Skip to main content

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยแห่งชาติ (สกว.) กำหนดหัวข้อจับ “ตามหาอำนาจจีน รัสเซีย สหรัฐอเมริกา” โดยประเทศสหรัฐอเมริกา ให้มุ่งเน้นในประเด็นความมั่นคง/สิทธิมนุษยชนในสหรัฐอเมริกา/TPP/อุตสาหกรรมอาวุธ

หากจะจับตามหาอำนาจสหรัฐ ประเด็นความมั่นคง/สิทธิมนุษยชนนั้น เรื่อง การสอดส่องจารกรรมข้อมูลของหน่วยงานความมั่นคงสหรัฐในอินเตอร์เน็ต (State Surveillance and Espionage on Internet Activities) มาแรง

                หากถามว่าทำไมเราต้องติดตามข่าวจับจ้องใคร/ประเทศใด คงไม่ใช่ว่าเราอยากรู้เพียงสิ่งที่เขาได้ทำไปแล้ว หรืออดีตเท่านั้น แต่มันเป็นการมองเพื่อคาดเดาอนาคต เหมือนที่เราชอบคิดว่า

“ถ้ารู้ว่ามันจะออกมาแบบนี้ ฉันจะ.....ไปแล้ว”

                ประเทศมหาอำนาจจึงทุ่มเททรัพยากร และลงทุนในอุตสาหกรรมที่สามารถทำนายอนาคตได้อย่างอินเตอร์เน็ต ดังปรากฏอดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองอเมริกันเปิดเผยข้อมูลว่าหน่วยงานความมั่นคงสหรัฐ ร่วมมือกับ ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต/แอฟพลิเคชั่น ดักข้อมูลประชาชนทั่วโลกอย่างกว้างขวางเพื่อสอดส่องหาอาชญากรและผู้ก่อการร้ายในลักษณะ “เหวี่ยงแห” จนไปละเมิดสิทธิในข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชน “ผู้บริสุทธิ์” ทั่วโลก

                ศาสตร์แห่งการทำนายพฤติกรรมบนโลกออนไลน์เป็นส่วนผสมระหว่าง การให้บริการของผู้ประกอบการเสมือนฟรี บวกกับ การทำให้คนจำนวนมากมาใช้ชีวิตบนอินเตอร์เน็ต

พฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตของคนไทยนั้น กว่าครึ่งของผู้ใช้อินเตอร์เน็ตไทยออนไลน์ทุกวัน และยิ่งใช้มากขึ้นเมื่อประชากรไทยใช้สมาร์ทโฟนเพิ่ม และอินเทอร์เน็ตเริ่มแย่งชิงความสนใจไปจากการดูทีวี  การบริโภคสื่อดิจิตอลของคนไทยจึงเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าที่เคยมีการคาดไว้ เนื่องจากปัจจัยและความสะดวกต่างๆ ที่เอื้อต่อการ “ใช้ชีวิตออนไลน์” ที่กำลังเกิดขึ้นแล้วในประเทศไทย

การทำนายชีวิตคน จึงต้องอาศัย ข้อมูลส่วนบุคคลบนอินเตอร์เน็ต มากขึ้นเรื่อยๆ

คำถามสำคัญมาก คือ ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นของใคร   ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตยังเป็นเจ้าของข้อมูลเหล่านั้นมีสิทธิในการบริหารจัดการข้อมูลเหล่านี้ หรือผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตแอฟพลิเคชั่นเป็นเจ้าของข้อมูล มีอำนาจควบคุม โอนถ่ายข้อมูล ประมวลผล ซื้อขายข้อมูลเหล่านั้นเสมือนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เหนือข้อมูลเด็ดขาดไปเลยหรือยัง

เงื่อนไขในการเข้าใช้อินเตอร์เน็ตและบริการของแอฟพลิเคชั่นต่างๆ มีสถานะเป็นสัญญา มอบอำนาจในข้อมูลส่วนบุคคลไปให้เป็น “ทรัพย์สิน” ของบรรษัทผู้ให้บริการแล้วหรือไม่   หรือ ข้อมูลส่วนบุคคลยังคงเป็น “สิทธิมนุษยชน” ติดตัวผู้ใช้อินเตอร์เน็ตเสมอ

ระบบสัญญาที่ผู้ให้บริการฯ ใช้อยู่ในปัจจุบัน มักมีลักษณะเป็น “สัญญาสำเร็จรูป” ผู้ใช้บริการจำต้องตอบตกลงก่อนที่จะได้ใช้บริการ เราจึงมักต้องติ้กรับเงื่อนไขไปอย่างเสียมิได้ หรือบางทีก็ไม่ได้อ่านอะไรเลยด้วยซ้ำ

การบังคับให้ตกลงจึงมีลักษณะเป็นการด้อยอำนาจของฝ่ายผู้บริโภคในการเข้ารับบริการ หากมองในแง่การเข้าทำสัญญา นี่ไม่ใช่เสรีภาพในการเข้าทำสัญญาโดยคู่สัญญามีสถานะปราศจากการบังคับ

สิทธิมนุษยชนด้านเทคโนโลยีมีเรื่อง สิทธิในการเข้าถึงเทคโนโลยีและได้ใช้สอยความก้าวหน้าทางวิทยาการเพื่อความก้าวหน้าของมวลมนุษยชาติ  ซึ่งบางท่านบอกว่าไปกันใหญ่แล้ว  ถ้ากลัวนักก็อย่าใช้ ไม่ได้มีใครบังคับ        ลองถามใจตัวเองดูว่าใครคือคนที่บังคับให้เราใช้ ถ้าไม่ใช่เพื่อน ญาติพี่น้อง คนรัก เจ้านาย ลุกน้อง ที่ล้วนต้องติดต่อสื่อสารกันผ่านอินเตอร์เน็ตและแอฟพลิเคนสื่อสารชั่นทั้งหลาย   หรือเราจะย้อนกลับไปสู่ยุคที่ต้องเดินไปพบหน้าคุยกัน

ผู้ที่เดือดร้อนตัวจริงหากประชาชนไม่กล้าใช้บริการ ก็คือ ผู้ประกอบการทั้งหลายต่างหาก เพราะในตลาดที่มีการแข่งขัน ผู้บริโภคอาจเลือกไปใช้บริการจากยี่ห้ออื่น ซึ่งประกันความมั่นใจให้ได้มากกว่า   การรักษาความลับให้ลูกค้าจึงเป็นเสมือนเครื่องหมายการค้าที่บริษัทห้างร้านทั้งหลายต้องปกป้องไว้เท่ากับความลับของตัวเอง

ข้อมูลเหล่านี้มักมีเรื่อง “อ่อนไหว” มิควรเปิดเผยให้บุคคลทั่วไปได้รับรู้เพื่อประโยชน์ของเจ้าของข้อมูล  เช่นเดียวกับ พวกข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ป่วยจัดเก็บโดยสถานพยาบาล และลูกศิษย์ที่สถานศึกษาเก็บไว้  และยังรวมไปถึงข้อมูลที่หน่วยงานรัฐ รัฐวิสาหกิจเก็บไว้อีกจำนวนมาก

ดังปรากฏกรณีแฮคเกอร์ประกาศชัยชนะเหนือหน่วยงานของรัฐ ด้วยการขโมยข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนหรือผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ที่อัดแน่นไปด้วยข้อมูลอ่อนไหวสามารถนำไปแบล็คเมล์ได้

นี่ยังไม่นับธุรกิจขายตรงหรือประกันฯ ที่พยายามเจาะข้อมูลเหล่านี้เอาไปใช้ประโยชน์ทางการตลาดแบบมุ่งเป้าหมายรายบุคคลอีกด้วย

ปัจจุบันประชาคมโลก มีการปฏิรูปกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลขนานใหญ่เลย เริ่มตั้งแต่สหภาพยุโรปออกกฎหมายหลักในการคุ้มสิทธิในข้อมูลส่วนบุคคล และมีการวางกรอบกลไกตรวจสอบหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายให้เคารพสิทธิมนุษยชน   โดยได้ขยายการคุ้มครองออกไปด้วยการทำสนธิสัญญากับสหรัฐอเมริกาและจะขยายไปยังกลุ่มประเทศเครือจักรภพอีกด้วย   นั่นคือ ประเทศที่อยู่ในระบบตลาดเสรีมีประชาธิปไตย รับรองเรื่องนี้เป็นเงื่อนไขพื้นฐานในทางเศรษฐกิจดิจิตอลหมดแล้ว  

พลเมืองเน็ตของประเทศเหล่านั้นยังปกป้องสิทธิตัวเองได้ตั้งแต่เริ่มใช้บริการ โดยการออกแบบสัญญาเข้าใช้ร่วมกับผู้ให้บริการตั้งแต่ต้น

ส่วนไทย ยังไม่มีแม้แต่ พรบ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลฯ  แต่ต้องระวังการออกกฎหมายใหม่ให้เจ้าหน้าที่ล้วงตับดักข้อมูลส่วนบุคคลไป โดยอาศัยข้ออ้างด้านความมั่นคง ไว้ด้วยก็แล้วกันครับ  ไม่งั้นรัฐบาลไทย ก็ไม่ต่างอะไรกับรัฐบาลประเทศมหาอำนาจที่มีปฏิบัติการด้านความมั่นคงละเมิดสิทธิมนุษยชนผ่านนโยบายกฎหมาย นั่นเอง

ฤารัฐบาลไทยจะหันหัวเรือเศรษฐกิจดิจิตอลไปประเทศมหาอำนาจอีกขั้วอย่าง จีน และรัสเซีย โดยไม่สนใจอนาคตในกลุ่มตลาดเศรษฐกิจดิจิตอลเสรีประชาธิปไตย ซึ่งโตเต็มที่แล้ว

 

บล็อกของ ทศพล ทรรศนกุลพันธ์

ทศพล ทรรศนกุลพันธ์
การพัฒนาสิทธิแรงงานรับจ้างอิสระ (Freelancer) ต้องยึดโยงกับหลักกฎหมายสำคัญเรื่องการประกันสิทธิของแรงงานอันมีสิทธิมนุษยชนเป็นพื้นฐาน (Human Rights-Based Approach – HRBA) ไว้ เพื่อเป็นรากฐานทางกฎหมายในการอ้างสิทธิและเสนอให้ภาครัฐสร้างมาตรการบังคับตามสิทธิอย่างเป็นรูปธรรม ตั้งแต่การประกันรายได้รูปแบบ
ทศพล ทรรศนกุลพันธ์
การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของปัจเจกชนจากการเก็บข้อมูลและประมวลผลโดยบรรษัทเอกชนจำต้องปกป้องคุ้มครองสิทธิของเจ้าของข้อมูลตามมาตรฐานที่กำหนดหน้าที่ของผู้ควบคุมระบบตามกฎหมายด้วย เนื่องจากบุคคลหรือกลุ่มองค์กรเหล่านี้ทำหน้าที่ในการคุ้มครองสิทธิเจ้าของข้อมูลในหลายรูปแบบ อาทิ การให้ความรู้เกี่ยวกับสภาพปั
ทศพล ทรรศนกุลพันธ์
บุคคลแต่ละคนย่อมมีทุนที่แตกต่างกันไปทั้ง ทุนความรู้ ทุนทางเศรษฐกิจ ทำให้การตัดสินใจนั้นตั้งอยู่บนข้อจำกัดของแต่ละคนไม่ว่าจะเป็นการไม่รู้เท่าทันเทคโนโลยี ขาดความรู้ทางการเงิน ไปจนถึงขาดการตระหนักรู้ถึงผลกระทบต่อสุขภาพตนเองและผู้อื่นในระยะยาว ยิ่งไปกว่านั้นรัฐไทยยังมีนโยบายที่มิได้วางอยู่บนพื้นฐานข
ทศพล ทรรศนกุลพันธ์
บทบัญญัติกฎหมายที่ใช้เป็นรากฐานในการอ้างสิทธิในการมีส่วนร่วมของประชาชนเพื่อผลักดันให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนนั้น จะพบว่ารัฐไทยได้วางบรรทัดฐานทางกฎหมายที่รับสิทธิของประชาชนในการรวมกลุ่มกันเพื่อแสดงออกในประเด็นทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเริ่มต้นจากหลักการพื้นฐานสำคัญที่เชื่อมโยงเรื่องสิทธิม
ทศพล ทรรศนกุลพันธ์
เทคโนโลยีด้านการสื่อสารที่เข้ามามีอิทธิพลแทบจะทุกมิติของชีวิต ส่งผลให้พฤติกรรมด้านการปฏิสัมพันธ์ของประชาชนเปลี่ยนแปลงไปตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยี มีประชาชนจำนวนมากที่ใช้เทคโนโลยีในการหา “คู่” หรือแสวง “รัก” ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดการกระทำความผิดที่เรียกว่า Romance Scam หรือ “พิศวาสอาชญากรรม”&
ทศพล ทรรศนกุลพันธ์
เมื่อถามนักปกป้องสิทธิมนุษยชนว่าอยากเห็นสังคมไทยเป็นเช่นไรในประเด็นการมีส่วนร่วมต่อการกำหนดนโยบายสาธารณะ หรือมีความคาดหวังให้รัฐไทยปรับปรุงอะไรเพื่อส่งเสริมการพิทักษ์สิทธิมนุษยชนของกลุ่มเสี่ยง   นักปกป้องสิทธิมนุษยชนในไทยได้ฉายภาพความฝัน ออกมาดังต่อไปนี้
ทศพล ทรรศนกุลพันธ์
นักปกป้องสิทธิมนุษยชนผู้คร่ำหวอดอยู่ในสนามมายาวนานได้วิเคราะห์สถานการณ์การคุกคามผ่านประสบการณ์ของตนและเครือข่ายแล้วแสดงทัศนะออกมาในหลากหลายมุมมอง ดังนี้
ทศพล ทรรศนกุลพันธ์
สถานการณ์ในด้านสิทธิมนุษยชนในต่างประเทศนั้น มีความสัมพันธ์กับหลายปัจจัยที่อาจเกิดความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาการละเมิดต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชนภายในประเทศที่เกิดจากข้อค้นพบจากกรณีศึกษา มีปัจจัยดังต่อไปนี้1. สถานการณ์สิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องกับบริบทภายในประเทศ
ทศพล ทรรศนกุลพันธ์
บทวิเคราะห์ที่ได้จากการถอดบทสัมภาษณ์นักปกป้องสิทธิมนุษยชนมากประสบการณ์ ในหลากหลายภูมิภาคไปจนถึงความแตกต่างของการทำงานกับกลุ่มเสี่ยงที่มีปัญหาสิทธิแตกต่างกันไป   เป็นที่ชัดเจนว่าเขาเหล่านั้นมีชีวิตและอยู่ในวัฒนธรรมแตกต่างไปจากมาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชนและนิติรัฐที่ปรากฏในสังคมตะวันตก ซึ่งสะ
ทศพล ทรรศนกุลพันธ์
การคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงได้ถูกรับรองไว้โดยพันธกรณีระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนต่าง ๆ ให้ความสำคัญประกอบจนก่อให้เกิดอนุสัญญาเฉพาะสำหรับกลุ่มเสี่ยงนั้น ๆ ประกอบไปด้วย สตรี, เด็ก, เชื้อชาติ และ แรงงานอพยพ รวมถึง ผู้พิการ โดยกลุ่มเสี่ยงมีสิทธิที่ถูกระบุไว้ในปฏิญญาว่าด้วย
ทศพล ทรรศนกุลพันธ์
แนวทางในการสร้างนโยบาย กฎหมาย และกลไกเพื่อคุ้มครองสิทธิประชาชนจากการสอดส่องโดยรัฐมาจาการทบทวนมาตรฐานและแนวทางตามมาตรฐานสากลเพื่อสร้างข้อเสนอแนะเชิงนโยบายครอบคลุม 2 ประเด็นหลัก คือ
ทศพล ทรรศนกุลพันธ์
ต้นปี 2563 หลังจากการอ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคอนาคตใหม่ บรรยากาศความขัดแย้งทางการเมืองไทยที่ถูกกดไว้มาตั้งแต่หลังการรัฐประหาร 2557 ก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง เกิดการเคลื่อนไหวชุมนุมทางการเมืองเพื่อต่อต้านรัฐบาลกระจายไปทั่วทุกจังหวัดในรัฐไทย จุดสำคัญและเป็นเรื่องที่ไม่ปรากฏขึ้นมาก่อนในหน้าประว