Skip to main content

หลังการจากไปของพี่ปุ๋ย (นันทโชติ ชัยรัตน์) วันหนึ่งของต้นฤดูหนาว พี่แป๊ะ ภรรยาพี่ปุ๋ยก็มีดำริจะปลูกบ้านเป็นของตัวเองเสียที โดยพี่แป๊ะได้ซื้อไม้จากบ้านเก่าหลังหนึ่งไว้


ก่อนการเริ่มต้นปลูกบ้าน พี่แป๊ะจึงต้องหาคนมารื้อเอาไม้จากบ้านเก่าก่อน ซึ่งก็ได้น้องนุ่งแรงดีจากลุ่มน้ำมูนและหนุ่มในเมืองอย่างเอก และผู้อาวุโสแต่หัวใจวัยรุ่นอย่างพ่อถาหนึ่งในแกนนำปากมูน แห่งบ้านนาหว้า มาช่วยกันคนละไม้ละมือ


ฉันกับบุญมีรับหน้าที่ทำอาหารเลี้ยงเหล่าแรงงาน

ช่วงบ่ายๆ หลังกินข้าวแล้วถึงได้ออกไปดูพวกเขาว่ารื้อไปถึงไหน ยังไงบ้างแล้ว


ไปดูไปเห็น ถึงรู้ โอ้โห มันไม่ใช่งานง่ายๆ เลยนะ และบางครั้งก็เสี่ยงอันตรายทีเดียว แต่ความเป็นหนุ่มลูกทุ่งบ้านนาคุ้นชินกับการปลูกบ้านรื้อบ้านด้วยแรงงานตน หาใช่มีเงินหนึ่งก้อนแล้วปล่อยเป็นหน้าที่ผู้รับเหมา ถึงเวลาก็หอบข้าวของเข้าไปอยู่



ในความรับรู้ของคนอย่างฉันอาจมองว่านี่เป็นเรื่องของวิถีชีวิตดั้งเดิม แต่คนที่นี่รับรู้เข้าใจว่า ปัจจุบันของพวกเขาก็เป็นอย่างนี้นี่แหละ


ฉันอาจตื่นเต้นที่เห็นพวกเขาปีนป่ายหลังคาเล่นเหมือนหนังจีนที่ตัวละครใช้วิชาตัวเบาไล่สู้กัน แต่มองอีกทีก็หวาดเสียวใช่เล่น


การเสี่ยงอันตรายอย่างนี้ ทุ่มเทให้กันก็ด้วยใจ ไม่มีค่าแรงงานใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากความเป็นมิตร เป็นพี่เป็นน้อง


ในบรรดาหนุ่มๆ ทั้งหมด เอกเป็นคนเดียวที่เรียนจบปริญญาตรี ส่วนคนอื่นๆ พวกเขาเรียนไม่สูงนัก ซึ่งหลายครั้งหลายหนแล้วที่ฉันมักสงสัยว่าการศึกษาในสถาบันต่างๆ ของพวกเราโดยเฉพาะเด็กบ้านนอกนั้น ได้ให้อะไร และพรากเอาอะไรจากเราไป


มีคนหนุ่มสาวจำนวนเพียงหยิบมือเท่านั้นที่จะสามารถรับเอาความรู้ใหม่ๆ วัฒนธรรมใหม่ๆ มาสู่ชีวิต ขณะเดียวกันยังสามารถรักษาความเป็นคนบ้านนอกและความสามารถใช้ชีวิตอย่างคนบ้านนอกไว้ได้


คนหนุ่มจำนวนไม่น้อย เมื่อร่ำเรียนจนจบปริญญาตรี พวกเขาก็จับค้อน ตอกตะปูไม่เป็นเสียแล้ว ให้ตากแดดกล้าแรงๆ ก็ทนไม่ค่อยไหว เพราะการศึกษาทำให้เรารู้ว่าชีวิตมีทางเลือก และโดยสัญชาตญาณเบื้องลึก ส่วนใหญ่ทุกคนก็เลือกที่จะอยู่สุขสบาย เหนื่อยน้อย แต่ได้เงินดี


เราเริ่มรู้จักวิธีหาเงินเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับชีวิต ซึ่งแปรผกผันกับความเริ่มไม่รู้วิธีที่จะดำรงอยู่โดยไม่ต้องพึ่งเงิน ไม่ว่าจะทำอะไรๆ นับวันเราก็ต้องเอาเงินนำหน้า


สร้างบ้าน รื้อบ้าน ที่คนสมัยก่อนปลูกสร้างกันเองเพียงวันสองวันเสร็จ แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่โตด้วยรสนิยมและคุณค่าที่เปลี่ยนไป บ้านของคนอย่างเราๆ เริ่มมีราคาหลายแสนจนถึงหลายล้าน เริ่มอยู่ยาก กินยากขึ้น


จนทุกครั้งที่นโยบายพัฒนาประเทศถูกหยิบยกขึ้นมาในรูปของการสร้างเขื่อน โรงไฟฟ้า โรงงานอุตสาหกรรม คำพูดที่มักได้ยินจากรัฐเรียกร้องกับคนพื้นที่ว่า คนส่วนน้อยต้องเสียสละเพื่อคนส่วนใหญ่ มันทำให้อดคิดไม่ได้จริงๆ ว่าทำไมคนยากคนจนต้องเสียสละให้คนร่ำรวยมั่งมีที่มีแล้วมีอีก มีเท่าไหร่ก็ไม่เคยรู้จักพอสักที พวกเขาอยู่ยากกินยากเกินไปจึงเรียกร้องสิ่งอำนวยความสะดวกที่ไม่เคยสิ้นสุด


เด็กหนุ่มสองคนลุ่มน้ำมูนที่มาช่วยรื้อบ้านวันนี้เพิ่งกลับมาจากกรุงเทพฯ ก่อนนี้พวกเขาไปทำงานเป็นช่างทำเฟอร์นิเจอร์ เมื่อไม่มีงานให้ทำแล้วก็กลับมาบ้าน หาปลาในแม่น้ำมูนต่อ แม้หาได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็ยังดีกว่าอยู่เฉยๆ แต่แน่นอนว่า ก่อนที่จะมีการสร้างเขื่อนพวกเขาไม่เคยมีความคิดจะออกจากหมู่บ้านเลย จำนวนปลาที่หาได้มีเพียงพอให้ยังชีพอย่างไม่ขัดสน เขาเล่าให้ฉันฟังถึงตอนที่มีการประท้วงที่สันเขื่อนปากมูนเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นสะพานข้ามแม่น้ำมูนจากบ้านด่านมาบ้านท่าแพยังไม่ได้สร้างขึ้น เขาและเพื่อนต้องเดินไปตามริมน้ำ ข้ามไหล่เขา หน้าผา ช่วงแก่งตะนะ เดินกันจนรองเท้าขาด เพื่อจะไปร่วมประท้วงด้วย


วันนี้เมื่อเพื่อนคนหนึ่งขอแรงให้มาช่วย พวกเขาก็ยินดีมาโดยไม่อิดออดแม้ว่าจะไม่เคยรู้จักเลยว่าพี่แป๊ะ พี่ปุ๋ย เป็นใคร เป็นน้ำใจที่เพื่อนมีให้เพื่อนแท้ๆ


ส่วนน้องอีกคนหนึ่งก็วางแผนว่าเมื่อหมดหน้าเกี่ยวข้าว เขาเองก็จะออกไปรับจ้างใช้แรงในกรุงเทพฯ เหมือนกัน แต่ช่วงนี้ยังสามารถรับจ้างเกี่ยวข้าวในหมู่บ้านใกล้เคียงได้อยู่ จึงยังอยู่ในหมู่บ้านก่อน


เงินยังคงมีความจำเป็น เป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็ไม่ได้หมายว่าเอะอะก็ต้องใช้เงิน ให้เงินมาเป็นเรื่องใหญ่ การรื้อบ้านสองวันนี้ ถ้าคิดตามค่าแรงขั้นต่ำคนหนึ่งก็ได้เกือบๆ สี่ร้อยบาท แต่ว่า พวกเขาก็พร้อมที่จะโบกมือปฏิเสธทันที เพราะนี่คือการใช้แรงเพื่อพี่น้อง เพื่อสายสัมพันธ์ที่ดีที่มีให้กันตลอดมา แม้ว่าพี่ปุ๋ยจะไม่อยู่บนโลกนี้แล้วก็ตาม


จิตใจที่ไม่เคยเห็นเงินเป็นใหญ่อย่างนี้ ไม่รู้ว่าคนที่เคยชินกับการใช้เงินจะคิดได้บ้างไหมว่า บางครั้ง เราไม่จำเป็นต้องเอาประเทศหรือเอาตัวเข้าแลกเพื่อจะให้ได้มาซึ่งค่าดัชนีทางเศรษฐกิจเลย เพราะคุณภาพชีวิตและความสุขเอาเงินมาเป็นตัววัดไม่ได้


สำหรับบางคนกระท่อมหลังเดียวจากการลงแรงด้วยน้ำมือตนและทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ในขณะที่อีกคนกอบโกยเม็ดเงินเท่าไหร่ก็ไม่เคยรู้สึกพอ จึงรุกรานพื้นที่ของอีกคนโดยตรรกะที่ตนร่ำเรียนมาว่า มันคือการพัฒนา มันย่อมดีกว่า ขอให้ผู้ได้รับผลกระทบจงเสียสละ


แต่ลองหยุดคิดสักนิดหนึ่งบ้างจะดีไหม เราควรมีเงินเท่าไหร่ถึงจะพอ ค่าดัชนีทางเศรษฐกิจเป็นตัวเลขเท่าไหร่ถึงจะวัดตัวความสุขของพลเมืองได้



บล็อกของ สร้อยแก้ว

สร้อยแก้ว
นั่งดูบอลคู่นี้อย่างไม่ตั้งใจนัก เผอิญว่ากดรีโมทโทรทัศน์มาเจอเข้าพอดี เลยคิดว่าอยากจะเชียร์บอลไทยสักหน่อย ดูเวลาการแข่งขันตอนนั้นก็เข้าสู่นาทีที่เจ็ดสิบกว่าแล้ว ไทยนำอยู่ 2-1 ดูไปได้ไม่ทันไร ก็มาถึงจังหวะการกระโดดแย่งบอลกันกลางอากาศ นักเตะไทยเป็นฝ่ายกระโดดได้สูงกว่าและโดนลูกบอล แต่เมื่อเท้าแตะถึงพื้น นักเตะไทยวิ่งต่อ ส่วนนักเตะเลบานอนลงไปนอนกับพื้น เอากุมหัว ดิ้นอย่างเจ็บปวดสักพักเมื่อเขาลุกขึ้น สิ่งที่เห็นก็คือเลือดอาบหน้าและสองมือที่กุมเอาไว้ เลือดออกเยอะมากขนาดที่เห็นแล้วต้องเบะปาก ขณะที่เพื่อนร่วมทีมวิ่งมาดู นักเตะไทยเดินยิ้ม ยักไหล่ แพทย์สนามก็มาช้าเหลือเกิน เกมรึ…
สร้อยแก้ว
หลังการจากไปของพี่ปุ๋ย (นันทโชติ ชัยรัตน์) วันหนึ่งของต้นฤดูหนาว พี่แป๊ะ ภรรยาพี่ปุ๋ยก็มีดำริจะปลูกบ้านเป็นของตัวเองเสียที โดยพี่แป๊ะได้ซื้อไม้จากบ้านเก่าหลังหนึ่งไว้ ก่อนการเริ่มต้นปลูกบ้าน พี่แป๊ะจึงต้องหาคนมารื้อเอาไม้จากบ้านเก่าก่อน ซึ่งก็ได้น้องนุ่งแรงดีจากลุ่มน้ำมูนและหนุ่มในเมืองอย่างเอก และผู้อาวุโสแต่หัวใจวัยรุ่นอย่างพ่อถาหนึ่งในแกนนำปากมูน แห่งบ้านนาหว้า มาช่วยกันคนละไม้ละมือ
สร้อยแก้ว
(ขอความกรุณาสวมเสื้อขาว, สีฟ้า หรือสีที่ดูเหมาะสม ยกเว้นอย่าสวมเสื้อสีเหลืองหรือสีแดง เพราะจะทำให้แตกสามัคคี) ข้อความในวงเล็บนี้ทำเอาฉันอมยิ้มจนเกือบเผลอหัวเราะนี่คือจดหมายเชิญเดินเทิดพระเกียรติของชมรมผู้สูงอายุตำบลหารแก้วที่ประธานชมรมถึงกับควบมอเตอร์ไซค์แถดๆ มาหาพ่อถึงบ้าน
สร้อยแก้ว
 ฉันมีโอกาสไปร่วมงานรางวัลลูกโลกสีเขียว ครั้งที่ ๑๐ ปีนี้ เลยทำให้อดคิดไม่ได้ว่า รางวัล มีความหมายอย่างไรต่อชีวิตคนบ้าง ลองเปิดพจนานุกรมฉบับบัณฑิตยสถานดู เขาก็บอกว่ารางวัลคือ สิ่งของหรือเงินที่ได้มาจากความดี ความชอบ หรือความสามารถย้อนทบทวนตอนเด็กๆ รางวัลแรกของฉันมาจากการวิ่งได้ที่ ๓ จากการวิ่งแข่งกันสี่คน (เกือบไป!) โชคดีได้ขึ้นแท่นรับรางวัลกับเขา ยิ้มแก้มแทบปริ และเมื่อถึงบ้านก็รีบเอาสมุดดินสอมาให้พ่อกับแม่ดู
สร้อยแก้ว
ไม่รู้ทำไม จู่ๆ ภาพของเพื่อนสนิทคนหนึ่งในวันที่เข็นรถเด็กที่มีเด็กหญิงวัยแปดเดือนนั่งยิ้มแฉ่งเดินเล่นยามเย็นนอกเมืองก็โผล่ขึ้นมาในห้วงคำนึงในวันฝนตก ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวกันเลยสักนิด เธอดูมีความสุขปลอดโปร่งใจดีเหลือเกิน เธอบอกฉันว่า แต่ก่อน เธอมองชีวิตแบบเอ็นจีโอ ใส่เสื้อผ้าฝ้าย ใช้ข้าวของอย่างประหยัด หน้าตาไม่แต่ง เธอเชื่อมั่นในวิธีคิดแบบนั้น ศรัทธาคนเหล่านั้น แต่วันเวลาก็ทำให้เธอเห็นว่าคนเหล่านั้นก็เป็นเพียงปุถุชนธรรมดาๆ เท่านั้น พวกเขาไม่ได้ดีอย่างที่เรามอบความศรัทธาให้ เธอไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงใช้ชีวิตตามแนวคิดอย่างนั้นได้อย่างเชื่อมั่นอยู่ตั้งหลายปี…
สร้อยแก้ว
สำหรับนักเขียน ยามคอมพิวเตอร์มีปัญหานับว่าเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว เพราะแต่ละวันไม่ว่ายังไงก็ต้องได้ลูบๆ เคาะๆ วันละนิดละหน่อยจนเคยชิน ครั้นเมื่อมันเกิดปัญหาขลุกขลัก แม้จะรู้สึกเซ็งๆ แต่ก็ต้องทนหอบหิ้วมันไปหาช่าง – คนที่เราคิดว่าเขารู้ดีกว่าเราแต่การเลือกช่างก็เหมือนการเลือกหมอรักษาอาการป่วยของเรานั่นแหละ หากยามใดเราไปเจอหมอที่วินิจฉัยโรคเราผิด จากที่ไม่ได้เป็นอะไรเลยแต่กลับบอกว่าเป็นโรคร้ายต้องผ่าตัดไปหลายยก เจ็บกาย เสียเวลา เสียเงิน เพื่อที่จะพบว่า ที่แท้เราไม่ได้เป็นอะไรเลย ความรู้สึกโกรธและไม่อาจทำใจยอมรับกับความสูญเสียที่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ…
สร้อยแก้ว
ชาวบ้านห้วยสะคามตื่นเต้น ใช้ไฟฟรี ประหยัดกันยกใหญ่! อยากให้พาดหัวข่าวแบบนี้ในหน้าหนังสือพิมพ์บ้างจัง แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องเล็กมากของประเทศ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ขัดแย้งใหญ่หลวงของบ้านเมืองยามนี้ นโยบายอะไรๆ ของรัฐบาลก็ไม่ดีทั้งนั้น ในฐานะที่ไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรมากเกี่ยวกับนโยบายประชานิยม แต่ว่าพอเข้าใจหัวจิตหัวใจของชาวบ้านตาดำๆ ซึ่งเวลาลงคะแนนเลือกตั้งเสียงของเขาก็มีค่าเท่ากับศาสตราจารย์หรือด๊อกเตอร์ในเมืองไทย เขาก็มองเห็นผลดีผลได้เท่าที่จับต้องได้ ไม่ต้องอ้างเอ่ยว่าเขาซื้อเสียงง่ายหรอก แต่เขาเห็นว่าเขาได้อะไรจากรัฐบาลชุดที่แล้ว (ยุคทักษิณ) เขาถึงเลือกและชอบ
สร้อยแก้ว
ภาพจาก http://www.blogth.com/blog/ddimg/uploadimg/20070514/093435918.jpgอาจไม่ต้องถึงขั้นเป็นคอบอล เป็นแค่ผู้นิยมกีฬาฟุตบอลก็คงต้องอยากดูเกมระหว่างแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด กับเชลซีเมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน ที่ผ่านมาว่าจะเป็นอย่างไร เปิดฤดูกาลของพรีเมียร์ลีก เชลซีเดินหน้าชนะทุกนัดเก็บมาได้เก้าคะแนนเต็ม เป็นการออกสตาร์ทที่สวยงามและทั้งนักเตะทั้งแฟนบอลเต็มไปด้วยความฮึกเหิม ขณะที่แชมป์เก่าอีกทั้งยังเป็นแชมป์ถ้วยฟุตบอลสโมสรยุโรปซะด้วย กลับเก็บมาได้เพียงสี่คะแนน แพ้บ้าง เสมอบ้าง จนแฟนๆ ชักใจคอไม่ดี แม้ฤดูกาลที่แล้วก็ออกสตาร์ทไม่ดีเหมือนกันแต่สุดท้ายก็ได้ถ้วย…
สร้อยแก้ว
โขงเจียมคือชื่ออำเภอหนึ่งของจังหวัดอุบลราชธานี อันเป็นที่รู้จักกันดีว่า เป็นเมืองที่เห็นพระอาทิตย์ขึ้นก่อนใครในสยามเพราะอยู่ทิศตะวันออกสุดของประเทศ และยังเป็นที่รู้จักอีกในฐานะที่มีแม่น้ำสายสำคัญของอีสานสองสายมาบรรจบคือแม่น้ำมูลและแม่น้ำโขง จุดที่บรรจบกันนั้นเรียกกันอย่างไพเราะว่า แม่น้ำสองสี โขงสีขุ่น มูลสีคราม (แต่ตอนนี้ขุ่นทั้งคู่ หากอยากเห็นมูลสีครามน่าจะเป็นช่วงหน้าแล้ง) โขงเจียมมีฐานะเป็นอำเภอ แต่อำเภอนี้เล็กเหมือนหมู่บ้าน ค่ำมาราวสักสองทุ่มก็เงียบแล้ว บางบ้านเข้านอน บางบ้านอาจจะยังนั่งพูดคุยกันอยู่หน้าบ้าน แต่คุยกันอย่างเงียบๆ ไม่กระโตกกระตาก สงบดีเหลือเกิน…
สร้อยแก้ว
ฤดูฝน นาพ่อสนเขียวไสวด้วยต้นข้าว ยามเช้าน้ำค้างชุ่มหญ้า ชุ่มพุ่มไม้ ครั้นเมื่อแสงแดดโผล่พ้นจากหมู่เมฆ ท้องนาสีเขียวยิ่งดูกระจ่างตา เหลียวมองรอบๆ แสนสบายตาสบายใจ เอ แล้วดอกอะไรกันหนอสีแดงขาว เป็นพุ่มไม้ใหญ่อยู่หน้าเถียงนาอีกแห่งนั่น ? เห็นแล้วก็อดคว้ากล้องเดินย่ำน้ำค้างบนคันนาไปหาดอกไม้นั้นไม่ได้ ไพจิตรเห็นก็วิ่งตามโดยทันใด เธอไม่ใส่รองเท้า ฉันบอกระวังหนาม ไพจิตรเงยหน้าขึ้นมองไม่ตอบอะไรนอกจากยิ้ม เธอทำให้ฉันอดคิดถึงครั้งหนึ่งเมื่อเราไปเที่ยวช่องเม็ก ด่านชายแดนลาวด้วยกัน
สร้อยแก้ว
ฉันถ่ายรูปไพจิตรไว้หลายรูปทีเดียว จนอดไม่ได้ที่จะเขียนถึงเธออีกครั้ง ด้วยความที่เธอบริสุทธิ์เหลือเกิน บ้านของไพจิตรอยู่ในหมู่บ้าน แต่เธอและครอบครัวมักชอบไปนอนเถียงนาที่มีวัว ควาย หมู หมา ไก่ เป็นเพื่อน ในหมู่บ้าน บ้านเรือนมักจะปลูกติดๆ กัน อันเป็นธรรมดาของสังคมหมู่บ้าน ซึ่งสมัยก่อน บ้านเรือนอาจปลูกไม่ชิดกันมากขนาดนี้ แต่เมื่อลูกหลานสร้างครอบครัวกันขึ้นมาใหม่ เริ่มปลูกบ้านหลังใหม่เพิ่ม ลักษณะหมู่บ้านจึงดูหนาแน่นขึ้น ครอบครัวของพ่อสนซึ่งรักความสันโดษเลยพากันไปนอนเถียงนาที่แสนจะเงียบสงบ อากาศเย็นสบาย และฉันก็มักไปนอนที่นั่นด้วยบ่อยๆ
สร้อยแก้ว
ดาวใจและไพจิตร เป็นชื่อของเด็กหญิงสองพี่น้อง ลูกสาวแม่พร พ่อสน คนดูแลสวน-สถานที่ของศูนย์ภูมิปัญญาไทบ้าน พ่อสนมีลูกทั้งหมดสิบคน ลูกชายสองคนก่อนหน้าดาวใจ ไพจิตร ชื่อไมโคร และ นูโว นัยว่าพ่อท่าจะชอบเสียงเพลงมากถึงตั้งชื่อลูกเป็นชื่อศิลปินนักร้อง ตอนนี้ลูกๆ ของพ่อสนที่ไม่ได้เอ่ยนามล้วนออกเรือน มีครอบครัว บ้างเสียชีวิต ลูกๆ ที่ยังอยู่กับพ่อสน แม่พร จึงมีสี่คนที่ว่า (ส่วนลูกชายอีกคนหนึ่งของพ่อสนที่เคยโด่งดังในม็อบปากมูนเมื่อหลายปีก่อน จนหนังสือพิมพ์หลายฉบับต่างเขียนถึงและลงบทสัมภาษณ์ คือดาวไฮปาร์คเด็กที่ชื่อ เปาโล ตอนนี้เปาโลโตเป็นหนุ่ม แต่งงานมีลูกแล้ว) ดาวใจกับไพจิตร เป็นเด็กหญิงที่ร่าเริง…