Skip to main content

 

pic1

 

 

pic2

 

1

ผู้ที่ติดตามสถานการณ์ข่าว คงจะรับรู้กันแล้วถึงสถานการณ์ในพม่าที่บานปลายมากขึ้นเรื่อยๆ  รัฐบาล ทหารพม่าออกมาปราบปรามผู้ชุมนุมประท้วงซึ่งส่วนใหญ่เป็นพระสงฆ์ ที่ปกติแล้วเป็นที่เคารพยิ่งของ ประชาชนชาวพม่าซึ่งหมายรวมถึงบรรดาผู้คนในรัฐบาลด้วย  แต่การปราบปรามผู้ชุมนุมในครั้งนี้นั้นไม่ได้ทำให้ผู้คนหวาดกลัวไม่กล้าชุมนุมกันต่อ กลับยิ่งทำให้เหตุการณ์ในพม่าทวีความเลวร้าย และรุนแรงหนักขึ้นไปอีก

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้มีประเด็นให้ขบคิดต่อได้หลายประการทีเดียว เริ่มตั้งแต่ว่าทำไมชาวพม่านับตั้งแต่ เดือนสิงหาคม ปี 1988 เป็นต้นมา หรือที่ เรียกกันว่า เหตุการณ์ 8888 นั้นสามารถทนอยู่ในสภาพ ที่เสรีภาพถูกปิดกั้นมาได้อย่างยาวนาน รวมถึงการยินยอมให้รัฐบาลทหารใช้อำนาจในทางมิชอบ และทนอยู่ในสภาวะหวาดกลัวมาได้นานถึงเกือบ 20 ปี แล้วทำไม มาถึงตอนนี้ชาวพม่าถึงกล้าออกมา กระทำการต่อต้านรัฐบาล  ประเด็นที่น่าสนใจถัดไปคือบทบาทของพระสงฆ์ และประเด็นสุดท้ายคือบทบาทของไทยต่อเหตุการณ์นี้

ก่อนอื่นก็ต้องขอย้อนกลับมาดูที่มาของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกันก่อน การชุมนุมในครั้งนี้นับว่า เป็นการชุมนุมที่ใหญ่ที่สุด และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้เริ่มต้นมาจากการเรียกร้องประชาธิปไตย ที่ปกติเป็นประเด็นหลักในการเรียกร้องของชาวพม่า และมักจะเกิดขึ้นนอกประเทศ เพราะยากที่จะมีการรวมตัวกันได้ในประเทศ  แต่เหตุการณ์ครั้งนี้กลับไม่ใช่ เพราะมีเหตุจากความไม่พอใจที่รัฐบาลขึ้นราคาน้ำมัน

ทำไมแค่ขึ้นราคาน้ำมัน ผู้คนต้องออกมาประท้วงกันขนาดนี้เชียวหรือ คำตอบก็คือใช่ การขึ้นราคาน้ำมันสูง ขึ้นถึง 3 เท่า เท่ากับเป็นการผลักภาระให้กับประชาชน  ปกติประชาชนก็ยากจนอยู่แล้ว ส่งผลให้ไม่สามารถจ่ายค่ารถเมล์ หรือค่าพาหนะต่างๆ ที่ราคาสูงขึ้นเพื่อสัญจรไปมาหรือเพื่อไปทำงานได้

ภายใต้การปกครองโดยรัฐบาลทหารมานานเกือบสองทศวรรษ ประชาชนชาวพม่ามีแต่จะจนลงทุกวันๆ ความขัดสนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย เดิมที่ต้องทนอยู่กับความกลัว ความกดดันและขาดสิทธิในด้านต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิในเรื่องข่าวสารข้อมูลและการแสดงความเห็นก็ทำให้อึดอัดมากพออยู่แล้ว  แต่นี่ยังมีเรื่องปากท้องซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดเพื่อการดำรงอยู่ของผู้คนเพิ่มเข้าไปอีก

ด้วยสาเหตุนี้ ทำให้มองเห็นในอีกมุมหนึ่งว่า เอาเข้าจริงๆ แล้ว ประชาธิปไตยอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้าย ของการปกครองประเทศ จะเป็นการปกครองระบอบใดก็ได้หากประชาชนยังมีกินมีใช้ การออกมาเรียกร้องเรื่องสิทธิอื่นๆ นั้นยังมีได้น้อยกว่ามาก อีกหนึ่งตัวอย่างที่ชัดเจนคือ  ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งก็รู้กันดีอยู่ว่า มีการเลือกตั้งกันแต่ในนามเท่านั้น ในทางปฏิบัติกลับไม่ได้เป็นประชาธิปไตยเลย เห็นได้ชัดว่าเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและ เสรีภาพของสื่อมวลชนแทบจะไม่มีเลยในสิงคโปร์ แต่ประชาชน สิงคโปร์กลับยินดีที่จะเป็นอย่างนั้น พร้อมทั้งยืนยันว่ารัฐบาลสิงคโปร์นั้นดีมากๆ เพราะว่าทำให้ฐานะ ทางเศรษฐกิจของชาวสิงคโปร์นั้นดี มีอยู่มีกินถึงขั้นกินดีอยู่ดี ผู้คนจึงไม่ได้เดือดร้อนที่จะออกมาเรียกร้อง หาเสรีภาพอื่นๆ อีก  กรณีพม่าก็เช่นเดียวกัน ผู้คนยอมตกอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถแสดงความคิดเห็นมาได้ อย่างยาวนาน แต่เรื่องเศรษฐกิจ หรือเรื่องกินอยู่นั่นเองที่ทำให้คนทนไม่ได้อีกต่อไป  ต้องลุกขึ้นสู้

2

ประเด็นต่อมา เรื่องบทบาทของพระสงฆ์ในพม่า หากเทียบกับความคาดหวังของคนไทยจำนวนหนึ่งแล้ว ก็อาจคิดว่าคงไม่ใช่กิจของสงฆ์ที่จะมาข้องเกี่ยวกับการเมือง แต่หากดูในบริบทหน้าที่ของพระสงฆ์ในพม่า ซึ่งมีส่วนร่วมกับกิจการสังคมอยู่มาก  พระสงฆ์มีบทบาทในการร่วมต่อสู้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมจาก รัฐบาลให้กับประชาชนมานานพอสมควร   จึงไม่แปลกที่ครั้งนี้ พระสงฆ์จะมาเป็นผู้นำเพื่อเรียกร้องต่อรัฐบาลอีกครั้งหนึ่ง ที่สำคัญประชาชนเองก็อุ่นใจที่พระสงฆ์ออกมาเป็นแกนนำ  ชาวพม่านั้นได้ชื่อว่า ให้ความเคารพและให้ความสำคัญกับพระสงฆ์เป็นอย่างยิ่ง จึงเป็นเรื่องที่อาจคาดการณ์กันไว้ว่า  รัฐบาลคงไม่โหดร้ายที่จะใช้ความรุนแรงทำร้ายพระได้

การชุมนุมโดยมีพระสงฆ์ร่วมด้วยนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่  ในเหตุการณ์ 8888 พระสงฆ์ก็มีส่วนร่วม และรัฐบาลทหารก็เคยสังหารพระสงฆ์ จับเข้าคุก หรือปราบปรามตามวัดต่างๆ มาแล้ว แต่การปราบปรามพระสงฆ์ในครั้งนี้ แม้ว่ารัฐบาลอาจหาความชอบธรรม ด้วยการอ้างว่าพระสงฆ์เหล่านี้ อาจจะมีจำนวนไม่น้อยที่เป็นคนของพรรคเอ็นแอลดีของนางออง ซาน ซูจี ที่แฝงตัวบวชอยู่ด้วย   ซึ่งนั่นก็เป็นการแสดงให้เห็นอีกครั้งว่า สิ่งที่อยู่คู่กับรัฐบาลทหารคืออำนาจนิยมเท่านั้น หาใช่ธรรมนิยมไม่

สิ่งที่ต้องมองกันต่อไปคือ การใช้ความรุนแรงของรัฐบาลนั้นมีแต่ทำให้เรื่องบานปลายมากขึ้น  เพราะประชาชนก็คงถอยไม่ได้แล้ว การรับมือกับเรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องเล็กทั้งของฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายประชาชน

3

หันกลับมามองที่ไทย ขณะที่เกิดสถานการณ์เช่นนี้กับเพื่อนบ้านของเรา   ปฎิกิริยาจากทั่วโลกส่งไปยัง ประเทศพม่ากันแล้ว  ประเทศไทยในยุคที่มีรัฐบาลทหารเป็นผู้นำเช่นกันกลับเฉยๆ  ยังมิได้ริเริ่มปฎิกิริยาใดๆ ต่อพม่าเลย ด้วยสาเหตุสะท้อนใจว่า “ช่างเหมือนกันกับเราเหลือเกิน” หรืออย่างไร

ในภาคประชาชน คนทำงานองค์กรพัฒนาเอกชนหลายองค์กรร่วมกับกลุ่มต่างๆ ทั้งนักศึกษา กลุ่มแรงงานพม่า ในประเทศไทย ออกมาเดินขบวนกันที่สถานทูตพม่า มีการออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลพม่า ยุติการกระทำที่รุนแรงต่อกลุ่มผู้ชุมนุม  ซึ่งก็มีเสียงจากประชาชนบางคนที่ค่อนขอดกลุ่มที่ออกมาเรียกร้องนี้ในทำนองว่า “ทำบ้านตัวเองให้ดีเสียก่อนเถอะ แล้วค่อยยุ่งเรื่องชาวบ้าน”  ซึ่งแม้จะเป็นการมองที่คับแคบ ไปหน่อย แต่ก็มีส่วนถูกอยู่บ้าง

นอกจากนี้ มีพระสงฆ์ไทยออกมาเจริญภาวนาให้แก่บรรดาพระสงฆ์ในพม่า เพื่อให้ประเทศพม่า เกิดความสงบสุขโดยเร็วด้วย  การแสดงออกต่อสถานการณ์นี้เกิดขึ้นในหลายภาคส่วน แต่ยังไม่มีการ ริเริ่มปฏิบัติการใดๆ ที่ออกมาจากรัฐบาลไทย ในฐานะเพื่อนใกล้ชิดและในฐานะสมาชิกอาเซียนด้วยกัน ซึ่งในปีหน้านี้ไทยก็จะเป็นประธานด้วย นอกจากที่ไทยจะไม่ได้แสดงท่าทีหรือจุดยืนที่ชัดเจนต่อเรื่องนี้แล้ว ในวันที่เริ่มมีการปราบปรามโดยใช้กำลังและมีการเสียชีวิตเกิดขึ้นแล้วนั้น  ท่านประธาน คมช. ก็ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวในทำนองว่า สถานการณ์คงไม่รุนแรงมากหรอก ภาพที่เห็นว่ามีการทำร้ายผู้ประท้วง นั้นอาจเป็นเพราะผู้ประท้วงนั้นยั่วยุเจ้าหน้าที่ก็เป็นได้   ซึ่งก็เป็นการให้สัมภาษณ์ที่ไม่ได้สร้างความ ประหลาดใจให้แม้แต่น้อย แต่ยิ่งเป็นการยืนยันว่า นี่คือวิธีคิดของคนพันธุ์เดียวกัน

ถึงแม้ว่าได้พูดไว้ตั้งแต่ต้นว่า ประชาธิปไตยอาจไม่ใช่คำตอบสำหรับบางประเทศ แต่สำหรับประเทศไทยแล้ว ตอนนี้อยากให้มีการเลือกตั้งเร็วๆ  เสียจริง เพราะอย่างน้อยเราคงจะไม่ต้องตกอยู่ในความหวาดกลัว และประเทศไทยคงจะกล้าหาญที่จะริเริ่มทำอะไรได้มากกว่านี้ สามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำมากกว่านี้ในการร่วมเรียกร้องให้เพื่อนบ้านของเรามีประชาธิปไตย หรือไม่ใช้ความรุนแ แต่ตอนนี้คงได้แต่เพียง ก้มหน้าหลบๆ เลี่ยงๆ และพูดอะไรออกไปก็คงทำได้เพียงพอเป็นพิธีเท่านั้น...

ภาพประกอบบทความนำมาจาก: ข่าว-ชมภาพพระพม่านำประชาชนนับแสนเดินขบวนใหญ่ต้านรัฐบาลทหาร (ประชาไท)  

บล็อกของ สุทธิดา มะลิแก้ว

สุทธิดา มะลิแก้ว
1 ทั้งๆที่มีทะเบียนบ้านและอาศัยอยู่ที่นนทบุรีมามากกว่า 10 ปี แล้ว และก่อนหน้านั้นก็อยู่ กรุงเทพฯ ขอนแก่น อุบลฯ ชลบุรี และอื่นๆอีกหลายแห่ง แต่เวลาที่มีใครก็ตามมาถามว่าเป็นคนที่ไหน (ไม่ได้ต้องการคำตอบแบบมุขตลกว่า ที่ไหนๆ ก็เป็นคนนะ) ผู้เขียนก็ตอบว่า “เป็นคนปัตตานี” แม้ว่าจริงๆ แล้วไปปัตตานีไม่เคยเกิน 7 วันต่อปีเลยสักครั้ง และบางปีก็ไม่ได้ไปเลยด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าการใช้ชีวิตอยู่ปัตตานีค่อนข้างน้อย มาถึงวันนี้ที่แม้มีบ้านเป็นของตัวเอง แต่ในยามที่เดินทางไปปัตตานี ก็จะเรียกว่า “กลับบ้าน” อีกเช่นกัน เรื่องการบอกว่าเป็นคนที่ไหนของไทยนั้น เชื่อว่าคนอื่นๆ…
สุทธิดา มะลิแก้ว
ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนว่า โดยส่วนตัวแล้ว เห็นด้วยกับเรื่อง การไม่ขับรถหลังจากได้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือที่ที่มีการรณรงค์ที่เรียกว่า “เมาไม่ขับ” และเห็นด้วยกับการรณรงค์ไม่ให้ดื่มเหล้าในวัด หรือศาสนสถานต่างๆ และยังเห็นด้วยอีกกับการรณรงค์ให้คนลด ละ เลิกการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ลงบ้าง เพื่อเห็นแก่สุขภาพและเพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณในการรักษาพยาบาล อันเนื่องมาจากโรคหรือความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นเนื่องจากการดื่มสุรา รวมทั้ง การเชิญชวนให้งดดื่มเหล้าในช่วงเข้าพรรษา สำหรับประชาชนที่เป็นพุทธศาสนิกชน เพื่อเป็นการถือศีลถือเป็นการสร้างมงคลให้กับชีวิตก็เป็นเรื่องที่เห็นด้วยเช่นกัน ทว่า…
สุทธิดา มะลิแก้ว
นับเป็นความสะเทือนใจอย่างยิ่งของคนทั่วโลกกับภาพความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวพม่า อันเนื่องมาจากพายุไซโคลนนาร์กิส ที่ตัวเลขของผู้เสียชีวิตนั้นหลังจากเกิดพายุนั้นแม้ผ่านมาแล้วหลายวันก็ยังไม่นิ่ง องค์กรกาชาดสากลคาดว่าอยู่ระหว่าง 60,000 – 120,000 คน และมีผู้ได้รับผลกระทบสูงถึง 1.6-2.5 ล้านคน โดยคนเหล่านี้จะต้องเผชิญกับภาวการณ์ขาดแคลนอาหาร น้ำดื่ม ที่อยู่อาศัย และตลอดจนปัญหาสุขภาพที่จะตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้  ท่ามกลางภาพสะเทือนใจเหล่านั้น นานาประเทศได้พยายามที่จะเข้าไปให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยมาตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งวันนี้ก็ยังมีบรรดาหน่วยบรรเทาทุกข์ทั้งหลาย…
สุทธิดา มะลิแก้ว
     1ผู้ที่ติดตามสถานการณ์ข่าว คงจะรับรู้กันแล้วถึงสถานการณ์ในพม่าที่บานปลายมากขึ้นเรื่อยๆ  รัฐบาล ทหารพม่าออกมาปราบปรามผู้ชุมนุมประท้วงซึ่งส่วนใหญ่เป็นพระสงฆ์ ที่ปกติแล้วเป็นที่เคารพยิ่งของ ประชาชนชาวพม่าซึ่งหมายรวมถึงบรรดาผู้คนในรัฐบาลด้วย  แต่การปราบปรามผู้ชุมนุมในครั้งนี้นั้นไม่ได้ทำให้ผู้คนหวาดกลัวไม่กล้าชุมนุมกันต่อ กลับยิ่งทำให้เหตุการณ์ในพม่าทวีความเลวร้าย และรุนแรงหนักขึ้นไปอีกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้มีประเด็นให้ขบคิดต่อได้หลายประการทีเดียว เริ่มตั้งแต่ว่าทำไมชาวพม่านับตั้งแต่ เดือนสิงหาคม ปี 1988 เป็นต้นมา หรือที่ เรียกกันว่า เหตุการณ์ 8888…