มาตรการสำหรับการแก้ปัญหาความอดอยากหิวโหยที่เกิดจากภัยพิบัติธรรมชาตินั้นสามารถดำเนินการได้ใน 3 ช่วงเวลา ก็คือ การเตรียมตัวก่อนภัยพิบัติจะเกิด การบรรเทาและแก้ไขปัญหาในขณะเกิดภัยพิบัติ การเยียวยาและฟื้นฟูหลังภัยพิบัติผ่านไปแล้ว ในบทความนี้จะนำเสนอมาตรการและกรณีศึกษาที่ใช้ในการขจัดความหิวโหยในสถานการณ์ฉุกเฉินเหล่านั้น
1) การเตรียมการก่อนเกิดภัยพิบัติ
มาตรการป้องกันและรับมือกับภัยพิบัติที่สำคัญ ได้แก่ ระบบแผนที่ข้อมูลความเสี่ยงและความไม่มั่นคงด้านอาหาร และระบบเตือนภัยล่วงหน้า ซึ่งทำหน้าที่ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อประมวลผลความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติและภัยสงครามเพื่อให้รัฐและองค์การระหว่างประเทศจัดหามาตรการรับมือกับภัยพิบัติได้อย่างทันท่วงที เพื่อให้ประชาชนได้รับความช่วยเหลืออย่างรวดเร็วและทั่วถึงกันโดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงที่อาจได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง เทคโนโลยีสารสนเทศและการเฝ้าสังเกตข้อมูลผ่านระบบดาวเทียมได้เข้ามามีบทบาทในการจัดทำข้อมูลเหล่านี้เป็นอันมาก ในหลายระบบรัฐและปัจเจกชนสามารถเข้าถึงข้อมูลของระบบได้ตามเวบไซต์ทันที หรือมีการแจ้งเตือนทางอุปกรณ์สื่อสาร
ระบบแผนที่ข้อมูลความเสี่ยงและความไม่มั่นคงด้านอาหารที่ใช้ในการตรวจตราภาวะเสี่ยงต่อภัยพิบัติโดยตรง ได้แก่ ระบบแผนที่และการวิเคราะห์ความเสี่ยง (VAM) ของโครงการอาหารโลก ซึ่งได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี ค.ศ.2001 โดยระบบดังกล่าวจะทำงานร่วมกับระบบแผนที่ข้อมูลความเสี่ยงและความไม่มั่นคงด้านอาหารของแต่ละประเทศที่ร่วมโครงการ เพื่อทำการวิเคราะห์ข้อมูลความเสี่ยงให้แก่โครงการอาหารโลกในภารกิจฉุกเฉินในหลายพื้นที่ทั่วโลก ซึ่งระบบนี้มีประโยชน์ต่อการประเมินความเสี่ยงและความร้ายแรงของสถานการณ์วิกฤตกาลด้านอาหารมาก และยังได้มีการต่อยอดโครงการไปสู่การจัดตั้งคณะกรรมาธิการประเมินความเสี่ยงระดับภูมิภาคด้วย ทำให้การกำหนดเป้าหมายของโครงการอาหารโลก พัฒนาจากการประเมินตามสภาพภูมิศาสตร์ไปสู่การประเมินตามสภาพสังคมและเศรษฐกิจ นอกจากนี้ระบบแผนที่และการวิเคราะห์ความเสี่ยง (VAM) ยังมีส่วนช่วยพัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้าของโครงการอาหารโลกด้วย ทั้งในส่วนการกำหนดเป้าหมาย การเตรียมอุปกรณ์ การตรวจตรากลุ่มเสี่ยง การวางแผนงาน และนโยบายการจัดการภัยพิบัติ
ระบบเตือนภัยล่วงหน้าที่ใช้ในการตรวจตราสภาพความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติที่อาจนำมาซึ่งภัยพิบัติ ได้แก่ ระบบข้อมูลและการเตือนภัยล่วงหน้าด้านอาหารและเกษตรโลก (GIEWS) ขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ ระบบนี้มีบทบาทสำคัญในการทำงานร่วมกับคณะประสานงานในยามฉุกเฉิน (ECG) ขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติเพื่อจัดตั้งแผนงานขึ้นมารองรับภัยพิบัติในยามฉุกเฉิน การทำงานของระบบข้อมูลและการเตือนภัยล่วงหน้าด้านอาหารและเกษตรโลก (GIEWS) มีทั้งที่เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลภาคสนามและการเชื่อมต่อข้อมูลกับภาพถ่ายทางดาวเทียม เพื่อสร้างตัวชี้วัดที่แม่นยำมีประสิทธิภาพเพื่อการประเมินสถานการณ์ฉุกเฉินทางการเกษตร และให้ข้อมูลเพื่อการฟื้นฟูการเกษตรของประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างถูกต้อง นอกจากนี้ระบบยังได้ทำงานร่วมกับสำนักงานเพื่อประสานงานกิจการมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ (OCHA) ในการจัดทำข้อมูลและระบบตรวจตราผลผลิตทางการเกษตรไว้ให้แก่ผู้ที่สนใจเข้าชมได้ที่เวบไซต์ (ReliefWeb) และทำงานร่วมกันกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ในการจัดหาเงินทุนและเสบียงอาหารสำรองเพื่อส่งมาตรการความช่วยเหลือด้านอาหารให้ทันกับสถานการณ์ภัยพิบัติที่ทวีความรุนแรงขึ้น การเตือนภัยล่วงหน้าของระบบข้อมูลและการเตือนภัยล่วงหน้าด้านอาหารและเกษตรโลก (GIEWS) จะอยู่ในรูปแบบ “รายงานพิเศษ” หรือ “รายงานเตือนภัย” เพื่อเตือนภัยพิบัติและเหตุฉุกเฉินต่าง ๆ ที่อาจคุกคามต่อความมั่นคงด้านอาหารของภูมิภาคหรือประเทศที่สุ่มเสี่ยงต่อการได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ ซึ่งรายงานดังกล่าวสามารถเข้าถึงได้ทางเวบไซต์ของ FAO/GIEWS
มาตรการสำรองอาหาร เป็นมาตรการป้องกันที่เป็นหลักประกันให้แก่ประเทศผู้ประสบภัยพิบัติได้ดีอีกประการ คือ ความร่วมมือระหว่างประเทศในการสร้างระบบสำรองอาหารสำหรับยามฉุกเฉิน ได้แก่
- โครงการระบบสำรองข้าวของภูมิภาคเอเชียตะวันออก EAERR (ASEAN + ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้) ผลของโครงการ EAERR ทำให้เกิดการยกร่าง ข้อตกลงสำรองข้าวในยามฉุกเฉินของภูมิภาคอาเซียนบวกสามประเทศ (APTERR) ขึ้น ซึ่งเป็นการจัดทำข้อตกลงขึ้นเพื่อเพิ่มความเข้มแข็งของความร่วมมือระหว่างประเทศในประเด็นภัยพิบัติด้านอาหารให้มีเจตจำนงทางการเมืองที่ชัดเจน มีกฎหมายรองรับ
- ระบบข้อมูลเพื่อเฝ้าระวังภัยความมั่นคงด้านอาหาร (AFSIS) ซึ่งเป็นมาตรการของ ASEAN+3
นอกจากนี้ข้อตกลงสินค้าเกษตรภายใต้องค์การการค้าโลกยังได้กล่าวถึง มาตรการสำรองอาหารเพื่อสร้างความมั่นคงด้านอาหารภายในประเทศในยามฉุกเฉิน และการอุดหนุนโครงการกระจายอาหารของภาครัฐไว้ด้วย ข้อตกลงสินค้าเกษตรได้อนุญาตให้รัฐดำเนินมาตรการสำรองอาหารในสำหรับยามฉุกเฉินได้ โดยถือว่าโครงการสำรองอาหารและงบประมาณที่อุดหนุนหนุนนั้นอยู่ในหมวดการอุดหนุนภายในที่กระทำได้ (Green Box) ซึ่งกระทำได้ไม่จำกัด แต่ต้องพิสูจน์ได้ว่าวัตถุประสงค์และการดำเนินการของโครงการเหล่านั้นต้องเป็นไปเพื่อการรักษาความมั่นคงด้านอาหารในยามฉุกเฉินจริง กำหนดเงื่อนไขให้กลุ่มเสี่ยงเข้าถึงโครงการได้ง่าย
มาตรการภายในสำหรับประเด็นความขัดแย้ง และภัยธรรมชาติที่น่าสนใจ คือ ระบบเตือนภัยล่วงหน้า เพราะเป็นมาตรการที่มีลักษณะสัมพันธ์กับมาตรการระหว่างประเทศ และได้มีการเชื่อมระบบร่วมกับประชาคมระหว่างประเทศ ทั้งในส่วนที่เป็นการประมาณค่า ภาพถ่ายจากดาวเทียม และการทำรายงานเตือนภัยล่วงหน้า
ประเทศไทยได้จัดตั้งระบบเตือนภัยล่วงหน้าขึ้นภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งระบบเช่นว่า คือ
1) ระบบเตือนภัยธรรมชาติ ระบบนี้จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับ ภัยแล้ง คลื่นความร้อน ข้อมูลลุ่มน้ำปริมาณน้ำฝน อัตราการพังทลายของดิน สภาพความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศที่รุนแรง รวมถึงภัยธรรมชาติต่างๆที่อาจเกิดขึ้น เช่น พายุ
2) ระบบเตือนภัยโรคระบาด ระบบนี้จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับ โรคพืช โรคสัตว์ การแพร่ระบาดของแมลงและศัตรูพืช
หลังจากเหตุการณ์คลื่นยักษ์ถล่มจังหวัดแถบทะเลอันดามันของไทย ประเทศไทยได้จัดตั้งระบบเตือนภัยพิบัติธรรมชาติที่เกิดขึ้นจาก ธรณีพิบัติภัย และคลื่นยักษ์ถล่ม ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักนายกรัฐมนตรี ส่วนปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งตามสภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้น แผนพัฒนาการเกษตรแห่งชาติได้กำหนดให้รัฐบาลต้องบรรเทาปัญหาน้ำท่วม และปัญหาน้ำแล้งอย่างเป็นระบบ โดยจัดทำและดำเนินการตามแผนป้องกันภัยธรรมชาติ แผนเฝ้าระวังและเตือนภัย และแผนช่วยเหลือฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัย รวมถึงผู้ที่ได้รับความเสียหายจากธรรมชาติ
ประเทศที่จะได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติธรรมชาติรุนแรงที่สุด คือ ประเทศที่ยากจน และไม่มีมาตรการป้องกันมารองรับภัยธรรมชาติ จึงจำเป็นที่แต่ละประเทศต้องบรรจุแผนบรรเทาภัยธรรมชาติและระบบเฝ้าระวังภัยเข้าสู่ยุทธศาสตร์การพัฒนาแห่งชาติ การจัดทำระบบแผนที่ข้อมูลความเสี่ยงและความไม่มั่นคงด้านอาหาร ระบบเตือนภัยล่วงหน้า รวมถึงโครงการต่างที่เกี่ยวกับข้อมูลสถิติ จะต้องสร้างตัวชี้วัดที่ชัดเจน หลากหลาย และตอบสนองต่อความจำเป็นของกลุ่มเสี่ยงในแต่ละพื้นที่อย่างเฉพาะเจาะจงที่สุด
แม้จะมีมาตรการบรรเทาภัยพิบัติธรรมชาติ และระบบเตือนภัยล่วงหน้า ที่ดีจนสามารถบรรเทาความร้ายแรงของภัยพิบัติได้ในระดับหนึ่ง แต่กลุ่มเสี่ยง เช่น เด็ก สตรี และผู้ยากไร้ในชนบทก็ยังได้รับความเดือดร้อนจากภัยพิบัติธรรมชาติมาก เนื่องจากจะทำให้กลุ่มเสี่ยงเหล่านี้มีความสามารถในการเข้าถึงอาหารน้อยลงจากเดิมที่เข้าถึงได้น้อยอยู่แล้ว เป็นเหตุให้กลุ่มคนเหล่านี้อดอยากและอยู่ในภาวะทุพโภชนาการอย่างรุนแรง
2) การบรรเทาและแก้ไขความหิวโหยเมื่อเกิดภัยพิบัติ
มาตรการบรรเทาภัยพิบัติในปัจจุบันมักอยู่ในรูปแบบความร่วมมือผสมระหว่างรัฐกับองค์การระหว่างประเทศ และระหว่างองค์การระหว่างประเทศด้วยกันเอง มีทั้งที่ดำเนินการผ่านองค์กรชำนัญพิเศษและองค์การระหว่างประเทศภายใต้องค์การสหประชาชาติ อาทิ โครงการอาหารโลก (WFP) โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) สำนักงานเพื่อประสานงานกิจการมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ (OCHA) คณะประสานงานในยามฉุกเฉิน (ECG) ขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ ยูนิเซฟ (UNICEF) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ และธนาคารโลก ภายใต้กรอบความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDAF) โดยองค์การต่าง ๆ จะร่วมมือกันใช้ความชำนาญที่มีอยู่ดำเนินการส่งเสริมสิทธิด้านอาหารให้เกิดประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น
มาตรการบรรเทาภัยพิบัติของโครงการอาหารโลกภายใต้องค์การสหประชาชาติ (WFP) จะครอบคลุมปฏิบัติการในยามฉุกเฉิน 3 ระดับคือ
- ภัยพิบัติฉับพลัน เช่น คลื่นยักษ์ถล่มทำให้พืชผลเสียหาย บุคคลต้องอพยพออกจากพื้นที่
- ภัยพิบัติที่ค่อยๆ เกิดขึ้น เช่น การเกิดภัยแล้งจนพืชผลการเกษตรเสียหาย
- เหตุฉุกเฉินที่มีความซับซ้อน เช่น สงคราม ความขัดแย้งทางสังคม การลี้ภัยของประชากรจำนวนมาก
ในสถานการณ์ดังกล่าวโครงการอาหารโลกจะดำเนินงานร่วมกับทีมประเมินเหตุฉุกเฉินของสหประชาชาติเพื่อหามาตรการที่เหมาะสมเข้าไปช่วยเหลือ โดยสามารถของบประมาณฉุกเฉินจากบัญชีฉุกเฉิน (IRA) เพื่อนำไปซื้ออาหารและขนส่งไปยังพื้นที่ประสบภัยในช่วง 3 เดือนแรกของการช่วยเหลือ หากเลยช่วง 3 เดือนแรกมาแล้วยังจำเป็นต้องให้ความช่วยเหลือเพื่อฟื้นฟูเพิ่มเติมก็ต้องดำเนินการภายใต้ ปฏิบัติการฉุกเฉิน (EMOP) เพื่อร้องขอให้ประชาคมโลกส่งงบประมาณและอาหารมาร่วม โดยโครงการจะอยู่ในรูปแบบการแจกจ่ายอาหารให้ถึงกลุ่มเสี่ยง หรือโครงการจ้างแรงงานให้บูรณะพื้นที่แลกกับอาหาร
กลุ่มที่มีความสามารถในการอยู่รอดท่ามกลางภัยพิบัติทางธรรมชาติ และภัยสงครามได้ดีที่สุดคือ กลุ่มที่ดำรงชีวิตด้วยการเกษตรแบบพึ่งพาตนเอง ดังนั้นมาตรการที่จะตอบสนองต่อภัยพิบัติได้ดีจึงต้องส่งเสริม การเกษตร การปศุสัตว์ และการประมงที่สอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติของพื้นที่นั้น การฟื้นฟูวิถีชีวิตของชุมชนท้องถิ่นจึงเป็นมาตรการประกันสิทธิของกลุ่มเสี่ยงที่จำเป็นในการดูแลภาวะโภชนาการของกลุ่มเสี่ยงเป็นอันมาก ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว
ชุมชนที่ทำการเกษตรอย่างหลากหลาย มีการผสมผสาน การเพาะปลูกพืชหลายชนิด การปศุสัตว์ และการประมง เข้าด้วยกันในพื้นที่ของชุมชนโดยอาศัยฐานภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สอดคล้องกับสิ่งแวดล้อม จะทำให้ชุมชนเหล่านั้นมีความยืดหยุ่นเมื่อต้องประสบกับภัยพิบัติในรูปแบบต่าง ๆ
เมื่อเกิดภัยพิบัติเรื้อรังเป็นระยะนาน ระบบเศรษฐกิจและสถาบันตลาดมักจะล้มเหลวได้ง่าย ชุมชนที่จะสามารถยืดหยัดอยู่ได้ก็คือชุมชนที่มีเครือข่ายความสัมพันธ์แน่นแฟ้นสามารถปรับตัวรับภัยพิบัติในรูปแบบต่าง ๆ ได้
3) การเยียวยาและฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ
หากล่วงเลย 24 เดือนมาแล้ว ก็จะช่วยเหลือผ่านปฏิบัติการบรรเทาภัยเพิ่มเติมและฟื้นฟู (PRRO) โดยจะบูรณะชุมชนที่ได้รับความเสียหายเพื่อให้กลับมาสร้างความเป็นอยู่ที่ดีและมีความมั่นคงด้านอาหารได้ ซึ่งประกอบไปด้วย
- โครงการอาหารเพื่อการศึกษาและฝึกอบรม เป็นโครงการที่ให้อาหารเป็นตัวช่วยสนับสนุนให้เด็กและสตรีเข้ามาอบรมความเชี่ยวชาญ หรือ เรียนหนังสือ
- โครงการความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง เป็นโครงการช่วยเหลือกลุ่มเสี่ยงภัยอย่างต่อเนื่อง เช่น ผู้พิการ ครอบครัวที่สูญเสียหัวหน้า และผู้พลัดถิ่น ให้ได้รับความช่วยเหลืออย่างเหมาะสม
- โครงการบรรเทาทุกข์ผู้ลี้ภัย เป็นโครงการที่ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ลี้ภัยที่อยู่ในค่ายของประเทศที่รับการอพยพ
- โครงการอาหารเพื่อฟื้นฟู มักจะทำในรูปแบบทำงานแลกอาหารโดยจะเป็นการจ้างให้บูรณาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน
โครงการต่างของโครงการอาหารโลกจะตั้งอยู่บนพื้นฐานการให้เปล่า เพื่อฟื้นฟูให้กลุ่มเสี่ยงมีเวลาและทรัพยากรที่เพียงพอในการปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของครอบครัวและชุมชนให้กลับมาพึ่งพิงตนเองได้ในระยะยาว เช่น การจัดให้มีที่อยู่อาศัยถาวร สถานีอนามัย โรงเรียน ความเชี่ยวชาญทางเกษตรกรรม และเทคโนโลยีการผลิต ในการส่งความช่วยเหลือด้านอาหารเข้าไปในพื้นที่ทุรกันดานและมีเส้นทางขนส่งไม่สะดวก โครงการอาหารโลกก็จะจัดหายานพาหนะ หรือ สร้างเส้นทางขนส่งใหม่ขึ้นมารองรับ
มาตรการบรรเทาภัยพิบัติขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติจะมีทั้งที่เป็น โครงการบรรเทาภัยพิบัติเบื้องต้น และโครงการฟื้นฟูสภาพระยะยาว โดยมีรูปแบบความช่วยเหลือที่ค่อนข้างหลากหลายเพื่อให้ตอบสนองต่อสภาพปัญหาที่ต่างกันไป อาทิ
- การจัดหาปัจจัยผลิตที่หลากหลายให้แต่ละพื้นที่ที่มีความแตกต่างทางภูมิศาสตร์ เช่น อุปกรณ์การประมงสำหรับพื้นที่ชายฝั่ง เมล็ดพันธุ์พืช ปุ๋ย สำหรับพื้นที่ลุ่ม อุปกรณ์ปศุสัตว์สำหรับพื้นที่ดอน
- ความช่วยเหลือที่ละเอียดอ่อนสำหรับสถานการณ์ที่ซับซ้อน เช่น การให้ความรู้ และอบรมกลุ่มเสี่ยง เพื่อให้สามารถทำการเกษตรแบบพึ่งพาตนเองได้
- สร้างความเข้มแข็งให้แก่ความหลากหลายทางชีวภาพ เช่น การส่งเสริมให้เพาะปลูกพืชหลายชนิดในพื้นที่ รวมถึงให้เลี้ยงสัตว์บก สัตว์น้ำร่วมกันไปด้วยให้เต็มพื้นที่ แต่ต้องเหมาะกับสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่นด้วย
- ส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่น การส่งเสริมให้คนในท้องที่หันกลับไปทำการเกษตรที่สอดคล้องกับภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีอยู่ตั้งแต่อดีต
- สร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นโดยสร้างความมั่นคงด้านอาหารเป็นรากฐาน จึงมีการสร้างระบบตรวจตราข้อมูลด้านอาหารและเกษตรต่าง ๆ เพื่อเตือนภัยก่อนที่จะนำไปสู่ความขาดแคลนและการขัดแย้งในที่สุด
- ส่งเสริมให้รัฐมีมาตรการทางสังคมเพื่อประกันสิทธิของกลุ่มเสี่ยง (Social Safety-net) หรือองค์การริเริ่มจัดหาโครงการมาให้เอง
- เน้นการพัฒนาชนบทและการพัฒนาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยการปฏิรูประบบการเกษตรที่สอดคล้องกับธรรมชาติ เพื่อความมั่นคงด้านอาหารในระยะยาว
การดำเนินงานขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติครอบคลุมพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลก อาทิ การบรรเทาภัยสงครามในซูดานให้กลับมาอยู่ในภาวะสงบสุข การช่วยเหลือกลุ่มผู้ติดเชื้อเอดส์ในอัฟริกาใต้ การหามาตรการป้องกันการแพร่กระจายของโรคไข้หวัดนกและมีแผนรองรับสำหรับผู้ติดเชื้อ การฟื้นฟูผู้ประสบภัยคลื่นยักษ์ถล่มในเขตมหาสมุทรอินเดีย การฟื้นฟูผู้ประสบภัยพายุเฮอริเคนในเขตอเมริกากลาง
ภัยพิบัติธรรมชาติจะมีผลต่อชุมชนค่อนข้างมาก กระบวนการฟื้นฟูจะทำได้ยากขึ้นหากภัยพิบัติธรรมชาติเหล่านั้นทำให้บุคคล และชุมชน ต้องอพยพออกจากพื้นที่ประสบภัย การฟื้นฟูชุมชนจึงต้องอาศัยมาตรการระยะยาว การให้ความรู้ และอบรมกลุ่มเสี่ยงให้มีความเชี่ยวชาญด้านการเกษตรจนสามารถพึ่งพิงตนเองได้ จะเป็นการสร้างหลักประกันความมั่นคงด้านอาหารที่ดีที่สุดแก่กลุ่มเสี่ยงในชนบท และยังป้องกันสถานการณ์ขาดแคลนอาหารอย่างฉับพลันในอนาคตด้วย
ในยามที่เกิดภาวะฉุกเฉินเกษตรกรที่สามารถปรับตัวมาทำเกษตรกรรมที่อาศัยภูมิปัญญาท้องถิ่น และอาศัยทรัพยากรในท้องถิ่น จะได้รับความเดือดร้อนน้อยเพราะไม่ต้องพึ่งพิงเทคโนโลยี และปัจจัยการผลิต จากพื้นที่อื่นที่ต้องขนส่งผ่านเส้นทางคมนาคมที่อาจได้รับความเสียหายจากภัยพิบัติต่าง ๆ แต่การหนุนเสริมของเทคโนลีโดยไม่ทำให้เกิดการพึ่งพิงก็เป็นมาตรการเสริมที่ทำให้เกิดการฟื้นฟูและพัฒนาตนเองและชุมชมได้เร็วขึ้น
สกัดจากงานวิจัย สภาพปัญหาและแนวทางการพัฒนาสิทธิด้านอาหารตาม “แนวทางการสร้างความมั่นคงด้านอาหารขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ 2004”. 2555