Skip to main content

หาก “เวลา” คือ สิ่งสำคัญอย่างแท้จริงในชีวิต มนุษย์จะเลือกเติมอะไรลงไปในเวลาที่ตนมีอย่างจำกัด

คนยุคนี้ที่ชีวิตไม่มั่นคง และเต็มไปด้วยการแข่งขัน คงต้องเริ่มจากสร้างฝันด้วยการใช้เวลาไปกับการสร้างตัว สร้างตนไปกับการฝึกฝน และทำงาน กว่าจะรู้สึกว่ามั่นใจ   มีเวลาว่างถามตัวเองได้จริงๆว่าสิ่งใดคือสิ่งที่ตามหา
ชีวิตที่มีแต่เรียน ทำงาน แล้วก็สะสมความมั่นคง แต่ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร หรือแบ่งปันกับใคร

เมื่อหลายคนพบว่าอยากมีคู่ใจ ก็อาจกลายเป็นว่า “ช้าไปเสียแล้ว”

 

จริงอยู่ที่มีใครหลายคนบอกว่า ไม่อยากมีใคร อยากอิสระ อยู่ได้ด้วยตัวคนเดียว เข้มแข็งในทุกทิศทาง แม้อยากมีเพศสัมพันธ์ก็มีทางออกไม่ต้องมีลูกกวนตัว มีคู่ผัวตัวเมียกวนใจ   หรือคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ยิ่งใหญ่มั่นคงและเต็มอิ่มไปแล้วทุกมิติ   ไม่ต้องการความมั่นคงอะไรและไม่คิดว่าจะอยู่นานในโลกใบนี้    หรือคนที่ฝักใฝ่ทางธรรมรักสันโดษ

ก็ขอให้ข้าม สิ่งที่จะพูดต่อไปนี้ซะ!!!

 

ตัวเลขในงานวิจัยทั้งหลายแหล่ บอกว่าคนแห่มาอยู่ “โสด” ทั้งที่โสดมาตลอด หย่าร้างแล้วกลับมาโสด หรือคบหากันแต่จงใจแยกกันไป “โสด”  

กลุ่มที่ตกใจและตื่นตระหนกเป็นที่สุดเห็นจะเป็นผู้ใหญ่ล่วงเข้าวัยชราที่กังวลว่า ใครจะมาทำงาน ใครจะมาดูแล ใครจะมาสืบทอดสืบสานงานที่ยังไม่สิ้นสุด ถึงขนาดคิดขึ้นมาเป็นชุดว่านี่คือสิ่งที่จะทำให้ชาติสิ้นสุดและเศรษฐกิจสะดุดลง ด้วยสิ่งที่เรียกว่า   “สังคมสูงวัย” Aging Society

ลองสาเหตุของภาวะสังคมที่มีคนสูงวัยเป็นคนส่วนใหญ่ในสังคม คงไปโทษว่าระบบสาธารณสุขดี สังคมมีความปลอดภัยมากขึ้นไม่ได้ เพราะมันสะท้อนว่าสังคมเราได้พัฒนาคุณภาพชีวิตมนุษย์ให้มี “เวลา” พัฒนาตัวเองและสังคมมากขึ้นด้วย

สาเหตุที่แท้จริง คือ จำนวนคนเกิดใหม่ไล่ไม่ทันคนแก่ !
 

แล้วทำไมจึงมีคนเกิดใหม่น้อยลง ?

ทำไม คนจึงตัดสินใจอยู่ด้วยกันน้อยลง มีลูกด้วยกันน้อยลง และลดจำนวนลูกในแต่ละครอบครัวน้อยไปต่ำกว่า อัตราที่เหล่าผู้อาวุโสแห่ง สสส.  คาดหวังให้มีกันสักสามคน

(ก็ไม่รู้ว่าลึกๆ อยากให้คนกลุ่มไหน สถานะทางเศรษฐกิจและการศึกษาระดับใดมีลูกเยอะ  แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่คุณแม่วัยรุ่นที่เขาพยายามลดอัตราการเกิดแน่ๆ   ยิ่งมีงานที่ สสส.สนับสนุน บอกให้แก้ด้วยการเก็บภาษีคนโสดที่มีฐานะทางเศรษฐกิจพอใช้สามารถมีครอบครัวได้   คงชัดเจนว่า อยากให้คนชั้นกลางขึ้นไปมีลูกมากขึ้น เพื่อมาเพิ่มจำนวนกลุ่มใดในทางการเมืองด้วยรึเปล่าก็ไม่อาจทราบได้)

เมื่อตัดคุณแม่วัยรุ่นอายุ 15-19 ปี ที่เกินอัตราเกิดใหม่ไปถึง 53% ออกไป คงเห็นกันชัดเจนใช่ไหมว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น   ไหนจะอัตราหย่าร้างที่พุ่งสูงปี้ด อัตราสตรีโสดของเมืองบางกอกที่อยู่อันดับสองของเอเชีย   คงสะท้อนว่า มันมีอะไรเกิดขึ้นในความสัมพันธ์ “หญิง-ชาย” ไทยแน่นอน

คนรุ่นใหม่ และนักวิชาการบอกว่า ทุกวันนี้การแต่งงาน มีคู่ หรือมีลูกหลานครอบครัว ไม่ใช่สิ่งสำคัญสูงสุดที่ทุกคนต้องทำอีกต่อไป   มีกิจกรรมอีกหลายอย่างให้คนรู้สึกอิ่มเอมและมีความสุขได้แม้จะไม่ผูกมัดตัวเองอยู่กับใคร

แต่ก็ชวนสงสัยว่าแค่ เพลินๆ หรือ เลือกเดินทางนี้มาแต่ไหนแต่ไร     หากตัดกลุ่มนี้ออกไปให้เหลือคนที่อยากมีคู่หรือมีคู่แล้วแต่ไม่อยากมีลูก ไม่กล้ามีครอบครัว น่าจะได้คำตอบชัดเจนกว่า

เราพบคนที่พูดว่า   “ยังไม่มั่นคง”   หรือ   “เสี่ยงเกินไป”  บ่อยครั้งทั้งที่ตั้งใจตอบแต่ต้น และเมื่อไล่ถามจนถึงแก่น

 

“ความไม่มั่นคง” กับ “ความเสี่ยง” จึงเป็นสิ่งที่ต้องกำจัดหรือกระชับให้น้อยลงหน่อย หากจะทำให้คนมั่นใจกล้าเสี่ยงมีคู่ และมีลูกเพื่อสร้างครอบครัวอย่างมั่นคง  

บางคนบอกว่ามันเป็นความรู้สึก “ส่วนตัว” ใครจะเข้าไปยุ่งกับสิ่งที่อยู่ในหัวแต่ละคนได้ล่ะ   อ่าฮะ! มีอะไรจะเล่าให้ฟัง

 

คงเคยเจอเพื่อนประเภทมีคู่แล้วไม่คิดถึงเพื่อน ใช่ไหม   แต่พออกหักกลับมาที่ไรก็รักเพื่อนที่สุด ซาบซึ้งที่ไม่เคยทิ้งกัน

แต่พอมันเพ้อฝัน เวิ่นเว้อ เวลาไปเจอคนนี้คนนั้นแต่ดันบอกว่าไม่มั่นใจ ไม่กล้าตัดสินใจ ก็อยากบอกมันไปว่า
“มีเมีย/มีผัวไปเถอะ”

คนเหล่านี้ เอาแค่คำโฆษณารณรงค์ทั่วไปมากระตุ้นอะไรแทบไม่ได้ เพราะเรื่องที่เขาและเธอเจอมันยิ่งใหญ่แล้วเกี่ยวพันไปกับทุกอย่าง ตั้งแต่เรื่องเล็กน้อย  อย่างแฟชั่น การสังสรรค์ ไปจนเรื่องหน้าที่การงาน ไปจนฐานะทางบ้าน ชาติตระกูล ไปจนสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและผลกระทบทางการเมืองระดับชาติ   บางคนคิดไปใหญ่ว่าต่อไปโลกจะยิ่งโหดร้ายไม่น่าสร้างภาระเพิ่มหรือส่งคนมาเกิดให้เป็นการทรมานเลยก็มี

สิ่งที่อยู่ในหัวจิตหัวใจ ไม่ใช่การคิดผิด เดินหลงทาง  แต่มันสะท้อนว่าเขา/เธอ เห็นขวากหนามอยู่เต็มไปหมด   และไม่ได้จะประชด ก็อดคิดไม่ได้ว่า ไอ้คนเรียนเก่ง ทำงานดี มีความคิดเยอะๆนี่ล่ะ ที่กลัวสารพัดสารพัน ว่ามันจะเป็นอย่างนั้น อาจจะเกิดอย่างโน้น แล้วถ้าเป็นอย่างนี้ เฮ่ยยย...คิดอีกทีดีกว่า   

............สรุปว่า ตัดสินใจช้าไป หมาคาบไปแดก หรือถ้าโชคดีมีคู่ ร่างกายก็ไม่ไหวจะมีลูก ต้องเสียเงินค่าหยูกยาพยายามปั้นเด็กไปอีกตั้งมากมาย แล้วยังต่อมาลุ้นต่อว่าจะได้ผลไหม เด็กที่เกิดจากพ่อแม่สูงวัย ก็มีอัตราส่วนเสี่ยงอันตรายอีก

 

คงเห็นกันแล้วใช่ไหมว่า   “คนใช้ชีวิตไม่ตรงกับเวลาที่ธรรมชาติกำหนด”

 

มันก็มีบางเรื่องที่มนุษย์กำหนดอนาคตตนเองไม่ได้ทั้งหมด   อนาคตอาจจะเปลี่ยนไป แต่วิทยาการปัจจุบันยังไม่อนุญาต

ไหนจะโยงไปถึงเรื่องการกำหนดอนาคตสังคม เมื่อโลกนี้อยู่ในกระแสแห่งประชาธิปไตย ไม่ช้าก็ไวเราคงจะได้มีส่วนร่วมตัดสินใจว่าจะนำพารัฐไปทางไหน  และวิธีการตัดสินใจที่ไม่ใช้อาวุธ ก็คือ การยืนบนหลักการที่ทุกคนเท่ากัน “จำนวนจึงสำคัญ”   การขยายเผ่าพันธุ์จึงเป็นปัญหาใหญ่ในทางการเมือง  และยังใช้ได้กับเรื่อง ตัวเลขทางเศรษฐกิจ ที่ต้องพึ่งจำนวนผู้บริโภคและแรงงานด้วย

การ ใช้ความรุนแรงต่อคนแปลกหน้าที่ไม่ได้มีเรื่องกระทบกระทั่งส่วนตัว และพล่ามเรื่องส่วนตัวเวิ่นเว้อ เพ้อฝัน เป็นที่พบกันมากหากลองสังเกตในชีวิตประจำวัน  จนอดตั้งข้อสังเกตไม่ได้ว่า ว่างกันมากใช่ไหม จึงใช้พลังงานกันไปกับความฟุ้งซ่านกับตัวเองและทำร้ายผู้อื่น จนลืมเอาจริงกับสาระสำคัญของมวลมนุษยชาติ

คนที่น่าเห็นใจ คือ คนกลุ่มใหญ่ที่ชีวิตฝากไว้กับเส้นด้ายบางๆที่เรียกว่า “งาน” ต้องติดตามนาย เอาใจนาย ดูแลสารพันปัญหาในชีวิตของนาย จนกลายเป็นคนในครอบครัวนาย แทน  เพราะต้องให้ความสำคัญกับ เงิน เพราะ งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข   จนไม่มีเวลาไปสร้างสุขส่วนตัวสร้างครอบครัวของตัวเอง

ในทางตรงข้ามก็มีคนที่ยังไม่สามารถปลดภาระทางการเงินให้ยืนหยัดเองได้ ก็อาศัยที่พึ่งแบบสังคมครอบครัวขยาย อยู่กินกับเงินของครอบครัวเก่า มีคนดูแลเอาใจใส่ ไม่คิดว่าต้องออกไปหา/ตั้งครอบครัวของตัวเองนอกบ้าน   หรือบางคนมีภาระต้องดูแลพ่อแม่ปู่ย่าตายาย โดยไม่มีใครเหลียวแล มาแบ่งเบาภาระก็น่าหนักใจ   ไม่มีเวลามานั่งคิดหาความสุขส่วนตน นี่ก็น่ายกย่อง แต่เราก็ต้องหาวิธีปลดเรื่องหนักบ่า ให้เธอ/เขา มีเวลาส่วนตัวบ้าง

แต่กลุ่มที่ใหญ่มาก คือ คนรุ่นใหม่ใช้ชีวิตแบบหาความสุขไปวันๆ เพราะไม่สามารถทำความฝันให้เป็นความจริงได้เสียที คิดว่าจะมีเมียต้องมีความมั่นคงก่อน ซึ่งทุกอย่างยังผ่อนอยู่เลย  

คนมีหน้าที่การงานดีจำนวนไม่น้อย บอกว่า เรามีทุกอย่าง กิจกรรม ข้าวของ เงินทอง ของเล่น เด็กในอาณัติ ทำไมต้องจัดให้ตัวเองอยู่ในคุก ผูกติดกับกับคนคนเดียว หรือต้องคอยเหลียวหลังไปดูแลลูกและคนในครอบครัวด้วยเสมอ

แต่อาจลืมคิดลงไปลึกๆ ว่าตัวเองต้องการอะไร หรือ ขาดอะไร   ยิ่งเมื่อเข้าสู่วัยชรา หรือไม่อาจหาความแข็งแรงทางร่างกายให้ตัวเองได้อีกแล้ว

 

 

ทำไมคนถึงบอกว่าแก่ตัวไปจะไม่มีใครดูแล เอาล่ะเรามาลองดูว่าทำไมคนในสังคมปัจจุบันถึงเลือกอยู่ตัวคนเดียว ไม่ผูกมัดกับใคร และไม่มีลูก   นี่มันก็ “ความเสี่ยงในอนาคต” ที่เกิดจากภาวะ “ไม่มั่นคงในปัจจุบัน”  

ความเสี่ยง หรือ ไม่มั่นคง   มีหลายปัจจัยที่เป็นเงื่อนไขขัดขวางชีวิต ทั้งปัญหาทางเศรษฐกิจ สังคม จนไปถึงวัฒนธรรม ที่บิดเบือนธรรมชาติของมนุษย์ที่ถูกสร้างมาขยายเผ่าพันธุ์สืบไปเผื่อว่าใครเกิดมาใหม่จะสร้างความเป็นไปได้อันยิ่งใหญ่ในอนาคต

 

ทุกศาสนาและปรัชญาล้วนชี้ว่า สิ่งที่มนุษย์ทุกคนในโลกต้องต่อสู้ ก็คือ ความเหงา หรือเมื่อเขาต้องเผชิญหน้ากับตัวเอง

เราก็ขอชื่นชมกับ มหามนุษย์ผู้หลุดพ้นจากบ่วงกรรมและวังวนแห่งวัฏสงสาร แต่สำหรับคนที่ยังเวียนว่ายในโลกโลกีย์

การนำเสนอประสบการณ์ร่วมสมัยของคนโสด หรือคนว้าเหว่ ในยุคปัจจุบัน อย่างถึงกึ๋น จึงจะทำให้เข้าใจ “หัวใจที่หวาดหวั่น”   ว่าทำไมไม่กล้าสร้างครอบครัว

ซึ่งอาจนำไปสู่การไขความลับว่าทำไมจึงมีความขัดแย้งต่อเนื่องยาวนานในสังคมไทย เพราะการสร้างครอบครัวคือ ความสัมพันธ์พื้นฐานที่จะสะท้อนให้เห็นภาพใหญ่ว่า "ความสัมพันธ์ของคนในสังคมไทย" เป็นอย่างไร

 

มีคนจบการศึกษาจากเมืองนอกเมืองนา เป็นดอกเตอร์อนาคตไกล มีความสดใสในหน้าที่การงาน นิสัยดี มีคุณสมบัติเพียบพร้อม หน้าที่การงานยอดเยี่ยม แต่ทำไมไม่มีใครเอา หรือไม่ใช่เขาที่ขาด แต่มันเกิดจากความบกพร่องด้าน "รสนิยม" ของสังคมไทย ? 

มีคนเสพติดการทำงาน และการใช้เวลาว่างโหด Work Hard Play Harder ก็ใช้ชีวิตหลังทำงานอย่างบ้าคลั่งแบบคนโสด ที่ทุ่มเทพลัง กำลังทุน และเวลาไปกับการบริโภคเพื่อสะท้อนตัวตนให้ดูเท่ห์ เก๋ คูล ชิค  แคร์สายตาคนอื่นจนกลัวลื่นเสียท่า ถ้ามาตกม้าตายกับการเลือกคู่และมีครอบครัวผิด

มีคนที่ตกอยู่ใต้พลังวัฒนธรรมแบบไทยๆ อยู่ในองค์กรที่ต้องวางตัวให้เรียบร้อย ดูดี มีภาพลักษณ์เป็นระเบียบ ฯลฯ แต่ในที่สุดก็ไม่เหลือใครเมื่อต้องอยู่กับตัวเอง  

มีคนตกอยู่ในวงจรชีวิตมนุษย์ในสังคมทุนนิยมไทย ที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงเพราะไม่มีมาตรการรองรับใดๆหากเกิดอะไรฉุกเฉินขึ้นมา  ต้องวางแผนทางการเงินของคนจะมีครอบครัวให้รอบคอบ จนต้องรอไปเป็นสิบปีจนกว่าพร้อม

ไหนจะคนที่มีบาดแผลในจิตใจ ที่เคยช้ำใจจนไม่กล้าเริ่มต้นชีวิตคู่ครั้งใหม่ เกิดเปลือกความคิดที่สร้างขึ้นมาปกปิดจิตใจ ไม่ให้เจ็บซ้ำ ด้วยการคงตัวเป็น “โสด” ไม่มีครอบครัว เพราะกลัวว่ามีครอบครัว มีลูก แล้วจะต้องเหนื่อยหนักเพราะไม่มีใครช่วยเหลือ  เลยหันไปปลดปล่อยความปรารถนาด้วยบริการทางเพศที่แสนจะถูกในประเทศไทย แล้วไหนจะธุรกิจแก้เหงาใหม่ๆที่ให้บริการทั้งชายและหญิงดังที่เป็นข่าว สารพัดนวดแหวกแนว เพื่อนเที่ยว เพื่อนไปงานแต่ง ฯลฯ ที่ทำให้หลบหนีสภาวะเปล่าเปลี่ยวได้เป็นพักๆ

 

อีกกลุ่มที่ใหญ่มาก คือ ผู้ที่ความหลากหลายทางเพศ ที่ประเทศไทยยังไม่สร้างหลักประกันทางกฎหมายให้เขาอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันได้อย่างมั่นใจ แม้ในวันที่จากกันไปแล้ว ทำให้การรับอุปการะเด็กที่เกิดขึ้นมาจากพ่อแม่ที่ไม่พร้อม แบบ การรับบุตรบุญธรรมของคู่รักเพศกำเนิดเดียวกัน ยังเกิดในไทยไม่ได้

 

จนเดี๋ยวนี้ “คนโสด” และ “ความโสด” กลายเป็นเป้าหมายทางเศรษฐกิจให้ธุรกิจใหญ่น้อยเข้ามาคอยหากิน   โดยขายความตื่นเต้น เติมเต็มประสบการณ์ใหม่ๆ ให้ไปผจญภัย หรือได้เป็นคนสำคัญ เพื่อลบความรู้สึก “โล่ง กลวง โบ๋” ที่โตคับอกคับใจให้แคบลงบ้าง เพื่อลบความอ้างว้างเหล่านี้ คนโสดต้องเสียอะไรไปมากมาย แต่สังคมอาจไม่ได้อะไรกลับมา

ใช่แล้ว กำลังจะบอกว่า คนไม่ได้อยากโสดเองทั้งหมด  แต่เพราะเงื่อนไขหลายๆอย่างในสังคมทำให้คนเลือกที่จะ “โสดดีกว่า”   เพราะว่าไม่มีอะไรมาทำให้มั่นใจว่า เสี่ยงมีครอบครัวไปแล้วจะมั่นคง

 

แล้วใครล่ะที่มีความมั่นคง?

คนที่มีเวลาสะสมความมั่งคั่งมานาน จะเป็นกลุ่มไหนถ้าไม่ใช่ คนแก่ที่เมินเฉยปัญหาเหล่านี้ แถมใช้วิธีดึงคนรุ่นใหม่ให้อยู่ใต้อาณัติโดยไม่ปล่อยให้ไปจัดการชีวิตตนเอง ไม่ให้ทุน ไม่ให้โอกาส ไม่ให้อำนาจจัดการ หรือกำหนดนโยบายสังคม ใดๆทั้งสิ้น

ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ระหว่างคนแก่ที่กุมอำนาจเศรษฐกิจการเมือง กับ คนรุ่นใหม่ที่เป็นความหวังในการนำพาอนาคตประเทศชาติแต่ขาดทุน  

สงครามระหว่างเจนเนอร์เรชั่น จึงบังเกิดขึ้น!!!   แทนที่ ความรักความห่วงใยระหว่างกัน

ภาษีครอบครัว กฎหมายครอบครัว ที่ไม่ส่งเสริมให้คนสร้างครอบครัวใหม่ หรือสร้างมาตรการรองรับเหตุอันไม่คาดฝันในอนาคต ย่อมกดโอกาสให้คนตัดสินใจมีคู่ลดลง ยิ่งมีลูกล่ะไม่ต้องพูดถึง

คนในวิชาชีพขั้นสูง งานใช้ฝีมือ และมีการศึกษา เมื่อตระหนักแล้วว่า เสี่ยง จึงตัดสินใจไม่มีลูก ไม่มีครอบครัว

ส่วนพวกพร้อมแต่ยังไม่เจอเนื้อคู่  ทั้งที่เราเป็นคนสังคมกว้างไกลมีเครือข่ายเยอะแยะจะเห็นว่า  ไอ้คนโสดคนนี้มันอยากได้คุณสมบัติแบบคนนั้น   แต่จะทำอย่างไรให้เขา/เธอได้รู้จักกัน   มันเป็นปัญหาขาดการเชื่อมข้อมูลและเครือข่ายของคนโสด  ขาดกิจกรรมสร้างสรรค์ให้คนพบกันแบบไม่เกร็ง ขาดพื้นที่ให้คนมีชีวิตว่างร่วมกันทำกิจกรรม หรือขาดตัวกลางที่จัดการข้อมูลให้คนที่เหงา หรืออยากมีคู่ได้เจอกัน เพื่อทำให้ฝันของคนที่มีความคาดหวังแบบที่ตรงกัน แต่หากันไม่เจอ ได้หากันจนเจอ

 

เรามาร่วมผลักดันให้รัฐสร้างงานที่ผลตอบแทน/สวัสดิการดี จนมี “เวลาว่าง” มากพอ มาคลอเคล้าคนที่ชอบพอกัน เถอะนะ

บล็อกของ ยาจกเร่ร่อน

ยาจกเร่ร่อน
ท่านผู้อ่านจำนวนไม่น้อยคงเคยบนบานศาลกล่าวหรือขอพรจากสิ่งศักดิ์ในยามคับขัน หรือประสงค์ในสิ่งที่อยู่นอกเหนืออำนาจที่ตัวเองจะกำหนดผลกันมาบ้าง ไม่มากก็น้อย   ยังมินับรวมกระแสความนิยมการใช้ศาสตร์ทางโหราและความรู้ที่สืบทอดกันมานับพันปีอย่างฮวงจุ้ย โหงวเฮ้งในทางธุรกิจที่ทราบกันดีว่ามีอยู่ในกระ
ยาจกเร่ร่อน
หากสิทธิสตรีและเสรีภาพระหว่างเพศ มีอุปสรรคขัดขวางคือ "สังคมชายเป็นใหญ่" มีชายครองอำนาจการเมืองกุมการปกครอง ควบคุมเทคโนโลยี เป็นใหญ่ในครอบครัวบังคับให้คนในบ้านรับบทบาทโน่นนี่   หรือมีความบริสุทธิ์กว่าตามความเชื่อของศาสนา  
ยาจกเร่ร่อน
หาก “เวลา” คือ สิ่งสำคัญอย่างแท้จริงในชีวิต มนุษย์จะเลือกเติมอะไรลงไปในเวลาที่ตนมีอย่างจำกัด
ยาจกเร่ร่อน
เราซึมเศร้า เพราะเราเข้าใจและใส่ใจเพื่อนมนุษย์ผู้หงอยเหงา (Sympathy)เราเห็นใจคนเศร้า เพราะเราก็สิ้นหวังในวันที่พ่ายแพ้เราลุกขึ้นจากความพ่ายแพ้ เพราะเห็นทางแก้อยู่ตรงหน้าเราจะไปให้ถึงขอบฟ้า เพราะรู้ว่ามีคนรุ่นใหม่มุ่งหน้าไปเช่นกัน
ยาจกเร่ร่อน
ในคืนอันเฉอะแฉะของปลายฤดูร้อน มีคนเข้ามาคืนความสุขให้คนไทยพักผ่อนกันถ้วนหน้า หลังจากล้าเพราะสงครามมากึ่งปีแต่ทว่าความสุขที่ได้มาพร้อมเงื่อนไข ไม่เปิดโอกาสให้แสดงออกเต็มที่หลบไปแสวงหาความสุขด้วยมหกรรมกีฬาระดับโลกแล้วก็หายไป ต้องกลับมาอยู่กับวันใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม
ยาจกเร่ร่อน
คนไทยกับคนอิตาลี มีลักษณะร่วมกันหลายอย่าง คือ เกิด เติบโต และอาศัยอยู่ในดินแดนที่อากาศดี อาหารอร่อย มีทรัพยากรให้ใช้สอยมากมาย ทั้งเกษตร และท่องเที่ยว เรียกว่าไม่ต้องออกไปนอกประเทศเลยก็มีความสุขได้   แต่ก็กลายเป็นดาบสองคมเพราะมันคือสังคมที่คนอาจคิดไปว่า “เราคือศูนย์กลางจักรวาล”
ยาจกเร่ร่อน
หลังจากความล้มเหลวของทีมชาติเปน ทำให้เกิดคำถามอย่างกว้างขวางในหมู่ชาวไทยว่าเกิดอะไรขึ้น   แต่ความถดถอยนี้มีเค้าลางมาตั้งแต่ศึกฟีฟ่าคอนเฟดเดอเรชั่นคัฟ   เมื่อปี 2013   ซึ่งเป็นปีที่โลกรับรู้ว่า สถานะทางเศรษฐกิจของสเปนอยู่ในภาวะล้มละลาย   คนในยุโรปทราบดีว่าสิ
ยาจกเร่ร่อน
จากผลการแข่งขันฟุตบอลโลกนัดแรกของทีมขวัญใจมหาชนอย่าง อังกฤษ คงสร้างความหงุดหงิดและคลางแคลงใจให้กับคนจำนวนไม่น้อย  เหมือนทุกครั้งที่แฟนบอลชาวไทยต้องช้ำใจเพราะอังกฤษ  ทำไม คนไทยจำนวนมากถึงส่งแรงใจเชียร์อังกฤษ ?
ยาจกเร่ร่อน
เถียงกันไป เถียงกันมา เรามัวแต่ทำงานจนลืมเวลา พอหันกลับมาก็รัฐประหารเสียแล้วแรงงานในประเทศไทยหลายสิบล้านคนทั้งที่เป็นคนไทย และที่ขยับขยายมาจากต่างชาติ ก็คงสงสัยไม่ต่างกันว่า เปลี่ยนแล้วชีวิตเราดีขึ้นไหม
ยาจกเร่ร่อน
ทำไมคนต้องทำงาน?  ยังมีคนถามเรื่องนี้อยู่อีกหรือไม่?แต่คำตอบที่ได้ ย่อมสะท้อนตัวตน ชนชั้น และความจำเป็นในชีวิตแต่ละคนอย่างแน่นอนคนมีมรดกตกทอด อาจไม่ต้องดิ้นรนทำมาหากินมากนัก แต่มีกินมีใช้จากดอกเบี้ย และค่าเช่าที่ได้จากทรัพย์สิน ซึ่งบรรพบุรุษส่งมอบไว้ให้
ยาจกเร่ร่อน
วันแรงงาน จัดขึ้นเพื่อ ให้แรงงานหยุดงานมารวมตัวกันเพื่อเรียกร้องสิทธิต่อนายจ้าง และรัฐแต่สิ่งที่เห็น คือ มีคนต้องทำงานในวันนี้เต็มไปหมดคนที่ไม่ได้ทำงาน ก็ถือเอาเวลานี้ไปโรงพยาบาลเพื่อซ่อมแซมร่างกายที่สึกหรอจากการทำงาน หรือพาครอบครัว/ตัวเองไปพักผ่อน
ยาจกเร่ร่อน
มีเสียงบ่นเข้ามาหนาหู จากเหล่าครูบาอาจารย์ และนักวิจัยในมหาวิทยาลัย ที่ควรเป็นชนชั้นนำทางปัญญา ใช้สติปัญญาและเวลามาแก้ปัญหาสังคม ว่า เขากำลังอยู่ในภาวะเตี้ยอุ้มค่อม หากต้องออกมาช่วยเหลือสังคมหรือเคลื่อนไหวทางการเมือง   เพราะการจ้างงานของตนในมหาวิทยาลัย เข้าสู่ยุคมหาวิทยาลัยนอกระบบที่จะต