Skip to main content

คนไร้บ้านเป็นเสียงที่ไม่ถูกนับ การใช้พลังในลักษณะกลุ่มก้อนทางการเมืองเพื่อเรียกร้องประโยชน์จากผู้มีอำนาจให้จัดสรรทรัพยากรให้จึงเป็นเรื่องยาก ด้วยสาเหตุหลัก 2 ประการ คือ
1) มีที่อยู่ไม่เป็นหลักแหล่งไม่ชัดเจน ในบางกรณีอาจมีภูมิลำเนาตามเอกสารราชการแต่เป็นพื้นที่อื่น ต่างจังหวัด มิใช่ประชากรในทะเบียนราษฎร์ของพื้นที่ซึ่งตนใช้ชีวิตอยู่ในแต่ละวัน
2) ไม่มีเอกสารยืนยันสถานะบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการสูญหาย ละทิ้ง หรือเป็นผู้ตกสำรวจในการทางทะเบียนราษฎร์ ไปจนถึงการเป็นคนสัญชาติอื่นหรือไม่อาจยืนยันได้เลยว่ามีสัญชาติใด

อย่างไรก็ดี คนไร้บ้าน คนเร่ร่อน คนอยู่ในพื้นที่สาธารณะเหล่านี้ ล้วนเป็น “บุคคล” ตามกฎหมายต้องได้รับการประกันสิทธิขั้นพื้นฐานไม่แตกต่างจากบุคคลอื่น เพียงแต่สิทธิทางการเมืองตามสถานะของสัญชาติอาจแตกต่างกันไปบ้าง   กล่าวคือ คนที่ไม่มีสัญชาติไทยอาจไม่ได้รับการประกันสิทธิทางการเมือง เช่น การลงรับสมัครเลือกตั้ง การลงคะคะแนนเสียง หรือการมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยตรงในบางประเภท  แต่สิทธิพลเมืองขั้นพื้นฐานอื่นๆ ยังต้องได้รับการประกันอยู่ แม้จะเป็น “สิทธิของคนเดียว” หรือ “สิทธิของคนส่วนน้อย” ไม่ใช่กลุ่มคะแนนเสียงทางการเมืองที่รัฐต้องการก็ตาม เช่น สิทธิเด็ดขาดในชีวิต เนื้อตัวร่างกาย ปลอดการทรมาน เสรีภาพในทางความคิดความเชื่อลัทธิและศาสนา สิทธิในกระบวนการยุติธรรม สิทธิในเกียรติยศชื่อเสียงความเป็นส่วนตัว เพศ และครอบครัว เป็นต้น

สิทธิอีกกลุ่มที่อาจมีข้อสนเท่ห์และอาจถกเถียงกันต่อไปได้ คือ สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ซึ่งเชื่อมโยงกับบริบททางสังคมและวัฒนธรรมในพื้นที่และเวลาของสถานการณ์ที่คนไร้บ้านเผชิญอยู่ และมีส่วนกำหนดนิยามความหมายให้กับ “ชีวิตของคนไร้บ้าน” จะได้กล่าวถึงต่อไปในภายหลัง เพราะยังมีรายละเอียดที่ต้องพิจารณาอย่างเชื่อมโยงกับเงื่อนไขสำคัญอีกประการนั่น คือ ทรัพยากรที่มีอยู่เพื่อส่งเสริมสิทธิเหล่านี้

ในเบื้องต้นจะวิเคราะห์ถึง สิทธิพลเมืองขั้นพื้นฐาน ที่รัฐจำเป็นต้องให้หลักประกันกับคนไร้บ้านโดยปราศจากการเลือกประติบัติไม่ว่าจะเป็นสัญชาติ เชื้อชาติ ศาสนา สถานะทางเศรษฐกิจและสังคม ความแตกต่างทางลัทธิความเชื่อและการเมืองใดๆทั้งสิ้น   สิทธิในกลุ่มนี้ถือเป็นสิทธิติดตัวของบุคคลมาตั้งแต่กำเนิดรัฐมิอาจพรากไปได้ เพียงแต่รัฐต้องไม่ละเมิดเพิกถอน และเพิ่มหลักประกันให้ อาทิ การมีกฎหมาย ระเบียบ และนโยบายที่รับรองสิทธิ การมีโครงการและมาตรการป้องกันการละเมิดสิทธิ  การฝึกอบรมและจัดสรรบุคลากรผู้เชี่ยวชาญเมื่อต้องจัดการปัญหาที่เกี่ยวข้องกับคนไร้บ้าน เป็นต้น

สภาพปัญหาเบื้องต้นเกี่ยวกับคนไร้บ้านนั้นเชื่อมโยงกับสถานภาพที่สุ่มเสี่ยงด้อยอำนาจของตัวคนไร้บ้านรายบุคคล ไปจนถึงกลุ่มคนไร้บ้านที่อยู่รวมกันเป็นหมู่คณะ ส่วนเรื่องขบวนการขับเคลื่อนประเด็นสาธารณะของกลุ่มคนไร้บ้านจะวิพากษ์ในภายหลังพร้อมกับเรื่องสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม   สถานะของคนไร้บ้านนั้นเสี่ยงต่อการถูก “เหยียดหยามศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” และเมื่อประสบภัยต้องการเรียกร้องสิทธิช่วยเหลือเยียวยาก็อาจไม่ได้รับการตอบสนองเพราะรัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมองด้วยสายตาที่ “เลือกประติบัติ”

กลุ่มปัญหาและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับประเด็นนี้โดยตรง คือ เรื่องการเชื่อมโยงคนไร้บ้านเข้ากับองค์กรอาชญากรรม “แบบเหมารวม”   การไม่อาจแยกแยะได้ว่ากลุ่มคนไร้บ้าน คนเร่ร่อน คนในพื้นที่สาธารณะ กลุ่มใด คนไหนเป็นอาชญากร เป็นส่วนหนึ่งขององค์กรอาชญากรรม หรือเป็นเหยื่อของอาชญากรรม ย่อมส่งผลกระทบร้ายแรงต่อตัวคนไร้บ้าน เนื่องจากการไม่รับการปกป้องคุ้มครอง และเสี่ยงต่อการถูกจดจ้องหรือจับกุมเป็นอาชญากรรม ย่อมส่งผลต่อความไว้วางใจของคนไร้บ้านต่อการสร้างความสัมพันธ์กับรัฐและองค์กรพัฒนาเอกชน   การสร้างฐานข้อมูลเกี่ยวกับคนไร้บ้านที่มีลักษณะบังคับเก็บปราศจากความยินยอมพร้อมใจจากเจ้าตัว นอกจากจะเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวและข้อมูลส่วนบุคคลแล้ว ยังเป็นการทำลายความไว้วางใจขั้นพื้นฐานไปเสียด้วย   “ความสมัครใจ” และ “ความรักษาความลับ” จึงต้องเป็นหลักการขั้นต้นของการทำงานด้านข้อมูลและการข่าว

ความอ่อนด้อยของประสิทธิภาพในการหาข่าว และการจัดเก็บข้อมูล และการปกป้องมิให้มีการนำข้อมูลที่เกี่ยวกับตัวคนไร้บ้านไปใช้อย่างผิดวัตถุประสงค์ หรือนำไปสู่การละเมิดสิทธิ  ย่อมทำให้คนไร้บ้านและกลุ่มไม่ไว้วางใจรัฐ ไม่สามารถประสานข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อราชการ และการวางแผนแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ  ถือเป็นรากของปัญหาที่ต้องการทิศทางและกรอบที่แน่ชัดในเบื้องต้น เพื่อป้องกันผลสะเทือนที่จะมีต่อไปในอนาคต และกระทบต่อกระบวนการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาทั้งระบบ   เพราะเป็นที่รับรู้ว่า การเข้าถึงข้อมูลของคนไร้บ้านต้องวางอยู่บนพื้นฐานของ “ความไว้ใจ”  หาไม่แล้วก็จะเจอแต่ข่าวลวง ข้อมูลเท็จ

ปัญหาที่หนักหน่วงยิ่งกว่า คือ การใช้คนไร้บ้านเป็นอาชญากรสมมติแต่ต้องได้รับโทษทัณฑ์จริง นำไปสู่การเสียประวัติต่อเนื่อง และตกอยู่ใต้อาณัติของรัฐและผู้มีอำนาจ   การสร้างหลักประกันสิทธิในกระบวนการยุติธรรม การจัดหาทนายที่ปรึกษาเพื่อต่อสู้คดีอาญา หรือการลด ละ เลิกนโยบายการจัดกุมคนไร้บ้านเพื่อเพิ่มยอดประสิทธิผลการทำงานของภาครัฐต้องยุติ เนื่องจากขัดกับสิทธิในการปลอดจากความรับผิดทางอาญาหากมิได้กระทำการอย่างสิ้นเชิง  เช่นเดียวกับ การบีบให้คนไร้บ้านเป็นสายรายงานข่าว หรือซัดทอดบุคคลอื่นในฐานะพยาน ก็ต้องได้รับการทบทวนทั้งในแง่การใช้สายข่าวประเภทนี้ และการรับฟังพยานเหล่านี้ในกระบวนการยุติธรรม

หากรัฐสามารถแยกแยะกลุ่มบุคคลได้ชัดเจนแล้ว จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวเนื่องการใช้ประโยชน์จากคนไร้บ้านได้ดีขึ้น อาทิ องค์กรอาชญากรรมที่กักขังหน่วงเหนี่ยวทำร้ายคนเพื่อบังคับให้เป็นขอทาน  การบังคับคนไร้บ้านให้กลายไปเป็นผู้ใช้แรงงานทาสในอุตสาหกรรมเสี่ยงภัยอันตราย และการบังคับขืนใจให้ขายบริการทางเพศ เป็นต้น   กิจกรรมเหล่านี้ถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรงที่รัฐไทยได้ให้สัตยาบันและประกาศต่อประชาคนโลกว่าจะต่อต้านการค้ามนุษย์อย่างเข้มข้น   ดังนั้นการปรับการทำงานด้านการข่าว และการประกันสิทธิในกระบวนการยุติธรรม จะทำให้ช่วยปกป้องเหยื่อ และนำผู้กระทำความผิด/องค์กรอาชญากรรมมาลงทาได้ ด้วยพยานหลักฐานที่มีการประสานข่าวจากกลุ่มคนไร้บ้านที่ไว้วางใจรัฐมากขึ้น

เมื่อมองปัญหาคนไร้บ้านลงมาในระดับชีวิตประจำวันทั่วไป จะพบว่าปัญหาที่คนไร้บ้านเผชิญส่วนใหญ่จะจัดอยู่ในความขัดแย้งเล็ก ๆ น้อย ๆ สืบเนื่องจากการอยู่ในพื้นที่สาธารณะที่อาจกระทบกระทั่งกับผู้อื่นที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน หรือการประกอบอาชีพเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อาจสร้างผลกระทบต่อผู้ประกอบการรายอื่น ๆ  เมื่อเกิดปัญหา “คนไร้บ้าน” มักตกอยู่ในสถานะเสียเปรียบเพราะอคติบางประการจากสายตาของสังคมหรือที่อันตรายไปกว่านั้น คือ การเลือกประติบัติจากเจ้าพนักงานที่ต้องผดุงความยุติธรรมบนหลักความเสมอภาคต่อบุคคลแม้จะมีความแตกต่างหลากหลายไป   การชี้ขาดระงับข้อพิพาทเบื้องต้น หรือทำสำนวนส่งฟ้อง อาจทำให้คนไร้บ้านต้องตกไปอยู่ฝั่งฝ่าย “จำเลย” ที่มีความลำบากในชีวิตประจำวันและสุ่มเสี่ยงที่จะสูญเสียเสรีภาพไปเนื่องจากเข้าไม่ถึงหลักประกันเพื่อยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราว(การประกันตัว) เพราะขาดทั้งทุนทางเศรษฐกิจ(ทรัพย์ประกัน) และทุนทางสังคม(บุคคลค้ำประกัน)  การจัดกระบวนการช่วยเหลือเมื่อต้องเผชิญกับความขัดแย้ง ไม่ว่าจะเป็นที่ปรึกษากฎหมายเบื้องต้นของรัฐ การเข้าถึงกองทุนหลักทรัพย์ของจำเลยในคดีอาญา หรือการได้ใช้ประโยชน์จากทนายอาสาที่มีคุณภาพ ย่อมเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่รัฐต้องประกันให้

นอกจากนี้การเร่งรัดติดตามตัวผู้ละเมิดสิทธิคนไร้บ้านอย่างร้ายแรง เช่น ฆาตกรรม ทำร้าย อุ้มหาย ย่อมเป็นการสร้างความมั่นคงในการดำรงชีวิตให้กับคนทั้งสังคมมิใช่แค่กลุ่มคนไร้บ้านเท่านั้น   และเนื่องจากคนไร้บ้านอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการถูกคุกคามสูงเพราะอยู่ในพื้นที่สาธารณะ   รัฐจึงอาจต้องผลักดันมาตรการส่งเสริมและเฝ้าระวังภัยให้กับคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่สาธารณะมากขึ้นหากไม่สามารถจัดสวัสดิการที่อยู่อาศัยพักหลบภัยที่เพียงพอให้กับประชาชน   นอกจากนี้การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของคนไร้บ้าน ในกรณีอื่น ๆ เช่น เป็นผู้เสียหายจากคดีเกี่ยวทรัพย์ ถูกลักขโมย ยักยอก ข่มขู่ กรรโชก ก็พึงได้รับการตอบสนองนำไปสู่การเยียวยาได้ตามกระบวนการยุติธรรมมากขึ้น

กล่าวอย่างถึงที่สุดเมื่อคนไร้บ้านประสบปัญหา หรือต้องการจะเรียกร้องสิทธิอันใดก็ตาม คู่กรณีหรือหน่วยรัฐมักจะถามย้อนไปถึง “สถานะบุคคล” เสมอ  ดังนั้นการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวกับคนไร้บ้านท่ามกลางสถานการณ์ของคนย้ายถิ่นและข้ามพรมแดนอย่างมโหฬารในปัจจุบัน จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องทำให้ปมเงื่อนไขแรกสุดถูกแก้ไปก่อน เพื่อนนำไปสู่การยืนอย่างมั่นใจของตัวคนไร้บ้านเอง คนรอบข้างที่สัมพันธ์กับกลุ่มคนไร้บ้าน และหน่วยงานรัฐผู้รับผิดชอบก็จะพร้อมแก้ปัญหาในประเด็นเฉพาะต่าง ๆ ได้อย่างหนักแน่นขึ้น    ปัญหาปลีกย่อยที่อาจต้องใส่ใจในรายละเอียดมากขึ้น อาทิ ปัญหาการแจ้งเกิดของบุตรหลานคนไร้บ้านที่ไม่มีภูมิลำเนาชัดเจน หรือไม่อาจพิสูจน์สัญชาติได้   ปัญหาการเสียสถานะบุคคลจากการสวมสิทธิทางทะเบียนราษฎร์ รวมถึงการบ่งชี้เพื่อให้สิทธิเพิ่มเติมแก่คนไร้บ้านที่เป็นผู้พิการ เป็นต้น

ยิ่งไปกว่านั้นการสร้างมาตรการเฝ้าระวังภัยคุกคามต่อคนเร่ร่อนในกลุ่มเสี่ยงภัยสูง เช่น เด็ก เยาวชน สตรี และบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ ก็จำต้องวางมาตรการรองรับปัญหาที่เคยถูกหลบซ่อนบิดบังเอาไว้  ด้วยเหตุที่คนไร้บ้าน ถูกมองข้าม หรือถูกรัฐที่ต้องการพัฒนาเมืองไปสู่สังคมศิวิไลซ์ไร้ผู้ด้อยพัฒนา แล้วพยายามซุกซ่อนปัญหาไว้ไม่ยอมแก้ไข เพราะต้องการแสดงออกให้คนในสังคมอื่นมองเห็นแต่ด้านที่สวยงาม

*ปรับปรุงจากวิจัย โครงการศึกษาและวิเคราะห์สภาพปัญหาและสนับสนุนองค์ความรู้ทางกฎหมายเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนไร้บ้าน, 2560. สนับสนุนทุนโดย สสส.

 

บล็อกของ ทศพล ทรรศนพรรณ

ทศพล ทรรศนพรรณ
คำถามที่สำคัญในเศรษฐกิจการเมืองยุคดิจิทัล ก็คือ บทบาทหน้าที่ของภาครัฐรัฐท่ามกลางการเติบโตของตลาดดิจิทัลที่ภาคเอกชนเป็นผู้ผลักดันและก่อร่างสร้างระบบมาตั้งแต่ต้น  ซึ่งสร้างผลกระทบต่อชีวิตผู้คนในรัฐให้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางและลึกซึ้ง   อย่างไรก็ดีความเจริญก้าวหน้าของตลาดย่อมเกิดบนพื้น
ทศพล ทรรศนพรรณ
แนวทางในการส่งเสริมสิทธิคนทำงานในยุคดิจิทัลประกอบไปด้วย 2 แนวทางหลัก คือ1. การระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นภายในความสัมพันธ์ระหว่าง แพลตฟอร์ม กับ คนทำงาน2. การพัฒนารัฐให้รองรับสิทธิคนทำงานอย่างถ้วนหน้า
ทศพล ทรรศนพรรณ
เนื่องจากการทำงานของคนในแพลตฟอร์มดิจิทัลในช่วงก่อนหน้าสถานการณ์วิกฤตโรคระบาดนั้นยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นทำให้ปริมาณคนที่เข้ามาทำงานมีไม่มากนัก และเป็นช่วงทำการตลาดของเหล่าแพลตฟอร์มต่าง ๆ ในการดึงคนเข้ามาร่วมงานกับแพลตฟอร์มตนยังผลให้สิทธิประโยชน์เกิดขึ้นมากมายเป็นที่พึงพอใจของผู้เข้าร่วมทำงานกับแพลตฟ
ทศพล ทรรศนพรรณ
รัฐชาติในโลกปัจจุบันไม่เปิดโอกาสให้บุคคลเคลื่อนย้ายถิ่นฐาน ที่อยู่ แหล่งทำมาหากินได้อย่างอิสระ เสรีมาตั้งแต่การสถาปนารัฐสมัยใหม่ขึ้นในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลก   เช่นเดียวกับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่าง ไทย พม่า ลาว หรือกัมพูชา   ก็ล้วนเกิดพรมแดนระหว่างรัฐในลักษณะที
ทศพล ทรรศนพรรณ
นับตั้งแต่เกิดปรากฏการณ์ “สีเสื้อ”   สื่อกลายเป็นประเด็นสำคัญที่เป็นตัวสะท้อนภาพของคนและสังคมเพื่อขับเน้นประเด็นเคลื่อนไหวทางสังคมให้ปรากฏเป็นขบวนการทางการเมืองที่มีผู้คนเข้าร่วมอย่างมากมายมหาศาล และมีกิจกรรมทางการเมืองหลากหลายรูปแบบ   ดังนั้นอำนาจในการสื่อสารและการมีส่วนร่วมใ
ทศพล ทรรศนพรรณ
สังคมไทยเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลง แตกแยก และปะทะกันอย่างรุนแรงทั้งในด้านความคิด และกำลังประหัตประหารกัน ระหว่างการปะทะกันนั้นระบบรัฐ ระบบยุติธรรม ระบบคุณค่าเกียรติยศ และวัฒนธรรมถูกท้าทายอย่างหนัก จนสูญเสียอำนาจในการบริหารจัดการรัฐ   ในวันนี้ความตึงเครียดจากการเผชิญหน้าอาจเบาบางลง พร้อ
ทศพล ทรรศนพรรณ
เศรษฐกิจและการเมืองยุคดิจิทัล ใช้ข้อมูลของประชาชนและผู้บริโภคเป็นพื้นฐานในการทำความเข้าใจตลาดการเมืองและเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดีเจ้าของข้อมูลทั้งหลายได้รับประกันสิทธิในความเป็นส่วนตัวและข้อมูลส่วนบุคคลจะถูกนำไปใช้ตามอำเภอใจไม่ได้ เว้นแต่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่กฎหมายยอมรับ หรือได้รับความยินยอมจากเจ
ทศพล ทรรศนพรรณ
หากรัฐไทยต้องการสร้างกรอบทางกฎหมายเพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ประโยชน์จากข้อมูลพันธุกรรมมนุษย์ในช่วงเวลาที่ยังไม่มีการประกาศใช้ พระราชบัญญัติจริยธรรมวิจัยในมนุษย์ มาบังคับกับการวิจัยในพันธุกรรมมนุษย์ ซึ่งถือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหวจำต้องมีมาตรการประกันสิทธิเจ้าของข้อมูลพันธุกรรมให้สอดคล้องกับมาตร
ทศพล ทรรศนพรรณ
กองทัพเป็นรากเหง้าที่สำคัญของความขัดแย้งเนื่องจากทหารเข้ามามีบทบาทแทรกแซงทางการเมืองมานาน โดยการข่มขู่ว่าจะใช้กำลัง การใช้อิทธิพลกดดันนโยบายของรัฐบาล กดดันเพื่อเปลี่ยนรัฐมนตรี และการยึดอำนาจโดยปฏิวัติรัฐประหาร ซึ่งทหารมักอ้างว่ารัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ ระบบการเมืองไม่เป็นประชาธิปไตยเท่าที่ควรมีการฉ้อ
ทศพล ทรรศนพรรณ
 ปัญหาทางเศรษฐกิจที่มีขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมเรียกร้องมาตลอด คือ การผูกขาด ซึ่งมีรากเหง้ามาจากการแสวงหาค่าเช่าทางเศรษฐกิจของกลุ่มผลประโยชน์ที่ทรงอำนาจ แล้วนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจอันเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่ขบวนการความเป็นธรรมทางสังคมเสนอให้แก้ไข   บทความนี้จะพยายามแสดงให
ทศพล ทรรศนพรรณ
การแสดงออกไม่ว่าจะในสื่อเก่าหรือสื่อใหม่ย่อมมีขอบเขตการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิของผู้อื่น ดังนั้นรัฐจึงได้ขีดเส้นไว้ไม่ให้ประชาชนใช้สิทธิเสรีภาพจนไปถึงขั้นละเมิดสิทธิของผู้อื่นเอาไว้ในกรอบกฎหมายหลายฉบับ บทความนี้จะพาชาวเน็ตไปสำรวจเส้นพรมแดนที่มิอาจล่วงล้ำให้เห็นพอสังเขป
ทศพล ทรรศนพรรณ
การช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติที่อดอยากหิวโหยที่นั้นดำเนินการได้โดยตรงด้วยมาตรการความช่วยเหลือด้านอาหารโดยตรง (Food Aid) ซึ่งมีทั้งมาตรการระหว่างประเทศ และมาตรการภายใน   ในบทความนี้จะนำเสนอมาตรการและกรณีศึกษาที่ใช้ในการช่วยเหลือด้านอาหารในสถานการณ์ฉุกเฉินเหล่านั้น แต่ความแตกต่างจากการสงเ