หลังๆ คงได้ยินคนบ่นว่า "เบื่อคนต่างด้าวที่เข้ามาแย่งงานคนไทย" หรือ "รำคาญนักท่องเที่ยวที่ทำอะไรตามใจตัวเอง" หรือที่เคยกระหึ่มเป็นพักๆ ก็คือ "ต่อต้านบรรษัทข้ามชาติ" เรื่องเหล่านี้ใกล้ตัวเรามากขึ้นเรื่อยๆ
นักท่องเที่ยวยังพอไหว มาแล้วเดี๋ยวก็ไป แต่ที่แย่หน่อย คือ ที่มาใหม่ก็ใช้นิสัยแบบเดิม ลองคิดดูสิว่า นักท่องเที่ยวเหล่านี้เวลาอยู่ในประเทศตัวเอง หรือไปเที่ยวที่อื่น มักจะทำตัวแบบนี้เหมือนที่ทำในเมืองไทยไหม กินเหล้า เมาอาละวาด เสียงดังโวยวาย กินฟรี ชักดาบ มามั่วงานบุญประเพณีโดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือจ้องจะงาบผู้หญิงไทยให้ได้ท่าเดียว
สงสัยอยู่เหมือนกันว่า ชาวต่างชาติเขาทำกันเป็นสันดาน หรือว่า มาบ้านเราแล้วชวนให้เขาเข้าใจว่าจะทำอะไรก็ได้ เพราะถ้ามีเงินซื้อหาได้อะไรก็ง่ายไปหมดอยู่แล้ว หรือที่แย่กว่า คือ สร้างปัญหาได้แต่ต้องรู้จักวิธีซิกแซ็กแก้ไขให้รอดพ้นไป
ตกลงเขาเป็นเอง หรือบ้านเราทำให้เขารู้ว่าจะทำตัวเละเทะอย่างไรก็ได้ แต่ต้องรู้วิธีแก้ปัญหาแบบไม่ต้องมานั่งกัวงล นั่นก็เพราะเราไม่ได้เตรียมอะไรไว้รองรับกับปัญหาที่ตามมา หรือไปแก้ไขปัญหาที่ต้นทาง คือ การรับรู้ของนักท่องเที่ยวที่มีต่อประเทศไทย เพราะคนที่มาย่อมเข้าใจไปตามสิ่งที่รู้ก่อนมาว่า ประเทศไทยเป็นยังไง จะทำอะไรได้บ้าง ดังนั้นการปรับปรุงกฎระเบียบ และการเผยแพร่มารยาทหรือวัฒนธรรมไทยพร้อมไปกับการโฆษณาประชาสัมพันธ์ประเทศ จึงเป้นเรื่องใหญ่ที่ไม่ควรมองข้าม
เพราะถ้ายังคงรับทุกอย่างที่ขวางหน้า คงมีคนจำนวนมากไม่กล้ามาเพราะเละเทะ แต่ที่แย่กว่าคือ คนที่เป็นเจ้าของบ้านจะอึดอัดจนกลายเป็นปัญหารอวันปะทุขึ้นมาจนกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต เสียหายต่อประเทศก็ได้
สรุป การหากินกับการท่องเที่ยว เราต้องออกกฎ วางระเบียบ และบอกกล่าวให้นักท่องเที่ยวรับรู้ล่วงหน้า และทำให้เขาเห็นว่า กฎ กติกา มารยาท นั้นบังคับได้จริง นักท่องเที่ยวจึงจะปรับตัว และเชื่อเถอะว่า นักท่องเที่ยวที่ไม่สร้างปัญหาจะรู้สึกดีมากว่า มาแล้วสบายตัว สบายใจ ไม่ต้องระวังภัยจากนักท่องเที่ยวอื่น หรือคนท้องถิ่นที่เกลียดนักท่องเที่ยวไปแล้วเพราะมีประวัติคาใจกับนักท่องเที่ยวคนอื่นมา
ส่วนเรื่องต่อมา คือ แรงงานต่างด้าว ซึ่ง ต่างด้าวยังไง เริ่มขึ้นเมื่อไหร่ ก็ถอยหลังไปได้ไม่เกินร้อยห้าสิบปีหรอก เพราะพรมแดนมันเพิ่งเกิด แต่ก่อนพอคนมีปัญหาในบ้านเกิดก็ย้ายไปอยู่ที่อื่น หากินฝืดเคืองก็เปลี่ยนไปทำมาหากินที่ใหม่ ปลอดภัยและสบายใจสบายท้อง ก็พอแล้ว ไม่ต้องมารอขอนุญาตตามกฎหมายหรือคอยฟังนโยบายจากรัฐ ซึ่งเป็นใครอยู่ที่ไหน ห่างไกลกับชีวิตประจำวันมาก
คนที่บ่นว่า แรงงานต่างด้าวแย่งงานคนไทย คงหลับตาแล้วจินตนาการเกินไป ไม่เข้าใจความเป็นจริงที่ว่า งานที่ต้องเอาแรงงานต่างด้าวเข้ามาทำ ส่วนใหญ่ขาดแคลนแรงงานไทยในประเทศ ซึ่งเป็นกันมากมายทั่วโลก ไม่ได้เกิดขึ้นในเมืองไทยที่แรก ก็ในเมื่องาน "อันตราย สกปรก ต้อยต่ำ" จนเจ้าของประเทศเขาไม่ทำเพราะอายเพื่อน แถมเจ้านายก็กดขี่ข่มเหง บอกว่าไม่ทำก็ออกไป หาคนใหม่มาทำแทนง่ายๆ เพราะงานล้างส้วม ทำกับข้าว กวาดขยะ เสริฟอาหาร ฯลฯ ไม่ต้องการฝีมืออะไรมากมาย แค่มีแรงทำงานไม่สลบตายไปก่อน ก็ทำได้ทั้งนั้น
คนต่างด้าวที่ไม่มีทางเลือกในบ้านเกิด จึงได้อพยพเข้ามาหาความปลอดภัยที่มากกว่าการหนีตายในสงครามกลางเมือง ถึงแม้รายได้จะน้อยในไทย แต่เก็บออมเอาไว้สักวันหนึ่งจะได้กลับไปเป็นใหญ่ในแผ่นดินเกิดก็เอา ส่วนคนไทยเ็นเค้ามีเงิบเก็บเข้าหน่อยก็พลอยคิดไปว่า เค้าสบายมีจับจ่ายเยอะแยะ พาลอิจฉาริษยา จะไล่ไป หรือ จะหาทางรีดไถเอาเงินเขาไปก็เยอะ ไม่เชื่อก็ลองไปดูตามสถานที่ราชการช่วงค่าจ้างออกสิว่า ทำไมถึงแรงงานไม่ไทยจีึงได้ไปออกันอยู่เต็มไปหมด
บางคนบอกว่า นี่คือ ปัญหาความมั่นคงของชาติ ถ้าเข้ามามากจะอันตรายเดี๋ยวเข้ามายึดดินแดนจะทำอย่างไร ก็ได้ใช้อำนาจรัฐอำนาจทหารสกัดไว้หรือไล่ไป เดี๋ยวก็จบ แต่ที่เรื่องมันกำ้ๆกึ่งๆ ก็เพราะว่า เจ้าของโรงงาน ห้างร้าน และสถานบริการทางเพศ เขาบอกมาว่า ถ้าทำอย่างนั้นใครจะไปอยุ่ไหว ต้องปิดกิจการไปหมดสิ
สังคมอื่นที่เคยผ่านเหตุการณ์นี้ทำอย่างไรกันนะ?
เอีะ! มีคนบอกว่า ยุโรปก้าวหน้ามีการพัฒนาระบบสวัสดิการแรงงานข้ามพรมแดน ใช่ แต่เฉพาะแรงงานข้ามพรนแดนที่เป็นพลเมืองอียูเท่านั้นล่ะ ที่ได้รับการดูแล แต่พวกที่ลอยแพข้ามน้ำข้ามทะเล แอบซ่อนในรถ หรือเดินลัดเลาะมา ต้องถูกสะกัดอย่างเข้มงวด และนี่คือมาตรการที่จริงจังมากที่สุดของแต่ละประเทศ ถึงขนาดที่ว่า นี่เป็นนโยบายเดียวที่แต่ละประเทศ แยกกันทำ แยกกันออกกฎ แยกกันบังคับ ถ้าจะเข้าอังกฤษต้องทำอย่างหนึ่ง จะเข้าฝรั่งเศสเจอตรวจอีกแบบ เข้าเยอรมนีก็ยากไปอีกอย่างหนึ่ง
สาเหตุคือ ถ้าเข้าไปทำงานหรืออยุ่ในประเทศเขาได้แล้ว สวัสดิการ ความเป็นอยู่อะไรก็จะได้รับขึ้นมา เกือบจะเหมือนว่าเป็นคนชาติเดียวกัน เพราะประเทศเหล่านั้นเชื่อว่า คนเป็นคน หากเขาเข้ามาถูกกฎหมายจะได้รับคุณภาพชีวิตที่ดี ความปลอดภัยมีให้ จะได้ตั้งใจทำมาหากินและพัฒนาตัวเองและคนในครอบครัวให้มีคุณภาพ เป็นการเข้ามาเพิ่มผลผลิต ไม่ใช่เข้ามาสร้างปัญหาเพิ่มเติม
ส่วนประเทศที่คนไทยคุ้นเคยอย่างอเมริกาและออสเตรเลียล่ะ รู้ๆกันอยู่ว่า เติบโตยิ่งใหญ่มาได้ทุกวันนี้ก็เพราะมีแรงงานต่างด้าวเสียเลือดเสียเหงื่อสร้างชาติขึ้นมาแต่กว่าจะได้รับเกียรติยศกลับมาก็ต้องลูกหลานรุ่นหลัง นโยบายของเขาง่ายๆ คือ ลักปิด ลักเปิด ต่อหน้าบอกว่าห้ามและไม่ทำร้ายคนต่างด้าว แต่หลังร้านมีแต่คนงานต่างด้าวเข้ามาใช้แรงกายแลกรายได้ไม่กี่ดอลล่าร์ แต่ก็ยังอดทนเพราะว่าเมื่อเทียบแล้วก็ยังมากกว่าบ้านเกิดอยู่ดี หาที่ใหม่ที่บอกว่าถ้าใครขยันอดทน ก็อาจสะสมจนสร้างครอบครัวและทำให้ฝันกลายเป็นจริงได้
ด้วยเหตุที่ว่า ประเทศเหล่านี้มีการพัฒนาเศรษฐกิจไปเกินภาคอุตสาหกรรมหนักนานแล้ว ตอนนี้คนส่วนใหญ่ไปทำงานในออฟฟิศบ้าง ร้านค้าและศูนย์การค้า และการให้บริการตามวิชาชีพต่างๆกันหมด เหลืองานบริการที่ไม่มีทางเห็นความก้าวหน้าก็ต้องหาคนมาทำแทน แต่ถ้าไม่อยากทำงานบริการในภาคธุรกิจ มารับใช้ชาติด้วยการเป็นทหาร ก็ได้นะ พูดง่ายๆ หาคนต่างด้าวหน้าใหม่ๆ เข้ามาให้ใช้แรงงานทาสไปเรื่อยๆ เพราะไม่มีระบบต่อรองแบบสหภาพแรงงานต่างด้าว หรือสวัสดิการสังคมเหมาดูแลทั้งระบบให้รัฐต้องมาแบกเพื่อคนต่างด้าวอยู่แล้ว
ถามว่าใครได้ จากการอพยพเข้ามาทำงานของแรงงานเหล่านี้ ชัดๆเลย ก็คือ คนที่ชอบของถูก บริการราคาประหยัดนั่นเอง ซึ่งหลายครั้งก็เป็นคนที่บ่นด่าว่า แรงงานต่างด้าว แต่ตัวเองก็ได้ประโยชน์จากคนเหล่านี้โดยตรง ดังนั้นธุรกิจภาคบริการจึงต้องพึ่งแรงงานต่างด้าวมากขึ้น และธุรกิจภาคบริการนี่แหละที่กลายเป็นธุรกิจใหญ่ของหลายๆประเทศ ทั้งพัฒนาและกำลังพัฒนา สังคมชาวนาแบบทำกินเองแลกเปลี่ยนในหมู่บ้านน่ะหมดไปแล้ว มีแต่ผู้จัดการนา ผู้จัดการฟาร์ม ลดต้นทุนด้วยการจ้างแรงงานต่างด้าว เข้ามาทำนา ทำสวน ทำไร่ เลี้ยงสัตว์กันมาเป็นสิบๆปีแล้ว
แต่ที่ได้มากกว่า คือ บรรษัทและเจ้าของกิจการที่เป็นนายจ้างของลูกจ้างราคาถูกเหล่านี้ ที่มีคนจำนวนมากแห่เข้ามาให้เลือกใช้งาน กดราคาและถ้ามีปัญหามาก ก้ไล่ออก รับคนใหม่เข้ามาได้ตลอด หากประเทศนี้เริ่มมีพวกนักรักสังคมรักเพื่อนมนุษย์มาเรียกร้อง จนรัฐบาลร่วมมือกันหากินกับแรงงานต่างด้าวราคาถูกไม่ได้อีกแล้ว บรรษัทก็มีทางเลือกอื่นที่ง่ายมาก คือ ขู่ว่า ต้นทุนจะขึ้นนะ จะเอาไหม สินค้าที่แพง บริการที่ราคาสูง จึงได้ทำให้กระแสสังคมเงียบลงไปเป็นพักๆ
แต่บางรัฐไม่เงียบ ผลักดันต่อไป ก็จะเกิดการแก้ไข แรงงานต่างด้าวทะลักเข้ามาไม่ได้มาก ภาคบริการยังพออยู่ได้ เพราะแต่ละห้างร้านขนาดไม่ใหญ่ ใช้แรงงานต่างด้าวมากระจุกรวมกันไม่มาก แต่โรงงานขนาดใหญ่ต้องย้ายฐานเป็นแน่ เพราะแค่นี้ก็ต้องบี้ต้นทุนให้ถูกที่สุดเพื่อสู้กับสุดยอดประเทศโรงงานนรกอย่าง จีน จนจะไม่ไหวอยู่แล้ว
สิ่งที่เกิดทั่วไป คือ รัฐที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยการเปิดพื้นที่ขนาดใหญ่ให้โรงงานมาสร้างโดยเว้นว่างการบังคับใช้กฎหมาย ให้นายจ้างรับคนต่างด้าวเข้ามาได้ และไม่มีกฎหมายดูแลชีวิตแรงงานในพื้นที่นั้น กลายเป็นสวรรค์ของเจ้าของกิจการ แต่เป็นนรกบนดินของแรงงานไปทันที
นี่แหละ คือ สิ่งที่เรียกว่า "การต่อสู้ครั้งสุดท้ายของดาวโลก" ที่ทำให้คนทุกประเทศต้องลุกขึ้นมาคิดกันอย่างจริงจังแล้วว่า ใครได้ประโยชน์จากแรงงานต่างด้าวกันแน่ ใครเป็นคนที่ทำให้เกิดปัญหาสังคม ใครคือคนที่เสวยสุขโดยไม่สนใจชีวิตคนอื่น และใครคือ "คนที่ยังไม่ตื่น" กันแน่
หรือยังไม่พร้อมจะแก้อะไรทั้งนั้น เพราะทุกวันนี้ยังต้องสู้กับพวกต่างด้าวที่บุกเข้ากรุง อย่างพวก "บักเสี่ยว" ที่จะมาเรียกร้องสามร้อยบาท หรือคนขับแท็กซี่ ขี่มอเตอร์ไซค์ ทำกับข้าว ล้างจาน เสิร์ฟอาหาร หรือเก็บขยะชะล้างสิ่งโสโครกทั้งวัน แต่ดันอยากจะมาเลือกคนปกครองประเทศ
สวรรค์น้อยๆแห่งการขูดรีดผู้ใช้แรงงานใกล้จะล่มแล้ว หากไม่คิดจะปรับตัว ปรับสังคม เอาเรื่องใต้ดินมาจัดการบนดินอย่างเป็นระบบ เห็นอกเห็นใจผู้อื่น ให้เขาได้มีโอกาสตื่นลืมตาอ้าปากบ้าง ก็คงไม่พร้อมปรับตัวเป็น เจ้าของประเทศที่สามารถดึงดูดคนให้อยากทำงานมาใช้ชีวิตและพัฒนาประเทศอย่างเข้มแข็งได้
สิ่งที่ทำได้ ก็เป็นเพียง การเอาของเก่ามาขาย และได้แต่เจ้าของกิจการที่มาเพื่อกดต้นทุนและไม่ใส่ใจสังคม หรือนักท่องเที่ยวทัวร์ราคาถูกที่หวังบริการขั้นต่ำ อย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้แน่ๆ
ทางแก้มี แต่ทางที่ดี ตื่นมามองความจริงของชีวิตคน "ล่องหน" ที่อยู่ใกล้ๆตนก่อน จะดีกว่าไหม