Skip to main content

 

ตาน้ำ

ช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้นเองที่แม่หลบมารดน้ำให้หัวใจ

รินลมหายใจแผ่วๆ ช้าๆ

ตาน้ำ

ช่วงเวลาสั้นๆ เท่านี้เอง แต่มันทำให้แม่มีความสุข เพราะแม่สงบ ปลอดโปร่ง


สำหรับคนอย่างแม่ แต่ไหนแต่ไร การมีเวลาว่าง จิบกาแฟช้าๆ มองยามเช้าเคลื่อนไหว มองแดดสายพยับน้ำ มองสายธารกระพริบเล่น มองสายลมวนตามฤดูกาล เป็นเรื่องปกติธรรมดา กระทั่งเป็นกิจวัตรไปแล้วด้วย หากช่วงไหนไม่ค่อยได้ใช้เวลาอย่างที่ว่า แม่จะรู้สึกถึงความเหนื่อยอ่อนข้างใน แม้ว่าชีวิตรอบข้างยังอยู่ดี ไม่ได้ทะเลาะใคร ไม่ได้ทำร้ายใคร ไม่ได้โมโหโกรธาใคร แต่แม่ก็จะอยากหลบมุมสำหรับโลกภายในของแม่เอง


แม่รู้ตัวอยู่ว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนปกตินักสำหรับโลกใบนี้ สิ่งที่ทำ สิ่งที่เลือก ไม่ค่อยตรงกับใจใครคนอื่น (ส่วนใหญ่) แต่แม่ก็สำรวจตัวเองเสมอว่า สิ่งที่แม่ทำลงไปนั้นทำให้ใครเดือดร้อนหรือไม่ มันผิดหรือไม่ หากไม่ แม่ก็ไม่ลังเลถ้านั่นคือสิ่งที่ใช่สำหรับตัวแม่เอง เพียงแต่อาจต้องรับมือกับแรงเสียดทาน แรงคัดค้าน ของคนรอบข้างบ้าง


แต่แม่ก็ชินจนเกือบทำให้มันเป็นภาวะสุญญกาศแล้ว (ถ้าทำได้ก็ขั้นเทพแล้ว ตาน้ำ)


บทกวีของท่านเว่ยหลางไง ที่บอกว่า ถ้าไม่มีกระจก ฝุ่นละอองก็ไม่มีลงเกาะ เราก็ไม่ต้องเช็ดอะไรเลย (ก่อนหน้านี้มีพระรูปหนึ่งเขียนโคลงไว้ว่า ใจคนเปรียบเหมือนกระจก ถ้าไม่หมั่นเช็ดถูฝุ่นละอองก็ลงเกาะ ท่านเว่ยหลางเป็นเพียงเด็กวัดที่รอนแรมมาอาศัยอยู่เห็นเข้าจึงแอบเขียนโคลงของตนไว้ข้างๆ ว่า ถ้าไม่มีกระจกเสีย ฝุ่นละอองจะเกาะจับอะไรได้)


ตาน้ำ ภาวะที่จิตใจไม่มีอะไรเลย เป็นปรัชญาแบบเซน แม่ชอบอ่าน บางบทก็ชอบมาก แต่บางบทก็ไม่เข้าใจหรอก ยังโง่อยู่เลย อีกนานแหละกว่าจะคลี่คลาย


ซึ่งชีวิตแบบนี้ เราจำเป็นต้องมีเวลานะ ตาน้ำ


เวลาที่เราจะได้รินลมหายใจช้าๆ แผ่วๆ มองความเป็นไปแบบกลวงโบ๋ ว่างเปล่า ไม่ต้องไปคิดอะไร แม่รู้สึกว่ามันเป็นสภาวะชำระจิตใจ หากได้ใช้เวลาอย่างนี้บ้าง จิตใจก็จะใสสะอาด เบาสบายขึ้น


แม่แคร์เรื่องการดูแลความรู้สึกคนนะ ตาน้ำ แคร์จนบางทีก็รู้สึกว่ามันมากเกินไป พอแก่ตัวขึ้นแม่เลยเลือกที่จะพบเจอผู้คนให้น้อยลงเพราะกลัวว่าตัวเองอาจเผลอไปทำร้ายหรือระคายเคืองคนอื่นเข้าอย่างไม่ตั้งใจ (โดยเฉพาะในยามที่ไม่ค่อยมีสมาธิกับชีวิตนัก) แม่เลือกที่จะอยู่กับธรรมชาติให้มาก เพราะธรรมชาติทำให้ใจแม่สงบ ไม่วุ่นวาย


ด้วยเหตุนี้แหละ ตาน้ำ แม่ถึงเลือกที่จะให้ลูกเกิดและเติบโตที่นี่ แม้ว่ามันอาจมีปัญหา อุปสรรค ความไม่สะดวก บ้าง แต่ธรรมชาติและอากาศที่บริสุทธิ์ปลอดโปร่ง คือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับลูกในวัยนี้ (ใครบางคนบอกแม่ว่า สำหรับเด็กทารกแล้ว เขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าอากาศบริสุทธิ์และนมแม่) แม่อยากให้ลูกจิตใจอ่อนโยน เยือกเย็น จึงเลือกที่จะอยู่กับธรรมชาติ แต่ก็ไม่กล้าคาดหวังนักหรอก เพราะของอย่างนี้ เขาว่ายิ่งคาดหวัง มักได้ตรงกันข้าม (จริงหรือเปล่านะ?)


ตาน้ำ การเลือกเป็น เลือกทำในสิ่งที่ไม่เหมือนคนอื่นเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความมั่นคงของจิตใจมากพอสมควร ลูกจะเป็นคนเช่นนี้ได้ ลูกต้องมีความดื้อรั้นระดับหนึ่ง แล้วมีแรงขวนขวายให้มาก ไม่ว่าความรู้ หรือประสบการณ์ เพราะสองสิ่งนี้ จะเพิ่มความรู้ให้ลูก เมื่อลูกมีความรู้ ลูกก็จะมีความมั่นใจ ไม่ใช่การมั่นใจอย่างไร้สติ ไร้ข้อมูล


ทุกวันนี้ แม่พยายามทำงานให้มาก เพื่อจะให้ลูกได้มีโอกาสเรียนรู้ให้มาก แม่ไม่เคยคาดหวังสิ่งใดจากลูก นอกจากแม่อยากเห็นลูกเติบโตอยู่บนโลกนี้อย่างสง่างาม ไม่เอาเปรียบใคร ไม่รังแกใคร แต่ก็เอาตัวรอดได้


ตาน้ำ รู้ไหม สิ่งที่แม่กลัวที่สุดในฐานะคนเป็นแม่คืออะไร


แม่กลัวลูกถูกรังแก ถูกคนหลอก ถูกเอารัดเอาเปรียบ รู้ไม่เท่าทันเล่ห์กลคนโกงคนโฉด แม่เพิ่งพูดกับเพื่อนเมื่อไม่นานนี้เองว่า “ฉันไม่อยากให้ลูกเป็นคนมองโลกในแง่ดี ฉันอยากให้มันเห็นแก่ตัวบ้าง อยากให้มันเอาตัวรอดได้ ไม่ถูกใครเอาเปรียบหรือหลอกมัน"


และแม่ก็ไม่อยากให้ลูกเป็นคนขี้สงสาร เพราะความขี้สงสารมันย้อนกลับมาทำร้ายคนคนนั้นมานักต่อนักแล้ว


แม่รู้ ว่าแม่หยาบกระด้างขึ้น แต่โลกทุกวันนี้น่ากลัว ตาน้ำ มันไม่ได้สวยงามอย่างที่แม่เคยมองเห็นอีกต่อไป (มันอาจเลวร้ายอย่างนี้อยู่แล้ว แต่แม่เพิ่งค้นพบ หรือมันอาจเพิ่งเลวร้ายมากขึ้นไม่นานมานี้เอง เพราะโลกของเราเปลี่ยนไป มันคืออย่างไหนไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ มันสวยงามก็เพียงด้านเดียว และลูกจะต้องเรียนรู้ทั้งสองด้าน)


แต่ก่อนแม่ไม่เคยเข้าใจว่าทำไม พ่อแม่ของแม่ (ตายาย) จะต้องเข้ามาจ้ำจี้จ้ำไชชีวิตแม่มาก แม่เคยคิดว่า เจ็บก็เรื่องของแม่ แม่รับผิดชอบเอง แม่ไม่ได้ทำให้ใครเจ็บปวดด้วยนี่ แต่เปล่าเลย ตาน้ำ แม่เพิ่งมารู้สึกเอาตอนมีลูกนี้เองว่า ‘เจ็บก็เรื่องของฉัน’ นั้น เป็นแค่ความคิดของลูกผู้ดื้อรั้นแต่โง่ (แม่หวังว่าลูกจะดื้อและเฉลียวฉลาด) แม่ไม่เคยรู้เลยว่า ทุกครั้งที่แม่เจ็บ ปิดประตูห้องร้องไห้ ใครกำลังยืนสะอื้นร้องไห้มากยิ่งกว่าอยู่นอกห้องนั้น


ตาน้ำ ทุกครั้งที่ลูกอยู่ในอ้อมกอดของคนอื่น ลูกยิ้ม แม่ก็พลอยสุขใจ แต่หากเมื่อไหร่ลูกร้องไห้ โยกตัวหนีจะหาแม่ แม่รู้สึกได้ ว่าแม่อยากรับลูกมาอยู่ในอ้อมกอดแม่โดยเร็วที่สุด แม่ไม่อยากเห็นลูกร้องไห้ ไม่อยากเห็นลูกทุกข์ใจ แม่ห่วงใยสารพัดว่ายามใครพาลูกเดินลับตา เขาดูแลลูกดีหรือไม่ เขาเอาอะไรให้ลูกกิน เขาเข้าใจความต้องการ ความรู้สึกของลูกหรือไม่ เขาถนุถนอมจับต้องลูกอย่างอ่อนโยนเพียงพอไหม


ตาน้ำ แม่เพิ่งเข้าใจอย่างลึกซึ้งเดี๋ยวนี้เอง ว่าตลอดสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา พ่อแม่ (ตายายของลูก) เขารู้สึกอย่างไร


ทุกครั้งที่แม่โทรศัพท์บอกพ่อแม่ว่า ไม่ต้องเป็นห่วงนะ หนูสบายดี แม่รู้แล้วว่า คนฟังก็เพียงแค่ฟัง แต่ไม่มีวันหรอกที่เขาจะไม่ห่วง ห่วงอันนี้มันจะติดตามไปจนชั่วชีวิต

ฉันเลี้ยงแกมา ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าแกเป็นคนยังไง”

(ประโยคคลาสสิคในหนัง The joy luck club)

.....

 

ตาน้ำ โตขึ้นลูกจะเป็นคนอย่างไรนะ


แม่ว่าแม่จะไม่คาดหวัง แต่ไปๆ มาๆ แม่ก็คาดหวังมากมายไปหมด อยากให้ลูกเยือกเย็นอ่อนโยน แต่ก็เข้มแข็งหนักแน่นมั่นคง อยากให้ลูกเป็นคนดี แต่ก็อยากให้ดีโดยไม่เบียดเบียนตัวเอง เอาตัวรอดได้


ตาน้ำ

แม่ห่วงลูก แม่อาจกังวลล่วงหน้าหลายอย่าง

แต่บางทีนะ บางที ลูกอาจไปได้ดีกว่าแม่ ทำได้ดีกว่า เข้าใจโลกและชีวิตได้ดีกว่า และแม่อยากให้เป็นเช่นนั้น

 

รักลูก

แม่สร้อย

๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๒

 

 

 

 

บล็อกของ สร้อยแก้ว

สร้อยแก้ว
นั่งดูบอลคู่นี้อย่างไม่ตั้งใจนัก เผอิญว่ากดรีโมทโทรทัศน์มาเจอเข้าพอดี เลยคิดว่าอยากจะเชียร์บอลไทยสักหน่อย ดูเวลาการแข่งขันตอนนั้นก็เข้าสู่นาทีที่เจ็ดสิบกว่าแล้ว ไทยนำอยู่ 2-1 ดูไปได้ไม่ทันไร ก็มาถึงจังหวะการกระโดดแย่งบอลกันกลางอากาศ นักเตะไทยเป็นฝ่ายกระโดดได้สูงกว่าและโดนลูกบอล แต่เมื่อเท้าแตะถึงพื้น นักเตะไทยวิ่งต่อ ส่วนนักเตะเลบานอนลงไปนอนกับพื้น เอากุมหัว ดิ้นอย่างเจ็บปวดสักพักเมื่อเขาลุกขึ้น สิ่งที่เห็นก็คือเลือดอาบหน้าและสองมือที่กุมเอาไว้ เลือดออกเยอะมากขนาดที่เห็นแล้วต้องเบะปาก ขณะที่เพื่อนร่วมทีมวิ่งมาดู นักเตะไทยเดินยิ้ม ยักไหล่ แพทย์สนามก็มาช้าเหลือเกิน เกมรึ…
สร้อยแก้ว
หลังการจากไปของพี่ปุ๋ย (นันทโชติ ชัยรัตน์) วันหนึ่งของต้นฤดูหนาว พี่แป๊ะ ภรรยาพี่ปุ๋ยก็มีดำริจะปลูกบ้านเป็นของตัวเองเสียที โดยพี่แป๊ะได้ซื้อไม้จากบ้านเก่าหลังหนึ่งไว้ ก่อนการเริ่มต้นปลูกบ้าน พี่แป๊ะจึงต้องหาคนมารื้อเอาไม้จากบ้านเก่าก่อน ซึ่งก็ได้น้องนุ่งแรงดีจากลุ่มน้ำมูนและหนุ่มในเมืองอย่างเอก และผู้อาวุโสแต่หัวใจวัยรุ่นอย่างพ่อถาหนึ่งในแกนนำปากมูน แห่งบ้านนาหว้า มาช่วยกันคนละไม้ละมือ
สร้อยแก้ว
(ขอความกรุณาสวมเสื้อขาว, สีฟ้า หรือสีที่ดูเหมาะสม ยกเว้นอย่าสวมเสื้อสีเหลืองหรือสีแดง เพราะจะทำให้แตกสามัคคี) ข้อความในวงเล็บนี้ทำเอาฉันอมยิ้มจนเกือบเผลอหัวเราะนี่คือจดหมายเชิญเดินเทิดพระเกียรติของชมรมผู้สูงอายุตำบลหารแก้วที่ประธานชมรมถึงกับควบมอเตอร์ไซค์แถดๆ มาหาพ่อถึงบ้าน
สร้อยแก้ว
 ฉันมีโอกาสไปร่วมงานรางวัลลูกโลกสีเขียว ครั้งที่ ๑๐ ปีนี้ เลยทำให้อดคิดไม่ได้ว่า รางวัล มีความหมายอย่างไรต่อชีวิตคนบ้าง ลองเปิดพจนานุกรมฉบับบัณฑิตยสถานดู เขาก็บอกว่ารางวัลคือ สิ่งของหรือเงินที่ได้มาจากความดี ความชอบ หรือความสามารถย้อนทบทวนตอนเด็กๆ รางวัลแรกของฉันมาจากการวิ่งได้ที่ ๓ จากการวิ่งแข่งกันสี่คน (เกือบไป!) โชคดีได้ขึ้นแท่นรับรางวัลกับเขา ยิ้มแก้มแทบปริ และเมื่อถึงบ้านก็รีบเอาสมุดดินสอมาให้พ่อกับแม่ดู
สร้อยแก้ว
ไม่รู้ทำไม จู่ๆ ภาพของเพื่อนสนิทคนหนึ่งในวันที่เข็นรถเด็กที่มีเด็กหญิงวัยแปดเดือนนั่งยิ้มแฉ่งเดินเล่นยามเย็นนอกเมืองก็โผล่ขึ้นมาในห้วงคำนึงในวันฝนตก ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวกันเลยสักนิด เธอดูมีความสุขปลอดโปร่งใจดีเหลือเกิน เธอบอกฉันว่า แต่ก่อน เธอมองชีวิตแบบเอ็นจีโอ ใส่เสื้อผ้าฝ้าย ใช้ข้าวของอย่างประหยัด หน้าตาไม่แต่ง เธอเชื่อมั่นในวิธีคิดแบบนั้น ศรัทธาคนเหล่านั้น แต่วันเวลาก็ทำให้เธอเห็นว่าคนเหล่านั้นก็เป็นเพียงปุถุชนธรรมดาๆ เท่านั้น พวกเขาไม่ได้ดีอย่างที่เรามอบความศรัทธาให้ เธอไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงใช้ชีวิตตามแนวคิดอย่างนั้นได้อย่างเชื่อมั่นอยู่ตั้งหลายปี…
สร้อยแก้ว
สำหรับนักเขียน ยามคอมพิวเตอร์มีปัญหานับว่าเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว เพราะแต่ละวันไม่ว่ายังไงก็ต้องได้ลูบๆ เคาะๆ วันละนิดละหน่อยจนเคยชิน ครั้นเมื่อมันเกิดปัญหาขลุกขลัก แม้จะรู้สึกเซ็งๆ แต่ก็ต้องทนหอบหิ้วมันไปหาช่าง – คนที่เราคิดว่าเขารู้ดีกว่าเราแต่การเลือกช่างก็เหมือนการเลือกหมอรักษาอาการป่วยของเรานั่นแหละ หากยามใดเราไปเจอหมอที่วินิจฉัยโรคเราผิด จากที่ไม่ได้เป็นอะไรเลยแต่กลับบอกว่าเป็นโรคร้ายต้องผ่าตัดไปหลายยก เจ็บกาย เสียเวลา เสียเงิน เพื่อที่จะพบว่า ที่แท้เราไม่ได้เป็นอะไรเลย ความรู้สึกโกรธและไม่อาจทำใจยอมรับกับความสูญเสียที่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ…
สร้อยแก้ว
ชาวบ้านห้วยสะคามตื่นเต้น ใช้ไฟฟรี ประหยัดกันยกใหญ่! อยากให้พาดหัวข่าวแบบนี้ในหน้าหนังสือพิมพ์บ้างจัง แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องเล็กมากของประเทศ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ขัดแย้งใหญ่หลวงของบ้านเมืองยามนี้ นโยบายอะไรๆ ของรัฐบาลก็ไม่ดีทั้งนั้น ในฐานะที่ไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรมากเกี่ยวกับนโยบายประชานิยม แต่ว่าพอเข้าใจหัวจิตหัวใจของชาวบ้านตาดำๆ ซึ่งเวลาลงคะแนนเลือกตั้งเสียงของเขาก็มีค่าเท่ากับศาสตราจารย์หรือด๊อกเตอร์ในเมืองไทย เขาก็มองเห็นผลดีผลได้เท่าที่จับต้องได้ ไม่ต้องอ้างเอ่ยว่าเขาซื้อเสียงง่ายหรอก แต่เขาเห็นว่าเขาได้อะไรจากรัฐบาลชุดที่แล้ว (ยุคทักษิณ) เขาถึงเลือกและชอบ
สร้อยแก้ว
ภาพจาก http://www.blogth.com/blog/ddimg/uploadimg/20070514/093435918.jpgอาจไม่ต้องถึงขั้นเป็นคอบอล เป็นแค่ผู้นิยมกีฬาฟุตบอลก็คงต้องอยากดูเกมระหว่างแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด กับเชลซีเมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน ที่ผ่านมาว่าจะเป็นอย่างไร เปิดฤดูกาลของพรีเมียร์ลีก เชลซีเดินหน้าชนะทุกนัดเก็บมาได้เก้าคะแนนเต็ม เป็นการออกสตาร์ทที่สวยงามและทั้งนักเตะทั้งแฟนบอลเต็มไปด้วยความฮึกเหิม ขณะที่แชมป์เก่าอีกทั้งยังเป็นแชมป์ถ้วยฟุตบอลสโมสรยุโรปซะด้วย กลับเก็บมาได้เพียงสี่คะแนน แพ้บ้าง เสมอบ้าง จนแฟนๆ ชักใจคอไม่ดี แม้ฤดูกาลที่แล้วก็ออกสตาร์ทไม่ดีเหมือนกันแต่สุดท้ายก็ได้ถ้วย…
สร้อยแก้ว
โขงเจียมคือชื่ออำเภอหนึ่งของจังหวัดอุบลราชธานี อันเป็นที่รู้จักกันดีว่า เป็นเมืองที่เห็นพระอาทิตย์ขึ้นก่อนใครในสยามเพราะอยู่ทิศตะวันออกสุดของประเทศ และยังเป็นที่รู้จักอีกในฐานะที่มีแม่น้ำสายสำคัญของอีสานสองสายมาบรรจบคือแม่น้ำมูลและแม่น้ำโขง จุดที่บรรจบกันนั้นเรียกกันอย่างไพเราะว่า แม่น้ำสองสี โขงสีขุ่น มูลสีคราม (แต่ตอนนี้ขุ่นทั้งคู่ หากอยากเห็นมูลสีครามน่าจะเป็นช่วงหน้าแล้ง) โขงเจียมมีฐานะเป็นอำเภอ แต่อำเภอนี้เล็กเหมือนหมู่บ้าน ค่ำมาราวสักสองทุ่มก็เงียบแล้ว บางบ้านเข้านอน บางบ้านอาจจะยังนั่งพูดคุยกันอยู่หน้าบ้าน แต่คุยกันอย่างเงียบๆ ไม่กระโตกกระตาก สงบดีเหลือเกิน…
สร้อยแก้ว
ฤดูฝน นาพ่อสนเขียวไสวด้วยต้นข้าว ยามเช้าน้ำค้างชุ่มหญ้า ชุ่มพุ่มไม้ ครั้นเมื่อแสงแดดโผล่พ้นจากหมู่เมฆ ท้องนาสีเขียวยิ่งดูกระจ่างตา เหลียวมองรอบๆ แสนสบายตาสบายใจ เอ แล้วดอกอะไรกันหนอสีแดงขาว เป็นพุ่มไม้ใหญ่อยู่หน้าเถียงนาอีกแห่งนั่น ? เห็นแล้วก็อดคว้ากล้องเดินย่ำน้ำค้างบนคันนาไปหาดอกไม้นั้นไม่ได้ ไพจิตรเห็นก็วิ่งตามโดยทันใด เธอไม่ใส่รองเท้า ฉันบอกระวังหนาม ไพจิตรเงยหน้าขึ้นมองไม่ตอบอะไรนอกจากยิ้ม เธอทำให้ฉันอดคิดถึงครั้งหนึ่งเมื่อเราไปเที่ยวช่องเม็ก ด่านชายแดนลาวด้วยกัน
สร้อยแก้ว
ฉันถ่ายรูปไพจิตรไว้หลายรูปทีเดียว จนอดไม่ได้ที่จะเขียนถึงเธออีกครั้ง ด้วยความที่เธอบริสุทธิ์เหลือเกิน บ้านของไพจิตรอยู่ในหมู่บ้าน แต่เธอและครอบครัวมักชอบไปนอนเถียงนาที่มีวัว ควาย หมู หมา ไก่ เป็นเพื่อน ในหมู่บ้าน บ้านเรือนมักจะปลูกติดๆ กัน อันเป็นธรรมดาของสังคมหมู่บ้าน ซึ่งสมัยก่อน บ้านเรือนอาจปลูกไม่ชิดกันมากขนาดนี้ แต่เมื่อลูกหลานสร้างครอบครัวกันขึ้นมาใหม่ เริ่มปลูกบ้านหลังใหม่เพิ่ม ลักษณะหมู่บ้านจึงดูหนาแน่นขึ้น ครอบครัวของพ่อสนซึ่งรักความสันโดษเลยพากันไปนอนเถียงนาที่แสนจะเงียบสงบ อากาศเย็นสบาย และฉันก็มักไปนอนที่นั่นด้วยบ่อยๆ
สร้อยแก้ว
ดาวใจและไพจิตร เป็นชื่อของเด็กหญิงสองพี่น้อง ลูกสาวแม่พร พ่อสน คนดูแลสวน-สถานที่ของศูนย์ภูมิปัญญาไทบ้าน พ่อสนมีลูกทั้งหมดสิบคน ลูกชายสองคนก่อนหน้าดาวใจ ไพจิตร ชื่อไมโคร และ นูโว นัยว่าพ่อท่าจะชอบเสียงเพลงมากถึงตั้งชื่อลูกเป็นชื่อศิลปินนักร้อง ตอนนี้ลูกๆ ของพ่อสนที่ไม่ได้เอ่ยนามล้วนออกเรือน มีครอบครัว บ้างเสียชีวิต ลูกๆ ที่ยังอยู่กับพ่อสน แม่พร จึงมีสี่คนที่ว่า (ส่วนลูกชายอีกคนหนึ่งของพ่อสนที่เคยโด่งดังในม็อบปากมูนเมื่อหลายปีก่อน จนหนังสือพิมพ์หลายฉบับต่างเขียนถึงและลงบทสัมภาษณ์ คือดาวไฮปาร์คเด็กที่ชื่อ เปาโล ตอนนี้เปาโลโตเป็นหนุ่ม แต่งงานมีลูกแล้ว) ดาวใจกับไพจิตร เป็นเด็กหญิงที่ร่าเริง…