หาก “เวลา” คือ สิ่งสำคัญอย่างแท้จริงในชีวิต มนุษย์จะเลือกเติมอะไรลงไปในเวลาที่ตนมีอย่างจำกัด
คนยุคนี้ที่ชีวิตไม่มั่นคง และเต็มไปด้วยการแข่งขัน คงต้องเริ่มจากสร้างฝันด้วยการใช้เวลาไปกับการสร้างตัว สร้างตนไปกับการฝึกฝน และทำงาน กว่าจะรู้สึกว่ามั่นใจ มีเวลาว่างถามตัวเองได้จริงๆว่าสิ่งใดคือสิ่งที่ตามหา
ชีวิตที่มีแต่เรียน ทำงาน แล้วก็สะสมความมั่นคง แต่ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร หรือแบ่งปันกับใคร
เมื่อหลายคนพบว่าอยากมีคู่ใจ ก็อาจกลายเป็นว่า “ช้าไปเสียแล้ว”
จริงอยู่ที่มีใครหลายคนบอกว่า ไม่อยากมีใคร อยากอิสระ อยู่ได้ด้วยตัวคนเดียว เข้มแข็งในทุกทิศทาง แม้อยากมีเพศสัมพันธ์ก็มีทางออกไม่ต้องมีลูกกวนตัว มีคู่ผัวตัวเมียกวนใจ หรือคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ยิ่งใหญ่มั่นคงและเต็มอิ่มไปแล้วทุกมิติ ไม่ต้องการความมั่นคงอะไรและไม่คิดว่าจะอยู่นานในโลกใบนี้ หรือคนที่ฝักใฝ่ทางธรรมรักสันโดษ
ก็ขอให้ข้าม สิ่งที่จะพูดต่อไปนี้ซะ!!!
ตัวเลขในงานวิจัยทั้งหลายแหล่ บอกว่าคนแห่มาอยู่ “โสด” ทั้งที่โสดมาตลอด หย่าร้างแล้วกลับมาโสด หรือคบหากันแต่จงใจแยกกันไป “โสด”
กลุ่มที่ตกใจและตื่นตระหนกเป็นที่สุดเห็นจะเป็นผู้ใหญ่ล่วงเข้าวัยชราที่กังวลว่า ใครจะมาทำงาน ใครจะมาดูแล ใครจะมาสืบทอดสืบสานงานที่ยังไม่สิ้นสุด ถึงขนาดคิดขึ้นมาเป็นชุดว่านี่คือสิ่งที่จะทำให้ชาติสิ้นสุดและเศรษฐกิจสะดุดลง ด้วยสิ่งที่เรียกว่า “สังคมสูงวัย” Aging Society
ลองสาเหตุของภาวะสังคมที่มีคนสูงวัยเป็นคนส่วนใหญ่ในสังคม คงไปโทษว่าระบบสาธารณสุขดี สังคมมีความปลอดภัยมากขึ้นไม่ได้ เพราะมันสะท้อนว่าสังคมเราได้พัฒนาคุณภาพชีวิตมนุษย์ให้มี “เวลา” พัฒนาตัวเองและสังคมมากขึ้นด้วย
สาเหตุที่แท้จริง คือ จำนวนคนเกิดใหม่ไล่ไม่ทันคนแก่ !
แล้วทำไมจึงมีคนเกิดใหม่น้อยลง ?
ทำไม คนจึงตัดสินใจอยู่ด้วยกันน้อยลง มีลูกด้วยกันน้อยลง และลดจำนวนลูกในแต่ละครอบครัวน้อยไปต่ำกว่า อัตราที่เหล่าผู้อาวุโสแห่ง สสส. คาดหวังให้มีกันสักสามคน
(ก็ไม่รู้ว่าลึกๆ อยากให้คนกลุ่มไหน สถานะทางเศรษฐกิจและการศึกษาระดับใดมีลูกเยอะ แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่คุณแม่วัยรุ่นที่เขาพยายามลดอัตราการเกิดแน่ๆ ยิ่งมีงานที่ สสส.สนับสนุน บอกให้แก้ด้วยการเก็บภาษีคนโสดที่มีฐานะทางเศรษฐกิจพอใช้สามารถมีครอบครัวได้ คงชัดเจนว่า อยากให้คนชั้นกลางขึ้นไปมีลูกมากขึ้น เพื่อมาเพิ่มจำนวนกลุ่มใดในทางการเมืองด้วยรึเปล่าก็ไม่อาจทราบได้)
เมื่อตัดคุณแม่วัยรุ่นอายุ 15-19 ปี ที่เกินอัตราเกิดใหม่ไปถึง 53% ออกไป คงเห็นกันชัดเจนใช่ไหมว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น ไหนจะอัตราหย่าร้างที่พุ่งสูงปี้ด อัตราสตรีโสดของเมืองบางกอกที่อยู่อันดับสองของเอเชีย คงสะท้อนว่า มันมีอะไรเกิดขึ้นในความสัมพันธ์ “หญิง-ชาย” ไทยแน่นอน
คนรุ่นใหม่ และนักวิชาการบอกว่า ทุกวันนี้การแต่งงาน มีคู่ หรือมีลูกหลานครอบครัว ไม่ใช่สิ่งสำคัญสูงสุดที่ทุกคนต้องทำอีกต่อไป มีกิจกรรมอีกหลายอย่างให้คนรู้สึกอิ่มเอมและมีความสุขได้แม้จะไม่ผูกมัดตัวเองอยู่กับใคร
แต่ก็ชวนสงสัยว่าแค่ เพลินๆ หรือ เลือกเดินทางนี้มาแต่ไหนแต่ไร หากตัดกลุ่มนี้ออกไปให้เหลือคนที่อยากมีคู่หรือมีคู่แล้วแต่ไม่อยากมีลูก ไม่กล้ามีครอบครัว น่าจะได้คำตอบชัดเจนกว่า
เราพบคนที่พูดว่า “ยังไม่มั่นคง” หรือ “เสี่ยงเกินไป” บ่อยครั้งทั้งที่ตั้งใจตอบแต่ต้น และเมื่อไล่ถามจนถึงแก่น
“ความไม่มั่นคง” กับ “ความเสี่ยง” จึงเป็นสิ่งที่ต้องกำจัดหรือกระชับให้น้อยลงหน่อย หากจะทำให้คนมั่นใจกล้าเสี่ยงมีคู่ และมีลูกเพื่อสร้างครอบครัวอย่างมั่นคง
บางคนบอกว่ามันเป็นความรู้สึก “ส่วนตัว” ใครจะเข้าไปยุ่งกับสิ่งที่อยู่ในหัวแต่ละคนได้ล่ะ อ่าฮะ! มีอะไรจะเล่าให้ฟัง
คงเคยเจอเพื่อนประเภทมีคู่แล้วไม่คิดถึงเพื่อน ใช่ไหม แต่พออกหักกลับมาที่ไรก็รักเพื่อนที่สุด ซาบซึ้งที่ไม่เคยทิ้งกัน
แต่พอมันเพ้อฝัน เวิ่นเว้อ เวลาไปเจอคนนี้คนนั้นแต่ดันบอกว่าไม่มั่นใจ ไม่กล้าตัดสินใจ ก็อยากบอกมันไปว่า
“มีเมีย/มีผัวไปเถอะ”
คนเหล่านี้ เอาแค่คำโฆษณารณรงค์ทั่วไปมากระตุ้นอะไรแทบไม่ได้ เพราะเรื่องที่เขาและเธอเจอมันยิ่งใหญ่แล้วเกี่ยวพันไปกับทุกอย่าง ตั้งแต่เรื่องเล็กน้อย อย่างแฟชั่น การสังสรรค์ ไปจนเรื่องหน้าที่การงาน ไปจนฐานะทางบ้าน ชาติตระกูล ไปจนสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและผลกระทบทางการเมืองระดับชาติ บางคนคิดไปใหญ่ว่าต่อไปโลกจะยิ่งโหดร้ายไม่น่าสร้างภาระเพิ่มหรือส่งคนมาเกิดให้เป็นการทรมานเลยก็มี
สิ่งที่อยู่ในหัวจิตหัวใจ ไม่ใช่การคิดผิด เดินหลงทาง แต่มันสะท้อนว่าเขา/เธอ เห็นขวากหนามอยู่เต็มไปหมด และไม่ได้จะประชด ก็อดคิดไม่ได้ว่า ไอ้คนเรียนเก่ง ทำงานดี มีความคิดเยอะๆนี่ล่ะ ที่กลัวสารพัดสารพัน ว่ามันจะเป็นอย่างนั้น อาจจะเกิดอย่างโน้น แล้วถ้าเป็นอย่างนี้ เฮ่ยยย...คิดอีกทีดีกว่า
............สรุปว่า ตัดสินใจช้าไป หมาคาบไปแดก หรือถ้าโชคดีมีคู่ ร่างกายก็ไม่ไหวจะมีลูก ต้องเสียเงินค่าหยูกยาพยายามปั้นเด็กไปอีกตั้งมากมาย แล้วยังต่อมาลุ้นต่อว่าจะได้ผลไหม เด็กที่เกิดจากพ่อแม่สูงวัย ก็มีอัตราส่วนเสี่ยงอันตรายอีก
คงเห็นกันแล้วใช่ไหมว่า “คนใช้ชีวิตไม่ตรงกับเวลาที่ธรรมชาติกำหนด”
มันก็มีบางเรื่องที่มนุษย์กำหนดอนาคตตนเองไม่ได้ทั้งหมด อนาคตอาจจะเปลี่ยนไป แต่วิทยาการปัจจุบันยังไม่อนุญาต
ไหนจะโยงไปถึงเรื่องการกำหนดอนาคตสังคม เมื่อโลกนี้อยู่ในกระแสแห่งประชาธิปไตย ไม่ช้าก็ไวเราคงจะได้มีส่วนร่วมตัดสินใจว่าจะนำพารัฐไปทางไหน และวิธีการตัดสินใจที่ไม่ใช้อาวุธ ก็คือ การยืนบนหลักการที่ทุกคนเท่ากัน “จำนวนจึงสำคัญ” การขยายเผ่าพันธุ์จึงเป็นปัญหาใหญ่ในทางการเมือง และยังใช้ได้กับเรื่อง ตัวเลขทางเศรษฐกิจ ที่ต้องพึ่งจำนวนผู้บริโภคและแรงงานด้วย
การ ใช้ความรุนแรงต่อคนแปลกหน้าที่ไม่ได้มีเรื่องกระทบกระทั่งส่วนตัว และพล่ามเรื่องส่วนตัวเวิ่นเว้อ เพ้อฝัน เป็นที่พบกันมากหากลองสังเกตในชีวิตประจำวัน จนอดตั้งข้อสังเกตไม่ได้ว่า ว่างกันมากใช่ไหม จึงใช้พลังงานกันไปกับความฟุ้งซ่านกับตัวเองและทำร้ายผู้อื่น จนลืมเอาจริงกับสาระสำคัญของมวลมนุษยชาติ
คนที่น่าเห็นใจ คือ คนกลุ่มใหญ่ที่ชีวิตฝากไว้กับเส้นด้ายบางๆที่เรียกว่า “งาน” ต้องติดตามนาย เอาใจนาย ดูแลสารพันปัญหาในชีวิตของนาย จนกลายเป็นคนในครอบครัวนาย แทน เพราะต้องให้ความสำคัญกับ เงิน เพราะ งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข จนไม่มีเวลาไปสร้างสุขส่วนตัวสร้างครอบครัวของตัวเอง
ในทางตรงข้ามก็มีคนที่ยังไม่สามารถปลดภาระทางการเงินให้ยืนหยัดเองได้ ก็อาศัยที่พึ่งแบบสังคมครอบครัวขยาย อยู่กินกับเงินของครอบครัวเก่า มีคนดูแลเอาใจใส่ ไม่คิดว่าต้องออกไปหา/ตั้งครอบครัวของตัวเองนอกบ้าน หรือบางคนมีภาระต้องดูแลพ่อแม่ปู่ย่าตายาย โดยไม่มีใครเหลียวแล มาแบ่งเบาภาระก็น่าหนักใจ ไม่มีเวลามานั่งคิดหาความสุขส่วนตน นี่ก็น่ายกย่อง แต่เราก็ต้องหาวิธีปลดเรื่องหนักบ่า ให้เธอ/เขา มีเวลาส่วนตัวบ้าง
แต่กลุ่มที่ใหญ่มาก คือ คนรุ่นใหม่ใช้ชีวิตแบบหาความสุขไปวันๆ เพราะไม่สามารถทำความฝันให้เป็นความจริงได้เสียที คิดว่าจะมีเมียต้องมีความมั่นคงก่อน ซึ่งทุกอย่างยังผ่อนอยู่เลย
คนมีหน้าที่การงานดีจำนวนไม่น้อย บอกว่า เรามีทุกอย่าง กิจกรรม ข้าวของ เงินทอง ของเล่น เด็กในอาณัติ ทำไมต้องจัดให้ตัวเองอยู่ในคุก ผูกติดกับกับคนคนเดียว หรือต้องคอยเหลียวหลังไปดูแลลูกและคนในครอบครัวด้วยเสมอ
แต่อาจลืมคิดลงไปลึกๆ ว่าตัวเองต้องการอะไร หรือ ขาดอะไร ยิ่งเมื่อเข้าสู่วัยชรา หรือไม่อาจหาความแข็งแรงทางร่างกายให้ตัวเองได้อีกแล้ว
ทำไมคนถึงบอกว่าแก่ตัวไปจะไม่มีใครดูแล เอาล่ะเรามาลองดูว่าทำไมคนในสังคมปัจจุบันถึงเลือกอยู่ตัวคนเดียว ไม่ผูกมัดกับใคร และไม่มีลูก นี่มันก็ “ความเสี่ยงในอนาคต” ที่เกิดจากภาวะ “ไม่มั่นคงในปัจจุบัน”
ความเสี่ยง หรือ ไม่มั่นคง มีหลายปัจจัยที่เป็นเงื่อนไขขัดขวางชีวิต ทั้งปัญหาทางเศรษฐกิจ สังคม จนไปถึงวัฒนธรรม ที่บิดเบือนธรรมชาติของมนุษย์ที่ถูกสร้างมาขยายเผ่าพันธุ์สืบไปเผื่อว่าใครเกิดมาใหม่จะสร้างความเป็นไปได้อันยิ่งใหญ่ในอนาคต
ทุกศาสนาและปรัชญาล้วนชี้ว่า สิ่งที่มนุษย์ทุกคนในโลกต้องต่อสู้ ก็คือ ความเหงา หรือเมื่อเขาต้องเผชิญหน้ากับตัวเอง
เราก็ขอชื่นชมกับ มหามนุษย์ผู้หลุดพ้นจากบ่วงกรรมและวังวนแห่งวัฏสงสาร แต่สำหรับคนที่ยังเวียนว่ายในโลกโลกีย์
การนำเสนอประสบการณ์ร่วมสมัยของคนโสด หรือคนว้าเหว่ ในยุคปัจจุบัน อย่างถึงกึ๋น จึงจะทำให้เข้าใจ “หัวใจที่หวาดหวั่น” ว่าทำไมไม่กล้าสร้างครอบครัว
ซึ่งอาจนำไปสู่การไขความลับว่าทำไมจึงมีความขัดแย้งต่อเนื่องยาวนานในสังคมไทย เพราะการสร้างครอบครัวคือ ความสัมพันธ์พื้นฐานที่จะสะท้อนให้เห็นภาพใหญ่ว่า "ความสัมพันธ์ของคนในสังคมไทย" เป็นอย่างไร
มีคนจบการศึกษาจากเมืองนอกเมืองนา เป็นดอกเตอร์อนาคตไกล มีความสดใสในหน้าที่การงาน นิสัยดี มีคุณสมบัติเพียบพร้อม หน้าที่การงานยอดเยี่ยม แต่ทำไมไม่มีใครเอา หรือไม่ใช่เขาที่ขาด แต่มันเกิดจากความบกพร่องด้าน "รสนิยม" ของสังคมไทย ?
มีคนเสพติดการทำงาน และการใช้เวลาว่างโหด Work Hard Play Harder ก็ใช้ชีวิตหลังทำงานอย่างบ้าคลั่งแบบคนโสด ที่ทุ่มเทพลัง กำลังทุน และเวลาไปกับการบริโภคเพื่อสะท้อนตัวตนให้ดูเท่ห์ เก๋ คูล ชิค แคร์สายตาคนอื่นจนกลัวลื่นเสียท่า ถ้ามาตกม้าตายกับการเลือกคู่และมีครอบครัวผิด
มีคนที่ตกอยู่ใต้พลังวัฒนธรรมแบบไทยๆ อยู่ในองค์กรที่ต้องวางตัวให้เรียบร้อย ดูดี มีภาพลักษณ์เป็นระเบียบ ฯลฯ แต่ในที่สุดก็ไม่เหลือใครเมื่อต้องอยู่กับตัวเอง
มีคนตกอยู่ในวงจรชีวิตมนุษย์ในสังคมทุนนิยมไทย ที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงเพราะไม่มีมาตรการรองรับใดๆหากเกิดอะไรฉุกเฉินขึ้นมา ต้องวางแผนทางการเงินของคนจะมีครอบครัวให้รอบคอบ จนต้องรอไปเป็นสิบปีจนกว่าพร้อม
ไหนจะคนที่มีบาดแผลในจิตใจ ที่เคยช้ำใจจนไม่กล้าเริ่มต้นชีวิตคู่ครั้งใหม่ เกิดเปลือกความคิดที่สร้างขึ้นมาปกปิดจิตใจ ไม่ให้เจ็บซ้ำ ด้วยการคงตัวเป็น “โสด” ไม่มีครอบครัว เพราะกลัวว่ามีครอบครัว มีลูก แล้วจะต้องเหนื่อยหนักเพราะไม่มีใครช่วยเหลือ เลยหันไปปลดปล่อยความปรารถนาด้วยบริการทางเพศที่แสนจะถูกในประเทศไทย แล้วไหนจะธุรกิจแก้เหงาใหม่ๆที่ให้บริการทั้งชายและหญิงดังที่เป็นข่าว สารพัดนวดแหวกแนว เพื่อนเที่ยว เพื่อนไปงานแต่ง ฯลฯ ที่ทำให้หลบหนีสภาวะเปล่าเปลี่ยวได้เป็นพักๆ
อีกกลุ่มที่ใหญ่มาก คือ ผู้ที่ความหลากหลายทางเพศ ที่ประเทศไทยยังไม่สร้างหลักประกันทางกฎหมายให้เขาอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันได้อย่างมั่นใจ แม้ในวันที่จากกันไปแล้ว ทำให้การรับอุปการะเด็กที่เกิดขึ้นมาจากพ่อแม่ที่ไม่พร้อม แบบ การรับบุตรบุญธรรมของคู่รักเพศกำเนิดเดียวกัน ยังเกิดในไทยไม่ได้
จนเดี๋ยวนี้ “คนโสด” และ “ความโสด” กลายเป็นเป้าหมายทางเศรษฐกิจให้ธุรกิจใหญ่น้อยเข้ามาคอยหากิน โดยขายความตื่นเต้น เติมเต็มประสบการณ์ใหม่ๆ ให้ไปผจญภัย หรือได้เป็นคนสำคัญ เพื่อลบความรู้สึก “โล่ง กลวง โบ๋” ที่โตคับอกคับใจให้แคบลงบ้าง เพื่อลบความอ้างว้างเหล่านี้ คนโสดต้องเสียอะไรไปมากมาย แต่สังคมอาจไม่ได้อะไรกลับมา
ใช่แล้ว กำลังจะบอกว่า คนไม่ได้อยากโสดเองทั้งหมด แต่เพราะเงื่อนไขหลายๆอย่างในสังคมทำให้คนเลือกที่จะ “โสดดีกว่า” เพราะว่าไม่มีอะไรมาทำให้มั่นใจว่า เสี่ยงมีครอบครัวไปแล้วจะมั่นคง
แล้วใครล่ะที่มีความมั่นคง?
คนที่มีเวลาสะสมความมั่งคั่งมานาน จะเป็นกลุ่มไหนถ้าไม่ใช่ คนแก่ที่เมินเฉยปัญหาเหล่านี้ แถมใช้วิธีดึงคนรุ่นใหม่ให้อยู่ใต้อาณัติโดยไม่ปล่อยให้ไปจัดการชีวิตตนเอง ไม่ให้ทุน ไม่ให้โอกาส ไม่ให้อำนาจจัดการ หรือกำหนดนโยบายสังคม ใดๆทั้งสิ้น
ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ระหว่างคนแก่ที่กุมอำนาจเศรษฐกิจการเมือง กับ คนรุ่นใหม่ที่เป็นความหวังในการนำพาอนาคตประเทศชาติแต่ขาดทุน
สงครามระหว่างเจนเนอร์เรชั่น จึงบังเกิดขึ้น!!! แทนที่ ความรักความห่วงใยระหว่างกัน
ภาษีครอบครัว กฎหมายครอบครัว ที่ไม่ส่งเสริมให้คนสร้างครอบครัวใหม่ หรือสร้างมาตรการรองรับเหตุอันไม่คาดฝันในอนาคต ย่อมกดโอกาสให้คนตัดสินใจมีคู่ลดลง ยิ่งมีลูกล่ะไม่ต้องพูดถึง
คนในวิชาชีพขั้นสูง งานใช้ฝีมือ และมีการศึกษา เมื่อตระหนักแล้วว่า เสี่ยง จึงตัดสินใจไม่มีลูก ไม่มีครอบครัว
ส่วนพวกพร้อมแต่ยังไม่เจอเนื้อคู่ ทั้งที่เราเป็นคนสังคมกว้างไกลมีเครือข่ายเยอะแยะจะเห็นว่า ไอ้คนโสดคนนี้มันอยากได้คุณสมบัติแบบคนนั้น แต่จะทำอย่างไรให้เขา/เธอได้รู้จักกัน มันเป็นปัญหาขาดการเชื่อมข้อมูลและเครือข่ายของคนโสด ขาดกิจกรรมสร้างสรรค์ให้คนพบกันแบบไม่เกร็ง ขาดพื้นที่ให้คนมีชีวิตว่างร่วมกันทำกิจกรรม หรือขาดตัวกลางที่จัดการข้อมูลให้คนที่เหงา หรืออยากมีคู่ได้เจอกัน เพื่อทำให้ฝันของคนที่มีความคาดหวังแบบที่ตรงกัน แต่หากันไม่เจอ ได้หากันจนเจอ
เรามาร่วมผลักดันให้รัฐสร้างงานที่ผลตอบแทน/สวัสดิการดี จนมี “เวลาว่าง” มากพอ มาคลอเคล้าคนที่ชอบพอกัน เถอะนะ