แม่ครัว เด็กเสิร์ฟ หาบเร่แผงลอย ช่างนวด คนขับรถรับจ้าง แม่บ้าน คนทำความสะอาด ยาม เป็น "ตัวแทนสาขาอาชีพ" ได้ไหม?
หากคิดว่าประเทศไทยเป็นสังคมเกษตร และมีคนไร้การศึกษาเป็น "ควาย" ที่คิดไม่เป็น จนต้องแต่งตั้งคนจากอาชีพต่างๆขึ้นมาคิดแทน และหาคนดีบริสุทธิ์ผุดผ่องมาเป็นผู้นำประเทศแล้วล่ะก็ ย่อมแสดงให้เห็นถึง "ความไร้เดียงสา" เป็นอย่างมาก
คนส่วนใหญ่ในประเทศไทย เป็นคนโง่ คิดเองไม่เป็น เลือกอะไรไม่มีเหตุผล โดนหลอกง่ายๆ จริงหรือ คือสิ่งที่ต้องคิดให้หนักนะครับว่า "ใครกันแน่ที่โดนหลอก"
หลายครั้งที่คนจำนวนมากไม่พูดความจริงในใจ หรือแสดงความคิดเห็นออกมา เพราะเกรงว่าถ้าพูดไปจะกระทบกับรายได้ หรืองานการ เขาก็อาจไม่พูดต่อหน้าท่าน แต่เก็บไปพูดลับหลังกัน แล้วหลอกท่านให้คิดว่าเขาโง่ไปเรื่อยๆก็ได้ ตราบเท่าที่ท่านจะเมตตากรุณาเป็นนายจ้างหรือลูกค้าของเขาต่อไป
ใช่ครับ สังคมทุนนิยม ทำให้คนปากไม่ตรงกับใจ เพราะทุกคนก็เดาได้ว่าถ้าทำให้นายจ้าง หรือลูกค้าไม่พอใจ จะต้องมีปัญหาเรื่องรายได้ ไม่มีเงินไปเลี้ยงปากท้องแน่ๆ
ยิ่งเป็นคนที่ทำอาชีพที่ว่าไว้ข้างบนนั้น ยิ่งเสี่ยง เพราะความพึงพอใจของนายจ้าง และลูกค้า คือ ที่มาของรายได้ และความมั่นคงในชีวิต คนเหล่านี้อยู่กับความเสี่ยงมากนะครับ แค่ตกงานเดือนนึง หรือขายของไม่ได้สัปดาห์นึง ก็สิ้นเนื้อประดาตัวทันที
แล้วไม่ไปทำอาชีพอื่นล่ะ ?
หากเลือกได้ เขาก็คงอยากเลือกทำงานที่มั่นคง มีรายได้ดี แต่ที่แน่ๆ งานประจำทั้งหลายต้องใช้คุณวุฒิและชื่อเสียงของสถาบันการศึกษาเป็นบัตรผ่าน
นั่นไง โง่เองแล้วมาบ่นทำไม?
ระบบการศึกษาไทย ทั่วถึง และมีมาตรฐานดีพอแล้วรึยัง การคัดเลือกคนเข้าโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยรัฐชื่อดัง สะท้อนคุณภาพและสติปัญญาของคนจริงหรือ คงรู้กันนะครับ ว่าคนที่เข้าไปสถาบันการศึกษาเหล่านี้ กวดวิชา หรือลงทุนกันมากขนาดไหน กว่าจะมาถึงขั้นนี้
นี่ล่ะครับ ที่มาว่า "ทำไมคนจน คนชนบท ถูกกีดกันออกจากการศึกษา"
แต่ถามว่าคนที่จบจากมหาวิทยาลัยและโรงเรียนชื่อดัง ฉลาดเหนือคนอื่นในสังคมจริงหรือ?
คงเห็นแล้วว่า ผู้มีการศึกษามีความสามารถในการใช้เหตุผล และยึดมั่นในหลักการ หลักวิชามากขนาดไหน หากกฎ กติกาใด ไม่เข้าทางตัวเอง ก็พร้อมจะเขี่ยทิ้งทันที โดยใช้ความรู้ไปกับ การหาเหตุผลมาอธิบายให้สวยหรูว่าทำไมไม่เอาหลักการ
สังคมที่มันบิดเบี้ยว และกีดกันคนจำนวนมากไม่ให้ลืมตาอ้าปากได้ ย่อมทำให้ชีวิตของคนมหาศาลเป็นทุกข์ซ้ำซาก ด้วยอาชีพที่มีรายได้น้อย สวัสดิการต่ำ เสี่ยงสูง และต้องมารองรับอารมณ์ การดูถูกเหยียดหยามจากคนอื่นที่เป็นนายจ้าง ลูกค้า ผู้อวดอ้างว่าฉลาดกว่า ดีกว่า มักจะนำมาซึ่งการระเบิดเป็น "สงครามชนชั้น" ในท้ายที่สุด
ก็ในเมื่อ "พวกเขา" ไม่เคยเห็นหัว "เรา" แล้วทำไม "พวกเรา" ที่ต้องมารองมือรองเท้าเขาไปตลอดชีวิต พวกเรามีมากกว่าก็สู้เพื่อแย่งชิงเอาข้าของเงินทองคืนมาชดเชยหยาดเหงื่อแรงกายที่เราทุ่มเทไปทั้งชีวิตดีกว่าไหม
หรือจะเอาสงครามกลางเมือง?
ซึ่งมีผลกระทบร้ายแรงมาแล้วในหลายสังคม เงื่อนไขที่ทำให้ความขัดแย้งปะทุก็ด้วยการกดขี่ข่มเหง ก็เพราะไม่เห็นใจเพื่อนร่วมสังคม นี่ล่ะครับ จนทำให้คนที่โดนเหยียดหยามกดขี่ไม่มีทางเลือก นอกจากลุกขึ้นสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมด้วยกำลัง
แต่หลายสังคมก็ได้ถ่ายทอดบทเรียนให้เห็นว่า ยังมีวิธีอื่นที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ละมุนละไมกว่า นั่นคือ การแข่งกันว่าจำนวนเสียงในสังคมอยากให้แก้ปัญหาอะไร และดูแลใครมากกว่ากัน ก็ให้คนทั้งสังคมร่วมตัดสินใจ แล้วใช้งานกลุ่มที่ได้คะแนนเสียงข้างมากไปจนกว่าจะครบวาระ แล้วก็มาเลือกกันใหม่
การเลือกตั้งแม้ไม่ใช่สิ่งวิเศษวิโสอะไร แต่ยังไม่มีวิธีไหนดีกว่านี้ ในการลดความเสี่ยงในการฆ่ากันระหว่างคนที่เลือกต่างกัน
การแพ้ชนะเลือกตั้ง หรือ คะแนนเสียงเลือกตั้ง จึงมิใช่การบอกว่า ใครโง่ ใครฉลาด ใครแพ้ ใครชนะ ไปเสียทุกเรื่อง
แต่มันคือ การสะท้อนให้เห็นว่า "คนส่วนใหญ่ในสังคมมีปัญหาอะไร" และ "เลือกนโยบายอะไรมาแก้ปัญหาของเขา" หรือมากกว่านั้นคือ "เชื่อนักการเมืองกลุ่มไหนให้มาแก้ปัญหาของเขามากกว่า"
ผลเลือกตั้งจึงมีความสำคัญ ในการชี้ว่า ใครถูกเลือกเข้ามาแก้ปัญหา ใครจะได้เข้ามาจัดทำบริการสาธารณะ เช่น มาจัดการเรื่องยา หมอ โรงเรียน เรื่อยไปจนถึง ปากท้อง อาชญากรรม และเพิ่มโอกาสในการก้าวหน้าของลูกหลานเขา
การพยายามบอกว่า คนส่วนใหญ่โง่ที่เลือกประชานิยม ก็ต้องเสนอสิ่งที่ดีกว่าประชานิยมให้ได้ ไม่ใช่เสนอสิ่งเดียวกันแล้วเถียงกันว่าใครของแท้
เพราะ ประชาชนตัดสินเองได้ว่า "ใครลงมือทำ" ให้เป็นจริงก่อน จนประชานิยมกลายเป็น "ยี่ห้อ" ของพรรคนึง จนพรรคอื่นๆที่เหลือสู้ไม่ได้
การบอกว่า คนที่เลือกประชานิยมเป็นพวกคนชนบท บ้านนอก โง่ ไร้การศึกษา หรือรับเงิน นั้นยิ่งเป็นการแสดง "ความตื้นเขินทางปัญญา" มาก
การรับเงินซื้อเสียง 5,000 บาท จะมีค่าไปมากกว่า การผ่าตัดฟรี(ถ้าเข้า รพ.เอกชน เป็นแสน) การกู้ยืมเงินกองทุนหมู่บ้านเป็นหมื่นๆ การได้โอกาสส่งลูกหลานไปเรียนเมืองนอกด้วยทุน 1 อำเภอ 1 ทุน จะเป็นไปได้อย่างไร
เวลาด่าว่าคนชนบท คนต่างจังหวัดโง่ ท่านรู้ได้อย่างไร รู้จักเขาหรือ
วิธีรู้จัก คนชนบท คนต่างจังหวัดนี่ไม่ยากนะ เพราะคนชนบทได้อพยพเข้ามาปะปนในเมืองใหญ่เต็มไปหมดแล้ว พวกเขาคือ "แรงงานพลัดถิ่น" ในเมือง
ถ้าอยากรู้ว่า คนบ้านนอก เป็นอย่างไร ไม่ต้องไปอยู่ต่างจังหวัดก็ได้ ลองคุยหรือเป็นเพื่อนกับคนที่เราไม่เคยเห็นอยู่ในสายตาดูสิ จะเห็นอะไรสนุกๆเยอะแยะ คนชนบทเหล่านี้เข้ามาเป็น "แรงงานพลัดถิ่น" หาเลี้ยงปากท้อง แต่ไร้ญาติพี่น้องและเส้นสายที่จะปกป้องตนเอง ต้องยอมก้มหน้าให้บริการโดยไม่มีปากเสียง เพราะไร้พรรคพวก และกลัวสูญเสียงานและรายได้
บางคนบอกว่า ยามก็คือคนที่ยอมทำอะไรให้เมื่อเอาของมาฝากบ่อยๆ เด็กเสิร์ฟซื้อได้ด้วยทิปยี่สิบสามสิบบาท แท็กซี่ก็ขี้โกง แม่บ้านก็ล้างส้วมถูพื้นทั้งวันจะไปรู้เรื่องอะไร คุยไปก็เสียเวลาเปล่า
แล้วจะให้คนพวกนี้มาเลือกตั้ง มีคะแนนเสียงเท่ากับพวกชั้นได้ยังไง ก็แล้วคุณคุยเรื่องอะไรกับเขาบ้างล่ะครับ?
ปกติเจอหน้ากันก็ไม่มองไม่คุย หรือถ้าคุยก็มีแต่เรื่องตลกโปกฮา ไร้สาระ แล้วจะไปรู้ได้อย่างไรว่าชีวิต และตัวตนเขาเป็นอย่างไร เคยรู้ไหมทำไมเขาต้องเข้ามาทำงานในเมือง ทำไมไม่มีที่ดินเหลือในชนบท ทำไมมาทำงานนี้ เงินเดือนพอใช้ไหม ไม่สบายไปรักษาที่ไหน ลูกหลายเรียนหนังสือรึเปล่า เอาเงินที่ไหนส่ง ฯลฯ
ที่เขาไม่พูด เพราะเขากลัวคุณโกรธ หรือ เกรงใจ นะ
หลายๆ เรื่องพอเขาเล่ามา จะเห็นว่าเค้าฝ่าฟันอุปสรรคในชีวิตมามากมายด้วยตัวของเขาเอง เขามีประสบการณ์ร้อยพัน ต่างจากเราที่ได้รับการปกป้องจากครอบครัว ญาติพี่น้อง ที่มีเส้นสาย เงินทอง ป้องกันภัยรอบด้าน
แล้วพวกเขาล่ะ มีอะไร? ใช่! นี่ล่ะคือ เหตุผลที่เขาต้องมีเสียง เพื่อเลือกว่าจะให้ใครมาปกป้องดูแลคน "ไร้เส้น" อย่างพวกเขาบ้าง
พวกคุณมีทุกอย่างมากกว่าเขา แล้วยังจะเอาเสียงของเขาไปอีกหรือ? จะผลักให้เขาไปจนมุมกันถึงไหน
ถ้าอยากลองว่า การริบเสียงเขาไปเก็บไว้ ไม่ฟังเสียงเขาบ้างว่า "มีปัญหาและความอึดอัดในชีวิตอย่างไร" มันก็คงเป็นหม้อความดันที่ใกล้ระเบิดเต็มที
เล่ามาถึงตรงนี้แล้ว
คุณยังกล้าไหม ที่จะเดินไปบอกคนเหล่านี้ต่อหน้าว่า "ป้า ผมจบปริญญาตรีมี 2 เสียง ป้ามี 1 เสียงพอนะ"
ถ้ากล้า ก็ เชิญ!
แต่ต้องทำด้วยการรณรงค์อย่างเป็นทางการ แล้วให้ทำประชามติแข่งกันก็ได้นะครับ มันอาจทำให้รู้มากขึ้นว่า "ใครฉลาดกว่าใคร"
แต่เดาว่าคงไม่กล้าเดินออกไปหาเสียงล่ะมั้ง เพราะทุกวันนี้ก็มีแต่พูดกันเอง ฟังกันเอง เฮกันเอง ใครทัก ใครท้วง ใครถาม ก็เหวี่ยงใส่ รำคาญ เลิกคุย เลิกเป็นเพื่อนกับเขาไปทั่ว
ข้อเสนอแนะง่ายๆ คือ
อย่ากลัวที่จะอยู่ร่วมกับมนุษย์คนอื่น เพราะคนอื่นได้ทนฝืนกับความไร้มนุษยธรรมของพวกคุณมานานแล้ว เค้ายังไม่ด่า ไม่ฆ่าคุณเลย แล้วคุณจะไปแกล้งเขาอีกทำไม
หรือชีวิตนี้อยู่ได้แค่ที่ทำงาน บ้าน และสถานบริการ ที่มีคนเอาอกเอาใจเพื่อหวังเงินในกระเป๋าเท่านั้นนะ