Skip to main content

picture1

“สุชาติ สวัสดิ์ศรี” ยืนล้วงกระเป๋าเสื้ออยู่ริมทางรถไฟ ในขณะที่รถไฟกำลังมา 

เป็นภาพปกหนังสือ ฅ คน ที่ทำให้ฉันต้องนับเงินในกระเป๋าให้ครบแปดสิบบาท ความจริงหนังสือเขาไม่แพงหรอก เพียงแต่ว่า เงินสำหรับบ้านฉันมันหายากมาก หรือจะเรียกให้ถูกก็คือฉันไม่ค่อยหาเงิน ดังนั้นเมื่อไม่หาเงินก็ต้องใช้เงินน้อย ๆ หรือไม่ใช้ไปเลยถ้าไม่จำเป็นต้องใช้จริง ๆ

แม้ว่าการจะซื้อหนังสือถือเป็นความจำเป็นหนึ่ง แต่ก็ต้องเลือกอย่างพิถีพิถันในเนื้อหา ดังนั้น ถ้าร้านไหนห่อพลาสติกอย่างดีเปิดไม่ได้ ก็ผ่านเลย

หนังสือเล่มนี้ก็ห่อพลาสติกอย่างดีเหมือนกัน แต่ก็รีบซื้อ 

เพราะทั้งรถไฟและคุณสุชาติ  สวัสดิ์ศรี ถือเป็นความผูกพันหนึ่งหรือเป็นความสัมพันธ์หนึ่งที่เกี่ยวข้องกัน  เพราะชีวิตการเดินทางเริ่มต้นจากรถไฟ ส่วนงานเขียนหนังสือผู้ชายที่ยืนริมทางรถไฟ ก็เป็นส่วนหนึ่งของการเริ่มต้นคนเขียนหนังสือ

picture2

นอกจากได้อ่านบทสัมภาษณ์เรื่องราวของ สุชาติ สวัสดิ์ศรี ให้หายคิดถึง ตามประสาคนในแวดวงวรรณกรรม เพราะรู้จักรู้เรื่องกันอยู่แล้ว แต่คนอยู่ร่วมบ้านเดียวกันและเป็นคนเขียนหนังสือเหมือนกัน บอกฉันว่า หลังจากอ่านเรื่องของคุณสุชาติแล้ว พบว่าตัวเองเหมือนไม่ได้ทำอะไรเลย ก็ถือว่าเป็นการค้นพบที่คุ้มค่ามาก

ความไม่พร้อมไม่ใช่เหตุผลที่เราจะไม่ทำ เป็นคำตอบหนึ่ง

ดูเหมือนคุณสุชาติจะมีความพยายามและตั้งใจสูงมากที่จะทำงาน ไม่ว่าจะเป็นงานเขียน งานบรรณาธิการ โดยเฉพาะงานศิลปะภาพวาดที่ต้องลงทุนสูง เรียกว่าไม่ได้พร้อมด้านทุนแต่พร้อมด้านจิตใจ

ครั้งหนึ่งฉันมีโอกาสเดินทางไปบ้านเขา ในช่วงปลายปี 2540 

เป็นช่วงปีแห่งการเปลี่ยนแปลง เป็นช่วงค่าเงินบาทลด และช่วงตกงานอย่างจริงจัง เพราะหนังสือที่ทำอยู่ปิดตัวลงทีละเล่ม ๆ ช่วงนั้นได้เดินทางไปบ้านคุณสุชาติ เป็นการไปครั้งแรก กับเพื่อน ๆ นักเขียน มีสุจินดา กับชามาไปด้วย  
สุจินดากับชามาอยากดูรูปเขียนมากๆ  ตอนนั้นรูปยังไม่มาก เพราะเป็นการเริ่มต้น แต่สองนางที่หลงใหลงานศิลปะต่างชื่นชอบชื่นชมกันมาก ๆ   
พวกเขาคุยกันไม่รู้จบและฉันก็ง่วงมากจึงตัดสินใจนอนที่นั้น  ตื่นขึ้นมายามเช้า ศิลปินใหญ่หายไปจากบ้านแล้ว แต่ไม่นานก็เดินกลับมาพร้อมด้วยแปรงสีฟันสำหรับพวกเรา

นักเขียนอีกคน “ศรีดาวเรือง” ทำอาหารง่าย ๆ แบบประหยัด ๆ คือพวกผักต่าง ๆ และไข่ ส่วนนักเขียนที่เริ่มเป็นหนุ่ม เขามีคอลัมน์ในหนังสือ ไรท์เตอร์ มาคุยด้วย

ในช่วงนั้นฉันยังเป็นคนเขียนหนังสือที่รับจ้างทำหนังสือ รับจ้างเป็นรีไรท์เตอร์  เรียกว่ามีเงินพอที่จะอยู่สบาย แต่เหนื่อยและมีชีวิตอยู่กับการง่วงนอนเมื่อหนังสือพิมพ์ที่รับจ้างเป็นรีไรเตอร์ปิดลง  หนังสือที่เขียนบทความอยู่ก็ปิดลงทีละเล่ม จนหมด และตกงานอย่างจริงจัง ฉันไม่ได้บอกใครว่าฉันรู้สึกดีใจอยู่ลึก โล่งโปร่งสบายใจ

ได้เดินทางไปไหนต่อไหนรวมทั้งบ้านคุณสุชาติด้วย ฉันก็รู้สึกสบายที่ได้ล้มตัวลงนอนที่บ้านหลังนั้น ได้เห็นว่าการใช้ชีวิตไม่ต้องใช้เงินมากก็ได้ ไม่ต้องมีรถยนต์  ใช้รถไฟ และเดินตัดผ่านทุ่งก็ไม่ได้ลำบากอะไร ไม่ต้องมีเครื่องอำนวยความสะดวกในบ้านมากมาย ไม่ต้องมีโทรศัพท์มือถือก็ได้ ชีวิตไม่ต้องแพงมากก็ได้

นี่เป็นจุดเปลี่ยนหนึ่ง ฉันจึงเป็นคนตกงานอย่างถาวร และไม่ได้ทำงานเพื่อหาเงินมาใช้ แต่หาเงินเพื่อทำงาน แค่มีกินและกินตามสมควร

แน่นอนล่ะ เหนื่อยยาก ลำบากอยู่บ้าง แต่ดีกว่ามีชีวิตที่ไม่สดชื่นเลยทั้งปีและอาจจะทั้งชาติ

แปดสิบบาทสำหรับ ฅ คน ถือว่า คุ้มค่าอยู่ เพราะนอกจากเรื่องราวของ “สุชาติ สวัสดิศรี” และการกลับมาของนิตยสาร ช่อการะเกด นิตยสารเรื่องสั้นไทย ที่เปิดรับเรื่องสั้นทั่วทิศ ไม่ใช่แค่นักเขียนเก่า แต่เป็นที่นักเขียนใหม่แจ้งเกิดด้วย ใครที่อยากเขียนเรื่องสั้นและกลัวว่าไม่มีใครอ่านหรือส่งไปแล้วบรรณาธิการไม่คุ้นชื่อไม่อ่าน ส่งมาที่ช่อการะเกด ไม่ผิดหวัง บรรณาธิการอ่านแน่ และที่สำคัญ โดยส่วนตัวแล้วพบว่า บรรณาธิการช่อการะเกด เขาอ่านงานนักเขียนด้วยเมตตา ด้วยมิตรที่อบอุ่น และให้เกียรติผู้เขียน สำหรับฉันเห็นว่า นี่เป็นเรื่องสำคัญมากที่หาได้ยากในบรรณาธิการรุ่นใหม่ ๆ

picture3 

เอาล่ะที่บอกว่า คุ้มค่าคือได้อ่านคอลัมน์ สโมสรจุดเปลี่ยน เพราะไม่ค่อยได้ดูโทรทัศน์ จึงไม่ได้ดูรายการนี้ เหตุที่ไม่ได้ดูเพราะว่า สัญญาณรับโทรทัศน์ไม่ค่อยจะดี ต้องลงทุนซื้อเสาอากาศ  พิจารณาดูแล้วไม่คุ้มทุนเท่าไหร่ มีรายการที่น่าสนใจน้อย จึงใช้วิธีดูบ้านเพื่อนถ้ามีรายการดี ๆ เพราะคนข้างบ้านเขาเอื้อเฟื้อ โทรทัศน์อยู่ใต้ถุนบ้านจอใหญ่ด้วย

ขอนำ สโมสรจุดเปลี่ยนมาเขียนถึงสักเล็กน้อย  เขาเสนอเรื่อง การใช้ปิ่นโตแทนถุงพลาสติก  ถุงพลาสติก เป็นภัยร้ายทำลายสภาพแวดล้อมของโลกในอนาคต และมีภาพของศิลปินคนหนึ่ง หิ้วปิ่นโตมาซื้อกับข้าวและมีตัวอักษรพาดผ่านภาพว่า ใช้มาสิบปีแล้ว

ใกล้บ้านฉันก็มีเด็กชายใช้ปิ่นโตมานับสิบปีแล้วเหมือนกัน ฉันเห็นเขาเอาปิ่นโตห้อยมากับหน้ารถจักรยาน กลับบ้านทุกเย็น เขาเอาข้าวไปกินโรงเรียน ตั้งแต่เริ่มเรียนอนุบาล จนถึงวันนี้เขาเรียน ป.6 แล้ว ปีหน้าเขาจะย้ายไปเรียนโรงเรียนในเมือง ฉันไม่รู้ว่าเขาจะเริ่มใช้กล่องโฟมหรือเปล่า

เอาล่ะ เพื่อสนับสนุนจุดเปลี่ยน เขาว่าต้องเริ่มต้นจากตัวเองก่อน วันต่อมาฉันใช้ถุงผ้าไปซื้อของกับน้องสาวข้างบ้าน ไปซื้อซีอิ๊วขาว น้ำมันพืช กระเทียม หอม  ของสำหรับครัว ที่ร้านของชำเจ้าประจำในตลาด  ของพวกนี้ไม่จำเป็นต้องใส่ถุงพลาสติก ใส่ถุงผ้าได้เลย แต่เมื่อบอกว่า ใส่ถุงผ้าไปเลย เขาบอกไม่เป็นไร ใส่ไปเถอะ 

ฉันเกือบจะยอมแพ้รับของมาแล้ว แต่ไม่ยอม ฉันยืนยันว่า ไม่เอา เก็บถุงพลาสติกไว้เถอะ เขาทำหน้าแปลก ๆ และรำคาญที่ต้องเอาของออกจากถุงพลาสติกใส่ถุงผ้า น้องที่ไปด้วยกันก็พูดเขิน ๆ ว่า พี่เขาอนุรักษ์ ฉันบอกว่า ไม่ให้มีขยะมาก จะได้ไม่ต้องเผามากนัก ฤดูร้อนจะได้ไม่มีหมอกควัน ลดภาวะโลกร้อนด้วย คนขายยิ้ม แต่คนที่ยืนรอซื้อของอยู่ใกล้ ๆ พูดขึ้นมา ว่าไม่เป็นไรหรอก ร้อนได้ก็เย็นได้  มีหมอกควัน พอฝนลงก็หายหมดแหละ ฝนตกหายหมดไม่ต้องกลัว

อือ...ฉันพยักหน้า แบบผู้แพ้ คร้านจะพูดต่อ แต่ไม่ได้เอาถุงพลาสติกกลับบ้านสักใบเดียว เรียกว่า ชนะตัวเอง

แค่นี้ก็สบายใจแล้ววันนี้ เรียกว่าสบายใจแบบพอเพียง ไม่หวังความสบายใจมาก แปดสิบบาทกับเรื่องผู้ชายริมทางรถไฟและจุดเปลี่ยนชีวิต

** ภาพประกอบจาก onopen.com

บล็อกของ แพร จารุ

แพร จารุ
มีคำกล่าวว่า "อาหารอายุสั้น คนกินอายุยืน อาหารอายุยืน คนกินอายุสั้น" แรกที่ฟังก็รู้สึกรำคาญคนพูดนิด ๆ เพราะเรากำลังกินอาหารอายุยืนแต่เราไม่อยากอายุสั้น สงสัยใช่ไหมคะว่าอาหารแบบไหนที่อายุยืน อาหารที่ปรุงแต่งมาเรียบร้อยแล้ว แช่ตู้ไว้ได้นานๆ นั่นคืออาหารอายุยืน กินกันได้นานๆ แช่ไว้ในตู้เย็น อาหารพวกนี้คนกินอายุสั้น แต่อาหารอายุสั้นก็พวกเห็ด ผักบุ้ง พวกเหล่านี้เป็นอาหารอายุสั้นอยู่ได้ไม่นาน แต่คนกินอายุยืน แต่เดี๋ยวนี้มีมะเขือเทศอายุยืนด้วยนะคะ เป็นพวกตัดต่อพันธุกรรมแบบให้ผิวแข็งไม่บอบช้ำในระหว่างขนส่ง
แพร จารุ
  1   เป็นนักเขียนมีความสุขไหม   วันหนึ่งฉันต้องตอบคำถามนี้ “เป็นนักเขียนมีความสุขไหม” ผู้ที่ถามคำถามนี้เป็นเด็กนักเรียนตัวเล็กๆ ชั้นประถมปีที่ 5 ฉันรู้สึกดีใจที่มีเด็กถามเรื่องความสุขมากกว่าเรื่องรายได้
แพร จารุ
ฉันห่างกรุงเทพฯ มานานจริงๆ นานจนไปไหนไม่ถูก ก่อนฟ้าสางรถทัวร์จอดตรงหัวมุมถนน ฉันเดินตรงเข้าไปทางถนนข้าวสารตามพื้นถนนแฉะ หาที่นั่งรอหลานมารับแต่ก็หาไม่ได้ พื้นแฉะ ๆ ผู้คนกำลังล้างพื้นกันอยู่ จึงตัดสินใจ เดินออกจากถนนข้าวสารมุ่งตรงไปทางกองฉลากกินแบ่งรัฐบาล มีคนจรนอนห่มผ้าเก่า ๆ อยู่มากมาย ตามทางเดิน  
แพร จารุ
มีเพื่อนอย่างน้อยสองคนตกหล่นไปจากชีวิต ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเราเขียนจดหมายคุยกันอยู่เสมอ ๆ ต่อมาฉันเลิกตอบจดหมายเพื่อนทั้งสองคน 
แพร จารุ
2 กันยายน 2552 นั่งกินมะขามหวานเพลิน ๆ มะขามก็เปรี้ยวขมขึ้นมาทันที เพื่อนโทรมาบอกว่า เธอไปที่โรงพยาบาลนครพิงค์ ได้ยินเสียงตามสายที่ รพ.ขอบริจาคเงินช่วยเหลือเด็กชาวเขาที่แม่มาคลอดตายที่โรงพยาบาล “แม่มาคลอดตายที่โรงพยาบาล แสดงว่าเธอตายระหว่างคลอด” เพื่อนตอบว่าใช่ “เด็กยังอยู่รอดปลอดภัย” “ใช่”    
แพร จารุ
"อะไรเอ่ยมันโผล่ขึ้นมาจากดิน" คำถามเล่น ๆ ของเด็ก ๆ สมัยก่อนเราจะตอบว่า ขอม เพราะเคยเรียนเรื่องพระร่วง  ตอนขอมดำดิน แต่ เดี๋ยวนี้ถ้าไปตอบว่า "ขอม" เด็กไม่เข้าใจ
แพร จารุ
1 วันก่อนไปท่ากาน (ท่ากานเป็นหมู่บ้านหนึ่ง ในอำเภอสันป่าตอง เชียงใหม่ ) พบเด็ก หญิงสองคน เอาก้านกล้วยมาแกว่งไปมากระโดดเล่นกัน ดูน่ารักดี เป็นการเล่นแบบหาของใกล้ตัวมาเล่นกัน
แพร จารุ
10 กันยายน 2552 น้องคนหนึ่งโทรศัพท์มาบอกว่า “มีเรื่องตลกเศร้ามาเล่าให้ฟัง” ฉันหัวเราะ ไม่อยากฟังเธอเล่าอะไรเลยเพราะกำลังเจ็บหูอย่างแรง กำลังจะไปหาหมอ แต่เธอรีบบอกก่อนว่า “พี่ยังไม่รู้ใช่ไหม ลุงหมื่นแกฝายพญาคำ กับพ่อหลวงสมบูรณ์ ผู้ช่วยแกฝาย เขาเซ็นยินยอมให้กรมชลประทานสร้างประตูระบายน้ำแล้ว”
แพร จารุ
   บก.สุชาติ สวัสดิ์ศรี เทียบเชิญฉันเขียนเรื่องสั้น ช่อการะเกด ฉบับเทียบเชิญนักเขียนเก่าที่เคยเขียนช่อการะเกด
แพร จารุ
เธอนิ่งเงียบหลังจากกินอาหารเสร็จ "เศร้าทำไม" ฉันถามเธอ "กำลังดูกระถางต้นไม้อยู่" เธอตอบไม่ตรงกับคำถาม ฉันมองไปที่กระถางต้นไม้ มีอะไรตายอยู่ในนั้นที่ทำให้เธอเศร้า หรือว่าเศร้าที่ต้องมากินอาหารใต้ที่เมืองเหนือทั้งที่เธอเพิ่งเดินทางมาจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
แพร จารุ
 ผู้ชายคนหนึ่ง เลี้ยงปลวกเพื่อเอาปลวกไปเลี้ยงปลาดุก เขาบอกว่า เขาเฝ้ามองปลวกตัวอ้วน ๆ ที่ค่อยเติบโตขึ้น และเอาปลวกไปให้ปลาดุกกิน เขาอธิบายตัวเองว่าเป็นวิถีแห่งสัตว์โลก วิธีการใช้ชีวิตให้อยู่รอดฉันแค่สะดุดใจตรงที่เลี้ยงดูเขาไว้ก่อนแล้วค่อยจัดการ ฉันคิดว่า ถ้ามันกินกันเองตามวิถีชีวิตไม่เป็นไรฉันคิดถึงถ้อยคำหนึ่ง จำไม่ได้แล้วว่า ใครพูด "เขารัก...เหมือนคนเลี้ยงหมูรักหมูที่เลี้ยงไว้" นั่นหมายถึงรักและดูแลอย่างดีเพื่อเอาไว้ฆ่าและขาย
แพร จารุ
1  ฉันเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับความตายครั้งแรกเมื่อพ่อตายจากไป ในวันที่แม่ พี่ ๆและ ญาติ ๆ ต่างช่วยกันจัดงานให้พ่อ ผู้หญิงเตรียมอาหาร ปอกหอมกระเทียม เด็ดก้านพริกขี้หนู หั่นตะไคร้ ผู้ชายเตรียมไม้ฟืนเพื่อทำอาหาร หุงข้าว ต้มแกง ต้องหุงข้าวด้วยกระทะใบใหญ่  ต้องทำอาหารจำนวนมากในเวลาหลายวัน เรามีญาติเยอะ มีเพื่อนบ้าน และคนรู้จักมากมาย เพราะเราไม่ได้มีพ่อที่ดีต่อลูกเท่านั้นแต่มีพ่อที่ดีต่อผู้อื่นด้วย