำหรับการ เล่นครั้งต่อไปแล้วเรียงไว้อย่างเดิม คราวนี้ผมเริ่มก่อน ผมพยายามเลียนแบบทำท่าทางตาหยีๆ เหมือนที่จ้อยทำเผื่อจะแม่นอย่างจ้อยบ้าง
ผมเงื้อมือขว้างแม่เกยพุ่งตรงออกไปยังส่วนปลายหาง เพื่อนๆ โห่ร้องดีใจแล้วหันมายิ้ม จับมือแสดงความยินดี รางวัลของผมเป็นเม็ดหัวครก 5 เม็ดต่อมาเป็นบอยที่พลาดเป้า แดง บ่าว และคนอื่นๆ ตามลำลับผลัดเปลี่ยนกันไปอย่างสนุกสนาน การแข่งขันดำเนินไปเรื่อยๆ จนตะวัน ล่วงบ่ายพวกเรารวบรวมเม็ดหัวครกของทุกคนมารวมไว้ด้วยกันเป็นส่วนกลาง แดงวิ่งไปหาหม้อ เก่าๆ ที่บ้านแล้ววิ่งกลับมา จ้อยจุดไปแล้วเราก็เอาเม็ดหัวครกทั้งหมดเทลงหม้อนั้นหมกไฟรวมกัน ไฟลุกท่วมหม้อเพราะยางของมันเป็นเชื้อไฟอย่างดี
ครู่หนึ่งเม็ดหัวครกในหม้อกลายเป็นสีดำอย่างตอตะโก จ้อยคว้ำหม้อให้เม็ดหัวครกเกลื่อน พื้น บอยหยิบเม็ดหัวครกที่หมกจนสุกเป็นสีดำมาเคาะให้แตกแล้วยื่นเม็ดในสีขาวหอมให้บ่าวและ ผมกินก่อน
“อร่อยนะ หัวครกหมกนี่อร่อยจริงๆ” ทั้งมือและแก้มของผมเปื้นสีดำจากเม็ดหัวครกจนดู มอมแมม เพื่อนๆ พากันหัวเราะและเราก็สนุกด้วยกัน
“ขว้างหัวงูแล้วหมกหัวครก”
“พรุ่งนี้เอาอีกนะ ผมชักชอบแล้วสิ” บ่าวโปรยยิ้มให้เพื่อนๆ แล้วมองมาทางผม
“พี่กินแม่เกยเสียแล้ว” บ่าวพูดแล้วเพื่อนๆ ก็หัวเราะ
“แต่ก็อร่อยดี”
คราวนี้เพื่อนๆ เฮกันลั่นกว่าเก่า ควันไฟยังโขมงอยู่ข้างศาลา กลิ่นเม็ดหัวครกหมกลอยไป ในสายลม ผมนึกอยู่ว่าเปิดเทอมคราวนี้จะกลับบ้านไปปลูกต้นหัวครกไว้เก็บเม็ดมาหมกกิน เล่นสักสองสามต้น
ระหว่างทางสู่ศาลากลางหมู่บ้านกระจัดกระจายไปด้วยผีตากผ้าอ้อมขาวไปทั้งทุ่ง บ่าว นั่งลงจ้องมองอย่างพินิจและยิ้มก่อนที่แดดเช้าจะรีบเก็บผีตากผ้าอ้อมเสียหมดทีละน้อย
ตั้งแต่เมื่อวานที่เราพากันไปเก็บเม็ดหัวครกหลังบ้านจ้อย เราเลือกเอาผลสุกที่เม็ดจะเป็น สีน้ำตาลเข้มแล้ว ผมกับบ่าวเก็บไม่เป็นกลับมาเสื้อผ้าเลอะเทอะไปด้วยยางจนเสื้อผ้าดูด่างๆ ดำๆ น่าขัน เสียจริง
“บอย…ทางนี้ๆ เร็วเข้าๆ” แดงตะโกนเรียกเร่งเราให้รีบเดินมาแต่ไกล
“บ่าว…น้อง…” บอยตะโกนเรียกบ้างขณะที่เรายังเดินชมนกชมไม้กันอยู่
เรารีบจ้ำเดินเร็วขึ้นตามคำเร่งของแดงรี่ตรงไปที่ศาลา เด็กๆ หลายคนรอเราอยู่แล้ว ทุกคนต่างหิ้วถุงเม็ดหัวครกของตัวเองมาจากบ้านรวมทั้งเรา ผมรู้สึกแปลกตากับความรู้สึกนี้ ปกติที่เห็นกันอยู่แถวบ้านในเมืองของเราเจอะเจอแต่เด็กๆ ที่หิ้วพวกการ์ดสะสมรูปการ์ตูนหรือ พวกเกมกดต่างๆ มาโอดกันมากกว่า
ผมโปรยยิ้มให้กับทุกคนแทนคำขอโทษที่เรามาสาย ไม่ทันไรแดงก็ลงมือวาดเส้นเป็น วงกลมเล็กแล้ววาดวงรีอันยาวอีกวงต่อกัน
“แดงทำอะไร? ” บ่าวถาม
“วาดงู” แดงตอบ
“วาดงูเหรอ ทำไมล่ะ?”
“วันนี้เราจะเล่นขว้างหัวงู เราต้องวาดงูอย่างนี้แหละ เอาไว้วางเม็ดหัวครกต่อกันเป็นแถว ยาวดูแล้วเหมือนงูน่ะสิ” บ่าวยิ้มตอบเพื่อนอย่างบริสุทธิ์
“ไม่เคยเล่นเหรอ?” แดงถามกลับ
“ไม่เลย ที่บ้านเราไม่มีต้นหัวครกให้เก็บหรอก มีแต่เม็ดที่เคยสั่งกินตามร้านอาหาร หรือซื้อเอาตามตลาด” บ่าวอธิบาย แดงยิ้ม
บอยชิงว่าดังขึ้น บอกกติกาและเรียกเก็บเม็ดหัวครกจากเพื่อนๆ มาคนละ 2 เม็ด ทุกคนทำตามคำบอกของบอยเหมือนเคย แดงรับหน้าที่วางเม็ดหัวครกเม็ดหนึ่งไว้ในวงกลมเล็ก แล้ววางที่เหลือเรียงยาวต่อกันเป็นแถวคล้ายกระดูกงูไว้ในวงรีอีกวงูที่วาดไว้ก่อนแล้ว การละเล่นนี้นับเป็นการละเล่นแปลกใหม่ในชีวิตของเราทั้งสองพี่น้อง บ่าวยืนพินิจอยู่นานก่อนหันไปถามบอยเบาๆ
“เล่นอย่างไรล่ะ?”
“หาแม่เกยไว้สักเม็ด” บ่าวฟังบอยแล้วหัวเราะเรื่องแม่เกย
“บอย…อะไรคือแม่เกย?”
“แม่เกยก็คือเม็ดที่เราเลือกไว้สำหรับเป็นเม็ดที่จะขว้างออกไปให้โดนเม็ดอื่น ต้องเลือกเม็ดโตๆ น้ำหนักดีหน่อยนะ เวลาขว้างจะได้กระชับมือ น้ำหนักดีก็เมื่อไปโดนเม็ดไหน แล้วกระเด็นออกจากตัวงูที่วาดไว้แล้ว เราก็จะได้เม็ดหัวครกตั้งแต่เม็ดนั้นไปจนสุดปลายหาก เลยนะ” บอยบอกเรื่องแม่เกยพร้อมอธิบายกติกา
“โอ้โห! …น่าสนุกนะ” บ่าวยิ้ม บอยยิ้มตอบ
บ่าวและผมตื่นเต้นกับการหาแม่เกยของตัวเองอยู่ครู่หนึ่งจนได้มา 2-3 เม็ด แบมือถ่วงน้ำหนักคะเนก่อนได้แม่เกยลำดับ 1-3 เตรียมไว้
ขว้างหัวงูเป็นการละเล่นประลองความแม่นยำของเด็กๆ ที่นิยมเล่นกันแถวชนบทปักษ์ใต้ เมื่อหน้าแล้งมาถึงและวันปิดเทอม เพราะเป็นช่วงที่ต้นหัวครกจะออกผลสุกสีเหลืองบ้างสีส้มและ บ้างก็สีแดงเต็มต้นให้เด็กๆ เก็บมากินกันส่วนที่เป็นเม็ดดูจะมีคุณค่าที่สุดในบรรดาส่วนต่างๆ ของหัวครก ใบอ่อนใช้เป็นผักจิ้มเครื่องเคียง ผลก็กินได้ ส่วนเม็ดที่โผล่ออกมาดูแปลกตานั่นผ่าออก ก็เจอเม็ดในสีขาวอีกทีหนึ่งนำมาประกอบอาหารได้หลายอย่าง เด็กๆ ชอบให้แม่ผัดน้ำผึ้ง(น้ำตาลทรายแดง) บ้างเอาหมกไฟทุบกินกันอย่างสนุกสนาน
บ่าวทำท่าเล็งเป้าไปที่หัวงูตามที่บอยบอกแล้วขว้างมันออกไป เพื่อนๆ ที่นำโดยจ้อย หัวเราะลั่นเมื่อแม่เกยของบ่าวพลาดเป้าไปอย่างไม่เฉียดเลยแม้แต่น้อย คราวต่อไปเป็นจอมแม่น มือฉมัง จ้อยเล็งตรงหัวแล้วขว้างไปด้วยความแรงพอประมาณ แม่เกยของจ้อยพุ่งตรงไปที่หัวงู โดนแล้วกระเด็นออกจากวงกลมเล็กๆ ทั้งคู่ จ้อยกระโดดเหยงๆ ดีใจชูกำปั้นเมื่อเห็นผีมือการขว้าง ของตัวเอง เม็ดหัวครกกระเด็นออกไปคนละทาง เพื่อนๆ โห่ร้องกันสนุกสนาน
“เห็นมั๊ยๆๆ” จ้อยทำท่าเย้ยเพื่อนๆ อยู่นัยๆ
จ้อยเก็บเม็ดหัวครกทั้งหมดเป็นรางวัลจากความแม่น บอยรวมรวมเม็ดหัวครกสำหรับการ เล่นครั้งต่อไปแล้วเรียงไว้อย่างเดิม คราวนี้ผมเริ่มก่อน ผมพยายามเลียนแบบทำท่าทางตาหยีๆ เหมือนที่จ้อยทำเผื่อจะแม่นอย่างจ้อยบ้าง
ผมเงื้อมือขว้างแม่เกยพุ่งตรงออกไปยังส่วนปลายหาง เพื่อนๆ โห่ร้องดีใจแล้วหันมายิ้ม จับมือแสดงความยินดี รางวัลของผมเป็นเม็ดหัวครก 5 เม็ดต่อมาเป็นบอยที่พลาดเป้า แดง บ่าว และคนอื่นๆ ตามลำลับผลัดเปลี่ยนกันไปอย่างสนุกสนาน การแข่งขันดำเนินไปเรื่อยๆ จนตะวัน ล่วงบ่ายพวกเรารวบรวมเม็ดหัวครกของทุกคนมารวมไว้ด้วยกันเป็นส่วนกลาง แดงวิ่งไปหาหม้อ เก่าๆ ที่บ้านแล้ววิ่งกลับมา จ้อยจุดไปแล้วเราก็เอาเม็ดหัวครกทั้งหมดเทลงหม้อนั้นหมกไฟรวมกัน ไฟลุกท่วมหม้อเพราะยางของมันเป็นเชื้อไฟอย่างดี
ครู่หนึ่งเม็ดหัวครกในหม้อกลายเป็นสีดำอย่างตอตะโก จ้อยคว้ำหม้อให้เม็ดหัวครกเกลื่อน พื้น บอยหยิบเม็ดหัวครกที่หมกจนสุกเป็นสีดำมาเคาะให้แตกแล้วยื่นเม็ดในสีขาวหอมให้บ่าวและ ผมกินก่อน
“อร่อยนะ หัวครกหมกนี่อร่อยจริงๆ” ทั้งมือและแก้มของผมเปื้นสีดำจากเม็ดหัวครกจนดู มอมแมม เพื่อนๆ พากันหัวเราะและเราก็สนุกด้วยกัน
“ขว้างหัวงูแล้วหมกหัวครก”
“พรุ่งนี้เอาอีกนะ ผมชักชอบแล้วสิ” บ่าวโปรยยิ้มให้เพื่อนๆ แล้วมองมาทางผม
“พี่กินแม่เกยเสียแล้ว” บ่าวพูดแล้วเพื่อนๆ ก็หัวเราะ
“แต่ก็อร่อยดี”
คราวนี้เพื่อนๆ เฮกันลั่นกว่าเก่า ควันไฟยังโขมงอยู่ข้างศาลา กลิ่นเม็ดหัวครกหมกลอยไป ในสายลม ผมนึกอยู่ว่าเปิดเทอมคราวนี้จะกลับบ้านไปปลูกต้นหัวครกไว้เก็บเม็ดมาหมกกิน เล่นสักสองสามต้น
บล็อกของ ปรเมศวร์ กาแก้ว
ปรเมศวร์ กาแก้ว
ผมเริ่มรับพฤติกรรมหล่อนไม่ได้เสียแล้ว ยิ่งนานวันเข้า รากฝอยของความเกียจคร้านก็ชอนไชแตกงามไปทั่วฝ่ามือและฝ่าเท้าบอบบางของหล่อน การงานทุกอย่างจึงต้องตกเป็นหน้าที่ของผมไปโดยปริยาย ทั้งที่ก่อนนั้นหล่อนเองต่างหากที่เป็นฝ่ายคิดเสนอโปรเจ็กยั่วใจเหล่านั้นขึ้นมาเพื่อหวังพัฒนาหน้าที่การงานที่หล่อนรับผิดชอบอยู่ ผมเริ่มสงสัยถึงเรื่องการมีจิตสาธารณะ จิตอาสาหรือการมีหัวใจ ความเป็นมนุษย์ของตัวเองว่ามันบกพร่อง หรือสั่นคลอนไปแล้วหรือไร ถึงได้คิดประหวั่นพรั่นพรึงกับพฤติกรรมของหล่อนได้ถึงเพียงนี้ หรืออีกนัยหนึ่ง ความละเอียดอ่อนต่อมิติทางสังคมบางอย่างของผมอาจหล่นหายไประหว่างการร่วมงานกับหล่อนเสียบ้างแล้ว
ปรเมศวร์ กาแก้ว
แม้ผ่านวันเพ็ญเดือนสิบสองที่น้ำนองเต็มตลิ่งไปนานแล้ว แต่น้ำในคลองข้างบ้านผมยังนองปริ่มตลิ่งอยู่เช่นเดิม แถมลมมรสุมยังพัด "ฝนหยาม"(ฝนประจำฤดู) มาซัดหลังคาบ้านให้คนเหงาได้นอนฟังกล่อมใจไม่สร่างมาหลายวันแล้วแน่นอนว่าฤดูฝนหยามจะพา "น้ำพะ"(น้ำนอง) มาด้วย ทุ่งข้าวสีเขียวจมอยู่ใต้น้ำ และแน่นอนคนหาปลาทุกเพศทุกวัยจะออกมาดักปลากันอย่างสนุกสนานดั่งรอคอยมาแรมปีปีนี้ฝนโปรยปักษ์ใต้อยู่แรมเดือน ยางพาราราคาต่ำ นาข้าวเสียหาย กระนั้นเลย คนที่นี่ก็ยังพอมีความสุขพอประทังกันบ้าง "กัด"(ตาข่ายดังปลา) ถูกนำมาชะล้างและ "วาง"ลงในห้วยเดิม คัน "เบ็ดทง"(เบ็ดสำหรับปักทิ้งไว้กลางทุ่งและค่อยกลับไปตรวจตราเป็นช่วง ๆ บน "ผลา"(…
ปรเมศวร์ กาแก้ว
สวัสดีครับพี่... ผม..เมศเองครับ ผมยังรู้สึกเหมือนเสียงหัวเราะและแรงมือที่ตบลงบนบ่าผม ก่อนเสียง “ไอ้เมศ...กูรักมึง...กูรักมึง” ของพี่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน... ในเสียงนั้นยังคงไหวหวานมาตลอด แม้ผมจะไม่ได้ยินเสียงพี่มานานแล้วก็ตามที สิ่งเดียวที่ทำให้ผมเชื่อว่าพี่จะอยู่กับเราไปตลอด คือความรักที่เราแลกเปลี่ยนกันตอนพี่บียังอยู่กับเรา หนึ่งปีผ่านไปแล้ว ดูเหมือนผมจะรู้สึกว่าเราใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น ทั้งที่ไม่ได้เจอกันเลยสักครั้งแม้ในยามค่ำคืนที่โลกของความฝันชวนดวงดาวพริบแสงมาเยือนก็ตาม
ปรเมศวร์ กาแก้ว
เมื่อเดือนแปดตามจันทรคติมาถึง “ลมหัวษา” (ลมต้นฤดูพรรษา) โหมแรงมาทางตะวันตกเฉียงใต้ พัดจีวรและผ้าอาบน้ำฝนใหม่ของพระหนุ่มแรกพรรษาและพระเก่าหลายพรรษาพลิ้วลมอยู่ไหวๆ ลมช่วงนี้อาจพัดแรงไปจนถึงปลายเดือนเก้าที่ “ลมออก” พัด “ฝนนอก” (มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ) ห่าใหญ่มาเติมทะเลสาบสงขลา (ที่มีพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดพัทลุง) อีกครั้งตอนผมยังเด็กกว่านี้ (เมื่อสองสามปีก่อน.....ฮา) ผ้าเหลืองบนกุฏิไหวลมไม่เคยสวยเท่าตอนนี้มาก่อน แม้ครอบครัวของผมจะคุ้นชินกับผ้าเหลือง (จีวร) เพราะ “พ่อเฒ่า” (ตา) ของผมบวชครองผ้าเหลืองมาตั้งแต่วัยหนุ่มใหญ่จนปลิดลมหายใจชราของชีวิตสิ้นไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน…
ปรเมศวร์ กาแก้ว
เ ชิ ญ ช ว น กั น สั ก ห น่ อ ยด้วยหัวใจผมรักธรรมชาติ และแน่นอนผมรักบทเพลงของชีวิตรวมถึงบทกวีที่ไหวเต้นเป็นจังหวะมาจากส่วนลึกของจิตใจผู้เป็นกวีจริง ๆ แล้วผมอยากบอกเล่าเรื่องราวของคนกลุ่มหนึ่ง แถบบ้านผม"คนเขาปู่" (บ้านเขาปู่ อำเภอศรีบรรพต จังหวัดพัทลุง) ที่ตัวผมเองก็จำชื่อกลุ่มของพวกเขาได้ไม่แน่ชัดนัก (น่าจะชื่อเครือข่ายคนต้นน้ำ/หรืออะไรสักอย่างที่คล้ายชื่อนี้) เรามีโอกาสพบปะพูดคุยกัน 2-3 ครั้งก่อนหน้านี้และบ่อยขึ้น จนพบหัวใจบางอย่างในดวงตาพวกเขา จึงคิดเรื่องกิจกรรมบางอย่างร่วมกันเพื่อผืนป่าเล็ก ๆ เด็กๆ…
ปรเมศวร์ กาแก้ว
ช่วงเดือนหกตามจันทรคติที่ผ่าน ดอกผักบุ้งกลางทุ่งทางปักษ์ใต้ได้บานรับฝนโปรยกันทั่ว เป็นสัญญาณของการเริ่มต้นฤดูฝนปรัง เติมความชุ่มชื่นให้ผืนดินหลังฤดูเก็บเกี่ยว รอการไถปลูกนอกฤดูกาล แม้ในบางพื้นที่ ทุ่งนาได้กลายเป็นกล้าข้าวพื้นเมืองสีเขียวจำพวก ‘ข้าวเล็บนก’ ‘ข้าวสังข์หยด’ ‘ข้าวเฉี้ยง’ ‘ข้าวไข่มดริ้น’ ฯลฯ ไปแล้ว ที่ลุ่มริมทะเลสาบเจิ่งนองด้วยน้ำที่เอ่อมาจากพรุ วาระอย่างนี้ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้ามาทุกปีไม่เหนื่อยหน่าย
ปรเมศวร์ กาแก้ว
หลังมื้อค่ำ ดาวไถทอประกายวาวอยู่บนฟ้าทางทิศเหนือแทนดวงไฟในคืนแรม ปู่เคยเล่าว่ามันเป็นสัญลักษณ์ให้นัก เดินทางกลางราตรีได้จดจำเส้นทางเพื่อความอุ่นใจขณะที่เรากำลังนอนดูดาวอยู่ระเบียงนอกชานหลังบ้าน สายลมบางเบาพัดเอาควันไฟจากกองที่จุดไว้ไล่ยุงให้วัว สามตัวในคอกของปู่ผ่านร่องกระดานไม้เก่าคร่ำโชยผ่านจมูกของเรา หลังมื้อค่ำเรามักมานอนนับดาวเล่นอย่างนี้เสมอๆ ปู่นั่งถัดขึ้นไปที่ประตูซึ่งยกระดับขึ้นเหนือระเบียงนอกชานไม้เล็กน้อย เราทั้งสามลุกขึ้นมานั่งใกล้ๆ ปู่ ปู่ลูบหัว เราทั้งสามเบาๆ แล้วโอบตัวบ่าวมาแนบกาย นัยน์ตาปู่ใสและเปล่งประกายอย่างอ่อนโยน “อยู่บ้านปู่สนุกมั๊ย” …
ปรเมศวร์ กาแก้ว
ขณะที่แดดเช้าเก็บผีตากผ้าอ้อมไม่ทันหมด เครื่องจักรลูกหมาสีแดงยังคำรามเสียงดังไปทั่วท้องนา มันคำรามมาตั้งแต่เมื่อค่ำวานจนตลอดทั้งคืน ปู่ออกจากบ้านมาตั้งแต่เมื่อค่ำวานพร้อมกับเพื่อนบ้านคนอื่นๆ เพื่อมาเฝ้ามองมันอย่างตั้งอกตั้งใจ เราเดินเลาะชายป่าไปทางท้ายวัด ท้องนาสีเหลืองถูกเก็บเกี่ยวเหลือแต่ซังข้าวรอการไถกลบเพื่อ ปลูกใหม่อีกครั้งในฤดูทำนา ปู่นั้งอยู่ริมบึงถัดจากที่เรายืนไปสองบิ้งนารวมอยู่กับตาเขียว ตาไข่ และคนอื่นๆ คนชนบททางภาคใต้เรียกรถไถนาเดินตามกันว่า “รถจักรลูกหมา” ปู่เคยบอกว่าประโยชน์ของมัน มากมาย นอกจากไถนาได้แล้ว …
ปรเมศวร์ กาแก้ว
ผมผลักประตูออกจากบ้านตั้งแต่เช้า จ้อยนัดพวกเราไว้ที่ศาลากลางหมู่บ้านเหมือนทุกวัน วันนี้บอยจัดแจงเตรียมเม็ดหัวครกมาด้วย แปลกจริงขณะที่บอยบอกชื่อของมัน บ่าวหัวเราะกับชื่อ แปลกๆ แล้วบอกบอยว่าที่บ้านเราเขาเรียกเม็ดมะม่วงหิมพานต์ วันนี้เราจะเล่นขว้างหัวงูระหว่างทางสู่ศาลากลางหมู่บ้านกระจัดกระจายไปด้วยผีตากผ้าอ้อมขาวไปทั้งทุ่ง บ่าว นั่งลงจ้องมองอย่างพินิจและยิ้มก่อนที่แดดเช้าจะรีบเก็บผีตากผ้าอ้อมเสียหมดทีละน้อยตั้งแต่เมื่อวานที่เราพากันไปเก็บเม็ดหัวครกหลังบ้านจ้อย เราเลือกเอาผลสุกที่เม็ดจะเป็น สีน้ำตาลเข้มแล้ว …
ปรเมศวร์ กาแก้ว
บนศาลากลางหมู่บ้านวันนี้ไม่มีเสียงเอ็ดตะโรของเด็กๆ ขณะที่ฟ้าใส ดวงอาทิตย์คล้อยบ่ายทิ้งไว้เพียงเศษเปลือกลูกยางที่แหลกแล้วและ ใบตองห่อขนมเกลื่อนพื้นอีกฟากหนึ่งเป็นถนนสายเล็กๆ เราเดินตามทางนั้นไปเลี้ยวอ้อมป่าละเมาะสู่อีกหมู่บ้านทางตะวันตกตามคำชวนของขาว สองข้างทางเป็นผืนนาไกลสุดตา ปู่เคยบอกว่าแถวนี้มีที่นาของปู่รวมอยู่ด้วยแล้วช่วงเก็บเกี่ยวจะพาเรามาเที่ยวเล่นกันเด็กๆ ชักย่านเดินตามกันเต็มถนนตัดกลางทุ่งนาไปทางตะวันตกขณะที่แดดบ่ายโดนเมฆขาวบดบังเป็นร่มเงาและลมทุ่งผัดแผ่วๆ ไล้เนื้อตัวเรา อีกไม่ไกลข้างหน้าเป็นหมู่บ้านริมธารเล็กๆ ที่ขาวและเพื่อนๆ อาศัยอยู่…
ปรเมศวร์ กาแก้ว
เหมือนฟ้าดำเก็บดาววิบวาวดวงและเหมือนแดดโชติช่วงกลับหุบหายเมื่อผีเสื้อปีกงามพบความตายและเหมือนฝันเกลื่อนรายเส้นทางจรใต้ใจรู้สึกโลกหมุนกลับขาวพลิกดำขลับใจโหยอ่อนดูสิน้ำตาฉันหลั่งบทกลอนผ่าวแต่ไม่ร้อนอย่างเคยเป็นยินไหม “จเรวัฒน์ เจริญรูป”ใจดั่งจะจูบแม้ทุกข์เข็ญโลกทั้งโลกรู้ความเยียบเย็นใครเล่ารู้ความเป็นของกวีเถิดพรุ่งนี้พบกันบนฟ้ากว้างพบในความอ้างว้างโค้งรุ้งสีฉันจะจำเธอไว้-ใจกวีพบในงามความดี-ฤดีดาล“จเรวัฒน์” จากแล้วเหมือนยังอยู่เหมือนยังนั่งเคียงคู่ ครูเขียนอ่านเรารู้เธอจะเป็นเช่นตำนานผู้สร้างความต้านทานทระนงอาลัยยิ่งกับการจากไปของกวีหนุ่มผู้มุ่งมั่นในงานกวีนิพนธ์ป ร เ ม ศ ว ร์ …