Skip to main content

การบังคับใช้ พรบ.การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ที่ผลักดันออกมาในปี พ.ศ. 2550 และแก้ไขปรับปรุงออกมาในปี 25660 ภายใต้สถานการณ์ทางการเมือง โดยเดินทางผ่านรัฐบาลมาหลายยุคหลายสมัย แต่บริบททางการเมืองของการออกกฎหมายและการแก้ไขหรือพิจารณาร่างฎหมายฉบับนี้ ถูกผลักดันให้แก้ไขสำเร็จภายหลังการรัฐประหารด้วยกันทั้งสิ้น ครั้งแรกเป็นการเร่งผลักดันให้กฎหมายรีบมีผลบังคับใช้ เกิดขึ้นภายหลังการรัฐประหาร 2549 โดยกลุ่มคนที่ผลักดันการพิจารณากฎหมายก็คือกลุ่มของคณะรัฐประหาร ต่อมาในพ.ศ. 2554 มีการผลักดันให้แก้ไขกฎหมายในรัฐบาลของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่ภาคประชาชนคัดค้านไว้ การผลักดันกฎหมายจึงถูกชะลอไป ต่อมา พ.ศ. 2557 การรัฐประหารครั้งล่าสุดของประเทศไทย มีการเสนอให้รีบแก้ไขกฎหมายดังกล่าว โดยหาฟังเสียงคัดค้านใดจากประชาชน และถูกเสนอให้พิจารณาจนเกิดการบังคับใช้ฉบับแก้ไขใหม่สำเร็จในปี 2560 ขึ้น และบังคับใช้เป็นระยะเวลาเกินครึ่งทศวรรษแล้วจนถึงปัจจุบัน


สิ่งที่ปรากฎขึ้นหลังจากผ่านรัฐบาลมามากถึง 8 รัฐบาล พบว่าการบังคับใช้ในแต่ละช่วงมีความแตกต่างกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการและความต้องการของผู้มีอำนาจในการบังคับใช้กฎหมายในขณะนั้นด้วย


จากข้อมูลที่ปรากฏในสองช่วงของการศึกษาทำให้เห็นความแตกต่างของการบังคับใช้ พรบ. การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ อย่างชัดเจน โดยขอยกผลวิจัยของ วิชญาดา อำพนกิจวิวัฒน์ เรื่อง “พระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ภายใต้การเมือง 3 ยุค ตั้งแต่ปี 2550 ถึงปี 2560” จากวิทยานิพนธ์นิติศาสตรบัณฑิต มหาลัยเชียงใหม่ พ.ศ.2564 มาบอกเล่า ดังต่อไปนี้

ประการที่หนึ่ง ในช่วงแรกของการบังคับใช้กฎหมายถูกใช้อำนาจไปกับการปิดกั้นเว็บไซต์ โดยเนื้อหาที่ถูกปิดกั้นมากที่สุดคือ เนื้อหาเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ ตามด้วยเนื้อหาเกี่ยวกับภาพลามกอนาจาร และเนื้อหาเกี่ยวกับยาและการทำแท้ง ซึ่งสอดคล้องไปกับเจตนารมณ์ในการบังคับใช้กฎหมายด้วยการเพิ่มอำนาจดังกล่าวเข้ามา ส่วนลักษณะของการฟ้องร้องดำเนินคดีจะเป็นคดีหมิ่นประมาท, คดีอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ และสุดท้ายคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพฯ ตามลำดับ
บทบาทหน้าที่ของการบังคับใช้ พรบ. การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ในช่วงแรกจะเห็นชัดต่อการใช้เป็นเครื่องมือของรัฐบาลในการปิดกั้นการเข้าถึงเนื้อหา เพราะจะเน้นหนักไปกับเว็บไซต์ที่มีการเผยแพร่เนื้อหาเกี่ยวกับการเมือง ต่อต้านรัฐบาล หรือมีเนื้อหาพาดพิงสถาบันกษัตริย์ การปิดกั้นทำให้ประชาชนถูกจำกัดสิทธิและออกมาเคลื่อนไหวตอบโต้อย่างรุนแรง เพราะบางเว็บไซต์ที่ถูกปิดก็จะทำการเปิดเว็บไซต์ใหม่เพื่อเคลื่อนไหวตอบโต้ต่อไป และบางกรณีหากเป็นเว็บไซต์ที่มีเซิร์ฟเวอร์ (server) อยู่ต่างประเทศ ก็ไม่สามารถปิดกั้นการเข้าถึงได้ หรือต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการค่อนข้างนาน ทำให้ประชาชนยังสามารถเคลื่อนไหวตอบโต้ได้เรื่อยมาก แต่ภายหลังจากนั้นไม่นาน รัฐบาลได้อาศัยความร่วมมือกับผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตและผู้ให้บริการแพลตฟอร์มจากต่างประเทศ ทำการปิดกั้นเนื้อหาที่รัฐบาลเห็นว่าไม่เหมาะสมดังกล่าว ซึ่งทำให้ประชาชนตกอยู่ในสภาวะของการโดยจำกัดสิทธิและเสรีภาพอย่างรุนแรง
ส่วนการฟ้องร้องดำเนินคดีโดยส่วนใหญ่แล้วจะถูกใช้กับประชาชนที่ออกมาชุมนุมประท้วงบนท้องถนน หรือตามพื้นที่สำคัญต่าง ๆ ซึ่งลักณะของการฟ้องคดีจะเกี่ยวกับกับความมั่นคงฯ และสถาบันกษัตริย์ เป็นส่วนใหญ่ แต่การฟ้องร้องคดีทำให้บรรยากาศทางการเมืองอ่อนลง ประชาชนถูกบบรรยากาศความกลัวปกคลุม ทำให้การเคลื่อนไหวบนท้องถนน หรือการชุมนุมประท้วงลดจำนวนลง ซึ่งทำให้ประชาชนหันไปเคลื่อนไหวบนพื้นที่อินเตอร์เน็ตมากขึ้น ซึ่งก็สอดคล้องกับจำนวนของการปิดกั้นเว็บไซต์ที่สูงขึ้น
การวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทำให้นำไปสู่การฟ้องร้องดำเนินคดีหมิ่นประมาทบนพื้นที่อินเตอร์เน็ต ซึ่งถูกดำเนินคดีตาม พรบ. การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ทำให้เห็นอำนาจในการบังคับใช้ที่ถูกขยายออกไปสู่การปกป้องคุ้มครองรัฐบาลและบุคคลในรัฐบาล จำนวนคดีที่เกิดขึ้นเพิ่มสูงขึ้นอีกหลังจากที่ประชาชนตกอยู่ภายใต้การละเมิดสิทธิและเสรีภาพอีกครั้ง แต่ถึงอย่างไรนั้นการบังคับใช้กฎหมายไม่ได้เข้มข้น หนักมากดังที่ปรากฏในยุค คสช.

ประการที่สอง การบังคับใช้ในช่วงที่สอง คสช. สร้างภาระหนักให้กับ พรบ. การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งปรากฏเป็นจำนวนของคดีที่เกิดขึ้นอย่างมากมาย ประชาชนทั้งที่ออกมาเคลื่อนไหวบนท้องถนน หรือเคลื่อนไหวบนพื้นที่อินเตอร์เน็ต ถูกเรียกมาดำเนินคดีด้วยกันทั้งหมด รวมถึงบุคคลที่ คสช. เห็นว่ากระทำการไม่เหมาะสมก่อนการรัฐประหาร ก็ถูกเรียกตัวมาดำเนินคดีด้วย โดยให้เหตุผลว่า เพราะข้อมูลหรือเนื้อหาดังกล่าวยังปรากฏอยู่บนพื้นที่อินเตอร์เน็ตจึงยังถือว่ามีการกระทำความผิดอยู่ ทำให้ประเภทคดีที่เกิดขึ้นมากที่สุด คือ คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ, คดีเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร และคดีเกี่ยวกับหมิ่นประมาท ตามลำดับ
แต่ลักษณะของการปิดกั้นเว็บไซต์มีรูปแบบที่แตกต่างออกไปจากเดิม นอกจากจะไม่ใช้อำนาจตาม พรบ. การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ แล้ว ยังเน้นไปที่การขอความร่วมจากผู้ให้บริการที่อยู่ต่างประเทศ ประกอบกับประชาชนส่วนใหญ่เคลื่อนไหวบนพื้นที่อินเตอร์เน็ตมากขึ้น และแพลตฟอร์มที่ใช้มีผู้ให้บริการต่างชาติเป็นเจ้าของ การจะปิดกั้นการเข้าถึงเพียงลำพังคำสั่ง คสช. และ พ.ร.บ การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ไม่สามารถปิดกั้นได้ทั้งหมด จึงทำให้ต้องขอความร่วมมือจากผู้ให้บริการรายอื่น ซึ่งสอดคล้องกับเนื้อหาที่ถูกยื่นคำขอต่อผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตจากต่างประเทศปิดกั้นมากที่สุดคือ เนื้อหาเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยจะอยู่ในรูปแบบของการโพสต์หรือการตั้งสเตตัสเป็นส่วนใหญ่ จะมีรูปแบบของเพจหรือกลุ่มเป็นลำดับถัดมา
นอกจากนี้แล้ว คสช. ยังใช้อำนาจตาม พรบ. การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ คุ้มครองตนเองและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลด้วย ด้วยเหตุผลว่า หากรัฐบาลหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลถูกวิพากษ์วิจารณ์ จะส่งผลทำให้รัฐบาลเกิดความเสียหายและไม่มีความเชื่อถือหรือไม่ถูกเคารพจากประชาชนได้ ซึ่งจะทำให้ประชาชนเกิดความกระด้างกระเดื่องต่อรัฐได้ ด้วยเหตุผลดังกล่าวทำให้รัฐสร้างความชอบธรรมในการใช้กฎหมายไปละเมิดสิทธิของประชาชนได้โดยง่าย การขยายอำนาจทำให้เห็นถึงการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือทางการเมืองของรัฐด้วย

ประการที่สาม หลังจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งสองช่วง ทำให้เห็นว่ากฎหมาย พรบ. การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ถูกบังคับใช้ในการกดขี่ข่มเหงประชาชนหรือบุคคลด้วยเหตุผลทางการเมือง โดยเฉพาะการถูกใช้กับฝ่ายต่อต้านรัฐบาลหรือผู้มีอำนาจ โดยมีจุดประสงค์เพื่อที่จะกีดกัน ขัดขวางสิทธิ หรือการมีส่วนร่วมทางการเมือง ผ่านการใช้อำนาจโดยชอบธรรมตามกฎหมาย ทั้งการสร้างภาระให้กับฝ่ายต่อต้านรัฐบาล การจำกัดสิทธิในการแสดงออก การแสดงความคิดเห็น และรวมถึงสิทธิอย่างอื่นทางการเมืองอีกด้วย”

แม้รัฐบาลจะแปลงร่างผ่านการเลือกตั้งมาอยู่ในรูปรัฐบาลพลเรือนจากการเลือกตั้งแล้วแต่อุดมการณ์ยังคงเดิม แนวทางการบังคับใช้กฎหมายจึงยังมิต่างกัน ด้วยเหตุที่ฝ่ายความมั่นคงเป็นผู้ยึดกุมอำนาจนำในรัฐอยู่

หากลองพิจารณาเชิงยุทธศาสตร์และยุทธวิธีอาจเห็นร่องรอยการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของรัฐซึ่งแต่เดินใช้ความรุนแรงที่อาจเผชิญแรงกดดันจากประชาคมโลกเนื่องจากมีลักษณะของการการใช้ความรุนแรงในลักษณะอื่น กล่าวคือ จากเดิมความรุนแรงอาจจะเป็นการต่อสู้ อาวุธหรือกองกำลังต่าง ๆ  มาเป็นการทำนิติสงคราม โดยมีการฟ้องตบปากผ่านหน้าจอ โดยบังคับใช้ พรบ. การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ จะถูกใช้อย่างเข้มข้น และถูกใช้แทนที่อาวุธและการปรามบปรามแบบดั้งเดิมที่ใช้กองกำลังและบางกรณีมีการซ้อมทรมานและการบังคับให้สูญหายแบบในยุคสงครามเย็น ที่ใช้ พระราชบัญญัติป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ พ.ศ.2495 และกลไกของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ในการบดขยี้ศัตรูทางการเมืองโดยตรง ภายใต้การสนับสนับของมหาอำนาจโลก


สถานการณ์โลกของรัฐบาลในยุคดิจิทัลที่ต้องคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนและความเป็นประชาธิปไตยนี้ เครื่องมือสำคัญในการควบคุมประชากรจึงต้องละมุนละไมมากขึ้น จึงต้องปรับกลยุทธ์มาใช้อาวุธใหม่คือสิ่งที่เรียกว่า “กฎหมาย” โดยจะทำให้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการกดปราบ บังคับควบคุมทางการเมือง ซึ่งการกดปราบหรือควบคุมจะเกิดจากการตีความกฎหมาย หรือขยายอำนาจของกฎหมายออกไปให้บังคับครอบคลุมหรือให้เป็นไปตามที่รัฐบาลวางยุทธศาสตร์ยึดครองพื้นที่ทางการเมือง โดยเฉพาะพื้นที่สื่อสารออนไลน์ ผลสะเทือนของมาตรการอย่างร้ายแรงอย่างมากที่สุด คือ การทำให้ประชาชนฝ่ายต่อต้านรัฐบาลตกเป็นผู้ก่ออาชญากรรม/ผู้ก่อการร้าย ซึ่งหากพิจารณาตามกฎหมายนี้แล้ว พลเมืองผู้ตื่นตัวทางการเมืองเคลื่อนไหวบนพื้นที่อินเตอร์เน็ตจะกลายเป็นผู้ก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ อันมีผลลดสิทธิในการทีส่วนร่วมของประชาชนตามครรลองประชาธิปไตย

รัฐบาลหรือฝ่ายความมั่นคงจึงเร่งระดมผลักดัน แก้ไขเพิ่มเติม ขยายขอบเขตอำนาจ ผ่านทางอาวุธมหาประลัยที่เรียกว่า “กฎหมาย”  แล้วใช้กฎหมายเป็นเกราะป้องกันอำนาจหรือประโยชน์ของตนเองที่เคยมีให้คงอยู่สืบไป โดยไม่ปล่อยให้ประชาชนเข้ามาแทรกแซงหรือตรวจสอบ โดยทำให้กลุ่มผู้เห็นต่างกลายเป็นภัยต่อความมั่นคง ซึ่งการใช้อำนาจตามกฎหมายจะทำให้คงอำนาจของตนไว้ได้โดยปราศจากความรับผิดต่อความรุนแรงที่กระทำต่อประชาชน และการคงอำนาจไว้นั้นเป็นการกดปราบลดทอนสิทธิของพลเมืองด้วย โดยรัฐอ้างความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรงนั้นต่อไป จนกลายเป็นการสร้างวัฒนธรรมของการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน

การครองความเป็นใหญ่ในพื้นที่การเมืองของรัฐบาลยุคดิจิทัลที่มีเรื่องสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยเป็นกรอบการปกครองสากล  คือ การทำให้ยุทธศาสตร์สำเร็จโดยอาศัยยุทธวิธีการแปลงความรุนแรงป่าเถื่อนให้กลายเป็นกฎหมายของรัฐ  อันเป็นการแปลงอาวุธสงครามให้อยู่ในรูปของกฎหมาย ใช้เป็น “เครื่องมือในการปราบปรามทางการเมือง” อันเป็นลักษณะกฎหมายแบบอำนาจนิยมที่ประชาชนต้องชี้ว่าเป็น เผด็จการอำพรางในรูปกฎหมาย ให้ประชาคมโลกและเพื่อนพลเมืองทั่วโลกได้ถอดบทเรียน

บล็อกของ ทศพล ทรรศนพรรณ

ทศพล ทรรศนพรรณ
คำถามที่สำคัญในเศรษฐกิจการเมืองยุคดิจิทัล ก็คือ บทบาทหน้าที่ของภาครัฐรัฐท่ามกลางการเติบโตของตลาดดิจิทัลที่ภาคเอกชนเป็นผู้ผลักดันและก่อร่างสร้างระบบมาตั้งแต่ต้น  ซึ่งสร้างผลกระทบต่อชีวิตผู้คนในรัฐให้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางและลึกซึ้ง   อย่างไรก็ดีความเจริญก้าวหน้าของตลาดย่อมเกิดบนพื้น
ทศพล ทรรศนพรรณ
แนวทางในการส่งเสริมสิทธิคนทำงานในยุคดิจิทัลประกอบไปด้วย 2 แนวทางหลัก คือ1. การระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นภายในความสัมพันธ์ระหว่าง แพลตฟอร์ม กับ คนทำงาน2. การพัฒนารัฐให้รองรับสิทธิคนทำงานอย่างถ้วนหน้า
ทศพล ทรรศนพรรณ
เนื่องจากการทำงานของคนในแพลตฟอร์มดิจิทัลในช่วงก่อนหน้าสถานการณ์วิกฤตโรคระบาดนั้นยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นทำให้ปริมาณคนที่เข้ามาทำงานมีไม่มากนัก และเป็นช่วงทำการตลาดของเหล่าแพลตฟอร์มต่าง ๆ ในการดึงคนเข้ามาร่วมงานกับแพลตฟอร์มตนยังผลให้สิทธิประโยชน์เกิดขึ้นมากมายเป็นที่พึงพอใจของผู้เข้าร่วมทำงานกับแพลตฟ
ทศพล ทรรศนพรรณ
รัฐชาติในโลกปัจจุบันไม่เปิดโอกาสให้บุคคลเคลื่อนย้ายถิ่นฐาน ที่อยู่ แหล่งทำมาหากินได้อย่างอิสระ เสรีมาตั้งแต่การสถาปนารัฐสมัยใหม่ขึ้นในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลก   เช่นเดียวกับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่าง ไทย พม่า ลาว หรือกัมพูชา   ก็ล้วนเกิดพรมแดนระหว่างรัฐในลักษณะที
ทศพล ทรรศนพรรณ
นับตั้งแต่เกิดปรากฏการณ์ “สีเสื้อ”   สื่อกลายเป็นประเด็นสำคัญที่เป็นตัวสะท้อนภาพของคนและสังคมเพื่อขับเน้นประเด็นเคลื่อนไหวทางสังคมให้ปรากฏเป็นขบวนการทางการเมืองที่มีผู้คนเข้าร่วมอย่างมากมายมหาศาล และมีกิจกรรมทางการเมืองหลากหลายรูปแบบ   ดังนั้นอำนาจในการสื่อสารและการมีส่วนร่วมใ
ทศพล ทรรศนพรรณ
สังคมไทยเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลง แตกแยก และปะทะกันอย่างรุนแรงทั้งในด้านความคิด และกำลังประหัตประหารกัน ระหว่างการปะทะกันนั้นระบบรัฐ ระบบยุติธรรม ระบบคุณค่าเกียรติยศ และวัฒนธรรมถูกท้าทายอย่างหนัก จนสูญเสียอำนาจในการบริหารจัดการรัฐ   ในวันนี้ความตึงเครียดจากการเผชิญหน้าอาจเบาบางลง พร้อ
ทศพล ทรรศนพรรณ
เศรษฐกิจและการเมืองยุคดิจิทัล ใช้ข้อมูลของประชาชนและผู้บริโภคเป็นพื้นฐานในการทำความเข้าใจตลาดการเมืองและเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดีเจ้าของข้อมูลทั้งหลายได้รับประกันสิทธิในความเป็นส่วนตัวและข้อมูลส่วนบุคคลจะถูกนำไปใช้ตามอำเภอใจไม่ได้ เว้นแต่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่กฎหมายยอมรับ หรือได้รับความยินยอมจากเจ
ทศพล ทรรศนพรรณ
หากรัฐไทยต้องการสร้างกรอบทางกฎหมายเพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ประโยชน์จากข้อมูลพันธุกรรมมนุษย์ในช่วงเวลาที่ยังไม่มีการประกาศใช้ พระราชบัญญัติจริยธรรมวิจัยในมนุษย์ มาบังคับกับการวิจัยในพันธุกรรมมนุษย์ ซึ่งถือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหวจำต้องมีมาตรการประกันสิทธิเจ้าของข้อมูลพันธุกรรมให้สอดคล้องกับมาตร
ทศพล ทรรศนพรรณ
กองทัพเป็นรากเหง้าที่สำคัญของความขัดแย้งเนื่องจากทหารเข้ามามีบทบาทแทรกแซงทางการเมืองมานาน โดยการข่มขู่ว่าจะใช้กำลัง การใช้อิทธิพลกดดันนโยบายของรัฐบาล กดดันเพื่อเปลี่ยนรัฐมนตรี และการยึดอำนาจโดยปฏิวัติรัฐประหาร ซึ่งทหารมักอ้างว่ารัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ ระบบการเมืองไม่เป็นประชาธิปไตยเท่าที่ควรมีการฉ้อ
ทศพล ทรรศนพรรณ
 ปัญหาทางเศรษฐกิจที่มีขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมเรียกร้องมาตลอด คือ การผูกขาด ซึ่งมีรากเหง้ามาจากการแสวงหาค่าเช่าทางเศรษฐกิจของกลุ่มผลประโยชน์ที่ทรงอำนาจ แล้วนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจอันเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่ขบวนการความเป็นธรรมทางสังคมเสนอให้แก้ไข   บทความนี้จะพยายามแสดงให
ทศพล ทรรศนพรรณ
การแสดงออกไม่ว่าจะในสื่อเก่าหรือสื่อใหม่ย่อมมีขอบเขตการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิของผู้อื่น ดังนั้นรัฐจึงได้ขีดเส้นไว้ไม่ให้ประชาชนใช้สิทธิเสรีภาพจนไปถึงขั้นละเมิดสิทธิของผู้อื่นเอาไว้ในกรอบกฎหมายหลายฉบับ บทความนี้จะพาชาวเน็ตไปสำรวจเส้นพรมแดนที่มิอาจล่วงล้ำให้เห็นพอสังเขป
ทศพล ทรรศนพรรณ
การช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติที่อดอยากหิวโหยที่นั้นดำเนินการได้โดยตรงด้วยมาตรการความช่วยเหลือด้านอาหารโดยตรง (Food Aid) ซึ่งมีทั้งมาตรการระหว่างประเทศ และมาตรการภายใน   ในบทความนี้จะนำเสนอมาตรการและกรณีศึกษาที่ใช้ในการช่วยเหลือด้านอาหารในสถานการณ์ฉุกเฉินเหล่านั้น แต่ความแตกต่างจากการสงเ