เมื่อถึงเทศกาลสำคัญที่ทุกคนได้ปลดปล่อยกันสุดเหวี่ยงอย่างสงกรานต์ คนจำนวนมากก็เลยถือโอกาสเมาหัวทิ่มมันทุกวันเช้ายันเช้ามืดอีกวันหนึ่ง ตื่นมาก็กินต่อ ไม่แค่นั้นความสุขทุกรูปแบบที่นึกได้ก็จะหามาปรนเปรอตัวเองให้สนุกสุดเหวี่ยง ถ้าออกไปนอกบ้านก็จะเจอสงครามสาดน้ำและลูบแป้งอย่างบ้าคลั่ง ก็คิดกันไปได้ว่านี่คงเป็นโอกาสเดียวของปีที่จะได้จับหน้าลูบตัวสาวๆสวยๆได้เต็มที่ เพราะทั้งปีได้แต่มองจับต้องไม่ได้เพราะเงื่อนไขของสังคม ต้องอาศัยโอกาสนี้ล่ะเข้าไปฉีดน้ำจุดสำคัญและยังนำแป้งไปจับต้องเนื้อกาย บางกลุ่มทำได้ถึงขนาดไปรุมล้อมจับจูบลูบคลำกันจนเป็นเรื่องราววุ่นวายเพราะสติหายเหลือแต่ความคึกคะนองเพราะมึนเมาและติดลมไปแล้ว แม้จะเก็บตัวอยู่กับบ้านก็ไม่วายต้องอยู่กับเพื่อนบ้านบางคนที่ขนเอาเครื่องเสียงและญาติสนิทมิตรสหายมาจัดงานเลี้ยงกินเหล้าเมายากันดังสนั่นหวั่นไหว จนกลายเป็นว่าช่วงสงกรานต์นี้คนที่รักความสงบสุขทั้งหลายต้องเตรียมกายเตรียมใจและวางแผนพักผ่อนไว้ให้ดีๆ ไม่งั้นอาจมีปัญหาแบบที่ครอบครัวต่อไปนี้เจอเข้าไปถึงสองต่อนะครับ
“เมื่อเทศกาลสงกรานต์ปีที่แล้ว ในวันทำซุ้มของคณะเพื่อรวมคนรุ่นพี่รุ่นน้องกลับมาเล่นน้ำด้วยกันนั้น พบว่าฝั่งตรงข้ามก็มีซุ้มเยื้องอยู่ ซึ่งใครๆต่างก็มองว่าเป็นซุ้มพวกแก๊งอันธพาล ผมจึงชวนเพื่อนๆ เขยิบซุ้มหนีออกไปหน่อยเพื่อป้องกันเรื่องเดือดร้อนรำคาญที่จะเกิดขึ้นได้ พอถึงวันนั้นก็มีการดื่มแอลกอฮอล์เพื่อความสนุกสนานและเครื่องเสียงของรถที่ผ่านไปมาบวกกับร้านขายของข้างๆก็ดั่งกระหึ่มปลุกเร้าอารมณ์จนคนออกมาโยกๆๆๆ กันมากมายละลานตาไปหมด ทั้งผู้หญิงผู้ชาย เนื้อตัวก็เปียกน้ำเสื้อผ้าลู่เรียบติดกับผิวหนัง จนมีการกระทบกระทั่งของวัยรุ่นแถวนั้นเป็นพักๆเพราะมีวัยรุ่นของอีกฝ่ายเข้ามาสาดน้ำเอาแป้งมาลูบหน้าลูบตัวๆสาวๆของอีกฝ่าย จนต้องแยกย้ายกันไปบางช่วง ผ่านไปสักพักก็เอาใหม่ยิ่งตกบ่ายๆร้อนๆ คนก็ยิ่งออกมาเล่นน้ำกันคับคั่งและแต่ละฝั่งก็มาโชว์เต้นยั่วยวนแข่งกันไปมา
จนประมาณบ่าย 3 โมง ก็มีขวดเบียร์ขว้างปามาที่ซุ้มพวกเรา พอหันไปก็มองเห็นว่ามีคนจากซุ้มตรงข้ามเดินมาทีซุ้มเรา 1 คน แล้ววิ่งเข้ามาต่อยรุ่นพี่คนหนึ่งของผม เพื่อนของพี่อีกคนจึงวิ่งเข้าไปช่วย พร้อมกับพวกเรา ผมซึ่งเห็นกลุ่มคนในแก๊งนั้นถือมีดดาบประมาณดาบซามูไร ฟันลงที่หลังพี่คนที่เข้าไปช่วยเพื่อน ซักพักจึงมีตำรวจเข้ามาห้าม ซึ่งหลังจากนั้นก็ไปที่โรงพักเพื่อไปให้ชี้ตัวผู้ต้องหา แต่พอหลังจากที่เข้าไปในห้องชี้ตัวแล้ว พี่ผมที่เข้าไปกลับออกมาจึงพูดให้ฟังว่า ตำรวจพูดประมาณว่า “เราพอจะยอมๆ กันได้ไหม” พี่ผมซึ่งไม่ยอมตำรวจจึงให้ไปชี้ตัวอีกครั้ง พี่ผมตอบและชี้ด้วยความมั่นใจ แต่ตำรวจก็ยังซักถามพร้อมกับพาตัวผู้ต้องหาออกมาด้วย ทำให้พวกเราคิดว่าตำรวจจะปกป้องพยานไม่ให้ผู้ต้องหาเห็นหน้าพยานไม่ใช่เหรอ แต่ทำไมกลับพาเขาออกมาให้เห็นหน้าพวกผมซึ่งเป็นพยาน จนพวกเรารู้สึกว่าตำรวจที่มารับเรื่องนี้เป็นญาติกับคนที่มีเรื่องกับพวกผม ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดความไม่เป็นธรรมที่ผมเจอเข้ากับตัวเอง
ผมและพวกพยายามเรียกนายตำรวจคนอื่นๆมาฟังเรื่องหรือรับรู้เรื่องราวด้วย ให้ได้รับรู้ว่าเพื่อนร่วมงานของพวกเขาเป็นอย่างไร เพื่อไม่ให้นายตำรวจคนนี้ทำแบบนี้อีก เพราะการกระทำเขาเป็นการแสดงความไม่เป็นธรรมอย่างมาก ซึ่งพวกผมรู้ว่าพวกเขากับตำรวจคนนี้เป็นญาติกันหลังจากมีอีกกรณีเกิดขึ้นตามมาเมื่อเรากลับไปที่บ้านแล้วเกิดเรื่องขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากคุณอาข้าพเจ้าโดนข้อหาบุกรุก ทำร้ายร่างกาย และต้องมาเจอกับตำรวจคนเดิมที่สถานีเดิมอีก
เนื่องจากตอนค่ำของวันนั้น เพื่อบ้านได้จัดงานเลี้ยงอย่างเอิกเหริกเพราะช่วงกลางวันเขามีการรวมญาติกันไปแล้ว พอลูกหลานพาคนเฒ่าคนแก่กลับไปส่งบ้านหมด พวกเขาก็เริ่มเปิดลานหน้าบ้านให้กลายเป็นงานเทศกาลย่อยไปเลยทีเดียว มีทั้งเวทีขนาดย่อม เครื่องเสียงขนาดใหญ่ โต๊ะอาหารวางเรียงรายให้คนนั่งกินนั่งดื่มกันได้เป็นสิบๆคน พอถึงเที่ยงคืนที่ทุกคนก็รู้ธรรมเนียมกันดีว่าต้องเลิกงานและลดการใช้เสียง เขาก็เลิกกิจกรรมบนเวทีปิดเครื่องเสียงใหญ่ แต่ยังคงเปิดเพลงอยู่และนั่งดื่มกินกันต่อไป สักพักมีคนมาอ้วกหน้าบ้านเรา คุณอาจึงออกไปห้ามปรามและไล่ไปเมื่อเดินไปดูก็เห็นเพื่อนบ้านดื่มเหล้าอย่างเมามากและเกิดการอาละวาดขึ้นด้วยหลังจากที่อาเข้าไปตักเตือน โดยเพื่อนบ้านเดินกลับไปถือมีดเดินไปมาแถวละแวกหมู่บ้าน และเกิดความหวาดกลัวแก่คนในหมู่บ้านอย่างมาก ซึ่งหลังจากที่คนเมานี้หมดสติลงที่สนามหญ้าสวนเด็กเล่นในหมู่บ้าน อาข้าพเจ้าก็ได้ช่วยพาไปส่งที่บ้าน แล้วเพื่อนบ้านคนนี้ก็รู้สึกตัวและไม่พอใจที่อาข้าพเจ้าเข้าไปยุ่งเรื่องของเขา หาว่ามาทำลายงานเลี้ยงทำให้เค้าเสียหน้ากับเพื่อนฝูงและญาติมาก เขาเจ็บใจแต่ทำอะไรไม่ได้จึงเอามือชกกำแพง พอวันรุ่งขึ้นชายคนนี้ไปแจ้งความว่าอาข้าพเจ้าบุกรุกบ้านและทำร้ายร่างกาย จนบาดเจ็บรวมถึงอยากได้เงินค่าเสียหายจำนวน 100,000 บาทด้วย โดยตำรวจที่รับแจ้งความก็เป็นคนเดิมกับที่มารับคดีทำร้ายร่างกายเมื่อเย็นวานนั่นเอง เรื่องบานปลายกระทั่งมีการต่อสู้กันในชั้นศาล เพราะตำรวจคนนี้บอกให้เอาเรื่องและส่งเรื่องฟ้องไปยังอัยการจนกลายเป็นเรื่องใหญ่”
วิเคราะห์ปัญหา
1. การทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บโดยใช้อาวุธ โดยอาจคาดเดาได้ว่าจะเป็นอันตรายโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นความผิดหรือไม่ การเข้ามาใช้กำลังห้ามปรามจะกลายเป็นการทะเลาะวิวาทที่สองฝ่ายต้องรับผิดและแบกรับความเสี่ยงไปเองหรือไม่
2. การเข้าไปห้ามปรามมิให้คนอื่นเข้ามาทำร้ายร่างกายเพื่อนหรือญาติพี่น้องที่ถูกทำร้ายถือเป็นการกระทำโดยสุจริต และกฎหมายต้องคุ้มครองสิทธิในการปกป้องชีวิตและร่างกายหรือไม่
3. เจ้าพนักงานตำรวจที่บิดคดีจากทำร้ายร่างกายเป็นทะเลาะวิวาทและไม่ปิดบังพยานและผู้เสียหาย หรือการทำให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างเจ้าทุกข์และผู้ต้องหา จะถือเป็นความผิดหรือไม่อย่างไร
4. หากเพื่อนบ้านทำให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญจะสามารถเข้าไปว่ากล่าวตักเตือนได้หรือไม่ หรือควรทำอย่างไรเพื่อให้เกิดความสงบสุข
5. การทำร้ายร่างกายตนเองจนได้รับบาดเจ็บจะทำอย่างไรให้พ้นข้อหาทำร้ายร่างกาย แม้จะเป็นเราที่เข้าไปในเขตบ้านของเขาจริงๆ แต่เพื่อส่งเขาให้ถึงบ้านเป็นการกระทำที่กฎหมายอนุญาตหรือไม่
6. การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจที่ไม่ดูแลสิทธิของเราที่ถูกละเมิดและพยายามยุงยงให้อีกฝ่ายดำเนินคดีอย่างไม่เป็นความผิดตามกฎหมายหรือไม่ จะเรียกร้องสิทธิได้อย่างไร
การนำกฎหมายมาแก้ไข
1. การทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บโดยใช้อาวุธ โดยอาจคาดเดาได้ว่าจะเป็นอันตรายโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถือเป็นความผิดต่อร่างกาย หากเป็นอาวุธร้ายแรงหรือทำให้บาดเจ็บสาหัสจะมีเหตุเพิ่มโทษ
2. การเข้าไปห้ามปรามมิให้คนอื่นเข้ามาทำร้ายร่างกายเพื่อนหรือญาติพี่น้องหรือแม้แต่ช่วยคนทั่วไปที่ถูกทำร้ายถือเป็นการกระทำโดยสุจริต และกฎหมายต้องคุ้มครองสิทธิในการปกป้องชีวิตและร่างกาย หากกระทำอยู่ในขอบเขตความเหมาะสมและได้สัดส่วนเพื่อปัดเป่าภัยที่มาถึง
3. เจ้าพนักงานตำรวจที่บิดคดีจากทำร้ายร่างกายเป็นทะเลาะวิวาทและไม่ปิดบังพยานและผู้เสียหาย หรือการทำให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างเจ้าทุกข์และผู้ต้องหา จะถือเป็นความผิดตามกฎหมายอาญาฐานการกระทำผิดต่อหน้าที่ของเจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรม
4. หากเพื่อนบ้านทำให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญจะสามารถเข้าไปว่ากล่าวตักเตือนได้แต่ต้องระวังมิให้เป็นการบุกรุก ควรแจ้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองหรือตำรวจเพื่อให้มาควบคุมให้เกิดความสงบสุข
5. การทำร้ายร่างกายตนเองจนได้รับบาดเจ็บควรนำสืบเรื่องลักษณะบาดแผลและพยานบุคคลที่เห็นเหตุการณ์รวมถึงพฤติการณ์ของเพื่อนบ้านในคืนนั้นไปนำสืบให้พ้นข้อหาทำร้ายร่างกาย แม้จะเป็นเราที่เข้าไปในเขตบ้านของเขาจริงๆ แต่เพื่อส่งเขาให้ถึงบ้านเป็นการกระทำที่กฎหมายอนุญาตเพราะเป็นการป้องกันเขาจากอันตราย และป้องกันภัยให้คนในหมู่บ้าน เนื่องจากมีความจำเป็น
6. การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจที่ไม่ดูแลสิทธิของเราที่ถูกละเมิดและพยายามยุงยงให้อีกฝ่ายดำเนินคดีเป็นความผิดตามตามกฎหมายอาญาและโทษวินัย จะเรียกร้องสิทธิให้เจ้าหน้าที่รับผิดได้
ช่องทางเรียกร้องสิทธิ
1. คดีที่มีการใช้กำลังทำร้ายกันโดยมีการกล่าวหาว่า เป็นการทำร้ายร่างกาย หรือทะเลาะวิวาท ซึ่งเป็นความผิดทางอาญา ต้องเริ่มคดีกันที่ฝ่ายปกครองและเจ้าหน้าที่ตำรวจของพื้นที่ซึ่งเกิดเรื่อง
2. หากเป็นเรื่องการเรียกร้องสิทธิในการได้ชดเชยความเสียหายด้วยนั้นก็ฟ้องร้องสู้คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องอาญากันในศาลอาญาไปในคราวเดียวกันเลย
3. หากต้องการเอาผิดเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องฟ้องที่ศาลอาญา แต่อาจให้ตำรวจคนอื่นสถานีอื่นหรือแจ้งจเรตำรวจ ช่วยด้วยการแจ้งความคดีกระทำผิดต่อหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมต่อตำรวจแล้วฟ้องในศาลอาญา และเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งฯไปในคราวเดียวกันก็ได้
4. ในคดีเดือดร้อนรำคาญจากเพื่อนบ้านสามารถแจ้งกำนันผู้ใหญ่บ้านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและตำรวจให้เข้ามาตรวจสอบว่าได้ขออนุญาต และสั่งให้ยุติการละเมิดสิทธิผู้อื่นในยามวิกาลได้
5. การกล่าวหาว่าทำร้ายร่างกายสามารถรวบรวมพยานและหลักฐานต่างๆ แล้วแจ้งต่อเจ้าหน้าที่บ้านเมืองให้นำไปประกอบเป็นสำนวนการดำเนินคดีได้ทันที แต่เมื่อตกเป็นจำเลยแล้วอาจต้องแต่งทนายเข้าสู้คดี
6. หากเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบสามารถร้องทุกข์ต่อผู้บังคับบัญชาได้ แต่ถ้าไม่คืบหน้าให้ร้องเรียนต่อ ปปช.
แนวทางแก้ไข
ในกรณีแรกใช้หลักการป้องกันสิทธิตามที่กฎหมายอนุญาต และกระบวนการยุติธรรม ซึ่งกรณีนี้มีพยานเห็นเหตุการณ์เยอะและเป็นการปกป้องสิทธิของสาธารณชนย่อมไม่มีความผิดทางอาญา หากไม่มีการใช้กำลังทำร้ายจนเกินกว่าเหตุ ส่วนในกรณีถูกปรักปรำว่าทำร้ายร่างกายใช้หลักความผิดต่อร่างกายในทางอาญา และกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ซึ่งกรณีนี้ต้องพิสูจน์ว่าเป็นการทำร้ายร่างกายมิใช่การทะเลาะวิวาท ส่วนกระบวนการที่ไม่เป็นธรรม รวมถึงการไม่ทำตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด ถือเป็นความผิดต่อหน้าที่ของเจ้าพนักงานเป็นคดีอาญาที่ฟ้องต่อศาลอาญาได้ โดยสามารถร้องเรียนผู้บังคับบัญชา หรือ ปปช. ให้มีการตรวจสอบ ทั้งนี้หากคดีไม่คืบหน้าสามารถแต่งทนายขึ้นทำคดีต่อไปได้