เรื่องที่อยู่ในความสนใจของประชาชนผู้เสียภาษีไม่น้อย คือ ทำไมกองทัพไทยจึงต้องจัดซื้อ “เรือดำน้ำ” ตอนนี้ และซื้อของ “จีน” ด้วยเหตุใด
ขอข้ามประเด็นที่ไม่อยู่ในความชำนาญ คือ เรื่องยุทธศาสตร์ด้านการรบทางทะเลที่มีผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ว่าไทยไม่มีข้อพิพาททางทะเลกับใคร ภารกิจหลักคือ การป้องกันโจรสลัด การก่ออาชญากรรมข้ามชาติ และการบรรเทาภัยพิบัติธรรมชาติ ที่เหมาะกับการใช้เรือบนผิวน้ำมากกว่า ไว้ให้ท่านอื่นวิเคราะห์แทน เช่นเดียวกับประเด็น ความลึกความตื้นของอ่าวไทยที่ไม่อยู่ในวิสัยความเชี่ยวชาญ
ประเด็นที่อยู่จะวิเคราะห์ คือ ยุทธศาสตร์ด้านข่าวกรอง และเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งผู้อ่านหลายท่านอาจสงสัยว่าเกี่ยวอะไรกับ “เรือดำน้ำ”
ขอเท้าความไปถึง การผงาดขึ้นเป็นมหาอำนาจจักรวรรดินิยมของอังกฤษและสืบเนื่องมาจนถึงยุคของสหรัฐอเมริกา กล่าวได้ว่า สองประเทศนี้เห็นความสำคัญในการเชื่อมโยงเครือข่ายการสื่อสารครอบคลุมทั้งโลก เพื่อประมวลสถานการณ์ในพื้นที่ต่างๆ ที่อยู่ในเขตผลประโยชน์ของตนและสามารถติดต่อกับศูนย์บัญชากลางในประเทศได้อย่างฉับพลัน ก่อนที่จะส่งคำสั่งและติดต่อประสานงานกลับมายังพื้นที่ได้อย่างรวดเร็ว
“เครือข่ายโทรคมนาคม” จึงเป็นหัวใจหลักในการควบคุม “ข่าวกรอง” และ “สายบังคับบัญชา” รวมไปถึงปฏิบัติการ “ต่อต้านจารกรรม” และการบ่อนทำลายจากข้าศึก โดยในปัจจุบันข้าศึกของรัฐทั้งหลายมิใช่รัฐคู่แข่งอื่นๆ เท่านั้น แต่หมายรวมถึง องค์กรก่อการร้าย องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และภายหลังเริ่มมีการมองประชาชนในประเทศที่ต่อต้านรัฐ เคลื่อนไหวรณรงค์ในทิศทางที่รัฐไม่พอใจ ให้กลายเป็น “กลุ่มที่ต้องจับตา” ไปด้วย
ดังนั้น การควบคุม “เครือข่ายโทรคมนาคม” จึงกลายเป็นเรื่องความมั่นคงที่กองทัพสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากโลกเข้าสู่ยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ การทำสงครามการข่าวให้สัมฤทธิผล จึงต้องมีอำนาจควบคุม “โครงสร้างพื้นฐาน” ให้ได้
ข่าวที่ออกมาจากฝ่ายความมั่นคงไทยหลังรัฐประหาร จึงได้แก่ การพยายามให้ระบบอินเตอร์เน็ตไทยที่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ในต่างประเทศไหลผ่านช่องทางเดียว (Single Gateway) เพื่อให้ง่ายต่อการควบคุมของรัฐ เพราะสามารถใส่ตัวคัดกรองข้อมูล ดูดกักเก็บข้อมูลได้ ณ จุดเดียว ต่างจากปัจจุบันที่มีหลายช่องทาง รัฐควบคุมได้ไม่หมดตามข้อจำกัดด้านงบประมาณ และทรัพยากรบุคคล
ส่วนอีกประเด็นที่เชื่อมโยงกับเรือดำน้ำ คือ สายเคเบิ้ลใยแก้วที่เชื่อมโยงระบบคมนาคมไทยกับต่างแดนถูกวางไว้ใต้ทะเลนั่นเอง เครือข่าสายเคเบิ้ลใต้น้ำ นี่เองที่เป็นสิ่งสำคัญที่ ยุทธศาสตร์ด้านการข่าวกรองมักกล่าวถึงไว้ว่าเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันหรือเป็นเป้าหมายในการโจมตีมาเสมอ
จากข้อมูลอดีตสายลับ CIA และ NSA สหรัฐเปิดเผยไว้ในชุด Snowden Revelations พบว่า กรณีสหราชอาณาจักรส่งเรือดำน้ำ ดักดูดข้อมูลในเคเบิ้ลใต้น้ำ กลายเป็นประเด็นใหญ่และสร้างความเดือดดาลให้กับมิตรประเทศในเครือ NATO เป็นอันมาก เนื่องจากสหราชอาณาจักรได้ทำข้อตกลงกับสหรัฐในการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ได้รับจากการดักข้อมูลโดยการทะลวงเคเบิลใต้น้ำ
มิใช่เพียงประเทศอื่นๆที่โกรธเกรี้ยว แต่ประชาชนบริติชหรืออเมริกันก็ไม่พอใจมากเนื่องจากข้อมูลที่ดูดไปมีข้อมูลส่วนบุคคลของพลเมืองสองประเทศด้วยเช่นกัน ทำให้บรรษัทผู้ให้บริการ เช่น Yahoo Google Microsoft Amazon ฯลฯ ต้องออกแถลงการณ์ตอบโต้และเรียกร้องให้ตรวจสอบควบคุมภารกิจจารกรรมทั้งหลายโดยด่วน เนื่องจาก
การรุกล้ำความเป็นส่วนตัวของประชาชน เป็นการทำลายความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เป็นลูกค้าของบรรษัทนั่นเอง การส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิตัลจึงต้องระมัดระวังในประเด็น “ความไว้วางใจของผู้ใช้อินเตอร์เน็ต” ให้มาก
มองกลับมาไทย หลังรัฐประหาร กองทัพเรือได้รับมอบหมายหน้าที่ด้าน “สังคมจิตวิทยา” หรือเข้าใจง่ายๆว่า งานด้านข่าวกรองและการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อให้ประชาชนไม่กระด้างกระเดื่องต่อรัฐ
ฝ่ายความมั่นคงทำสงครามจิตวิทยา ภารกิจสำคัญ คือ การทำงานด้านข่าวกรองโดยการดูดข้อมูลผ่านเคเบิลที่เชื่อมไซเบอร์สเปซไทย กับ ฐานข้อมูลของบรรษัทไอทีในต่างประเทศ ดังข้อเสนอ Single Gateway
ล่าสุด การซื้อเรือดำน้ำจากจีน ทั้งที่จีนมีข้อพิพาทกับประเทศอื่นในอาเซียน เช่น เวียดนาม ฟิลิปปินส์ ซึ่งมีสหรัฐเป็นผู้อุปถัมภ์หลัก การซื้อเรือดำน้ำจีน จึงมีข้อสงสัยในการเป็นพันธมิตรกับจีนในภูมิภาคอาเซียนเพื่อต้านสหรัฐและมิตรประเทศอื่นในอาเซียนหรือไม่ แต่ไม่ใช่ประเด็นหลัก
ไทยต้องการอะไรจากเรือดำน้ำจีนที่มีเทคโนโลยีต่ำกว่าของประเทศอื่น จึงน่าสนใจกว่า
เรือดำน้ำจีน มาพร้อมความชำนัญพิเศษของจีนหรือไม่ เป็นที่ทราบดีว่าจีนมีศักยภาพในการทะลุทะลวงเข้าสืบข่าวจากโลกไซเบอร์ สงครามไซเบอร์ที่เพิ่งเกิดขึ้น จีนแฮ็คข้อมูลจากฐานข้อมูลเจ้าหน้าที่รัฐ และระบบประกันสังคมในสหรัฐสำเร็จครั้งใหญ่เมื่อเดือนที่ผ่านมา
ศักยภาพเรือดำน้ำจีนที่ไทยได้มา จะเป็นไปเพื่อปฏิบัติการชนิดใด จะเป็นเรือดำน้ำเพื่อปฏิบัติการจารกรรมและข่าวกรองหรือไม่ และเนื่องจากไทยไม่มีสงครามทางทะเลกับอริราชศัตรูนอกประเทศ แต่กองทัพคิดว่ามีสงครามติดพันกับศัตรูภายในประเทศ ประชาชนชาวไทยที่เห็นต่างกับรัฐบาล ต่อต้านรัฐบาลทหาร กลายเป็น ศัตรูที่ต้องเสาะหา สืบข้อมูล เพื่อทำลาย ไปแล้วหรือ
การดำเนินนโยบายความมั่นคงและปกป้องประเทศที่ประหยุดสุด คือ การสานความสัมพันธ์ทางการทูต และหากไทยมีผลประโยชน์ร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน แล้วล่ะก็ ใครหน้าไหนที่บังอาจก่อสงครามจนกระทบกระเทือนตลาด คงโดนประชาทัณฑ์จากทุกฝ่ายอย่างพร้อมเพรียงกัน
หากนโยบายการต่างประเทศที่ได้ผลคือ “เปลี่ยนสนามรบ เป็นสนามการค้า” นโยบายภายในก็ต้องเป็นการ “เปลี่ยนรัฐประหารให้กลายเป็นการ เข้าถึง เข้าใจ และพัฒนา”