Skip to main content


1.

ทุกๆ ยามเช้า

ชายในชุดสันยาสี จะมาเก็บดอกไม้จากในสวนที่อยู่ใกล้ๆ มือและดวงตาของเขาส่อแววแห่งความโลภที่มีต่อดอกไม้เหล่านั้น และเขาจะเด็ดดอกไม้ทุกดอกที่เอื้อมมือถึง เห็นได้ชัดว่า เขาจะถวายดอกไม้เหล่านั้นต่อรูปปั้นไร้ชีวิต อันเป็นสิ่งที่ทำขึ้นมาจากก้อนหิน


ดอกไม้เหล่านั้น

สวยงามน่ารัก อ่อนโยน เพิ่งจะผลิบานขึ้นรับแสงแดดยามเช้า แต่นักบวชคนนั้น หาได้เด็ดมันด้วยความอ่อนโยน เขาทึ้งดอกไม้ลงมาและกระชากเอาทุกสิ่งในสวนดอกไม้แห่งนั้น พระเจ้าของเขาต้องการดอกไม้อย่างมากมาย ต้องการสิ่งมีชีวิตเหลือคณานับ สำหรับรูปปั้นไร้ชีวิตทำจากก้อนหิน


อีกวันต่อมา

ฉันเฝ้าดูเด็กๆบางคนเก็บดอกไม้ เด็กเหล่านั้นจะไม่เอาดอกไม้เหล่านั้นไปถวายพระเจ้า พวกเขาคุยกัน และทึ้งดอกไม้เหล่านั้นโดยไม่ไตร่ตรอง จากนั้นก็ขว้างทิ้งไป เธอเคยสังเกตตัวเองทำเช่นนี้หรือเปล่า


ฉันสงสัยว่าทำไมเธอถึงทำอย่างนั้น

ขณะที่เธอเดินไปตามทาง เธอจะหักกิ่งไม้ เด็ดใบไม้แล้วทิ้งมันไป เธอเคยสังเกตการณ์กระทำอันไร้ความคิดของตนเองเช่นนี้หรือไม่ ผู้ใหญ่ก็ทำเช่นเดียวกัน พวกเขาจะมีการแสดงออกถึงความป่าเถื่อนโหดร้ายข้างใน และความไม่เคารพอันน่าสะพรึงกลัวต่อสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย – ในแบบของพวกเขาเอง ผู้ใหญ่มักพูดถึงการไม่ทำร้าย แต่กระนั้นก็ตาม ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำ ล้วนมีอันตรายทั้งสิ้น


เราเข้าใจได้

ถึงการที่เธอเด็ดดอกไม้มาเสียบแซมผม หรือยื่นมันให้ใครสักคนด้วยความรัก แต่ทำไมเธอจึงฉีกทึ้งดอกไม้เหล่านั้นเล่า พวกผู้ใหญ่มีความน่าเกลียด เพราะเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน

พวกเขาประหัตประหารชีวิตกันในสงคราม

รวมทั้งทำลายกันและกันให้ตกต่ำลงด้วยอำนาจเงิน

ผู้ใหญ่มีรูปแบบการกระทำอันน่ารังเกียจ และเห็นชัดแจ้งว่าคนหนุ่มสาวที่นี่และที่อื่น ก็กำลังเจริญรอยตามการกระทำของพวกผู้ใหญ่เหล่านี้


2.

เมื่อวันก่อน

ฉันออกไปเดินเล่นกับเด็กชายคนหนึ่ง เราได้เจอก้อนหินก้อนหนึ่งวางอยู่บนทางเดิน เมื่อฉันหยิบก้อนหินนั้นออกไป เขาก็ถามว่า

ทำไมท่านจึงทำอย่างนั้นล่ะ?”

นั่นบ่งชี้ถึงอะไรเล่า ไม่ใช่เรื่องขาดการเอาใจใส่และขาดการเคารพนอบน้อมล่ะหรือ


พวกเธอแสดงออกถึงการเคารพ

เนื่องจากเพราะความกลัว ใช่หรือไม่ เธอมักจะลุกขึ้นยืนทันที เมื่อผู้ใหญ่เดินเข้ามาในห้อง แต่นั่นไม่ใช่ความเคารพนอบน้อม นั่นเป็นความกลัว เพราะถ้าหากเธอรู้สึกเคารพนอบน้อมจริงๆ

เธอไม่น่าจะทำลายดอกไม้

เธอน่าจะหยิบก้อนหินออกจากทางเดิน

หรือเธอน่าจะดูแลช่วยเอาใจใส่ต้นไม้ในสวน

แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่หรือผู้เยาว์ พวกเรามักจะไม่มีความรู้สึกเคารพนับถืออย่างแท้จริง ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ล่ะ มิใช่เป็นเพราะว่า เราไม่เข้าใจว่าความรักคืออะไรดอกหรือ


3.

เธอเข้าใจไหม ว่าความรักเป็นสิ่งที่เรียบง่าย

ไม่ใช่สิ่งซับซ้อนยุ่งเหยิงเยี่ยงความรักเชิงกามารมณ์ หรือความรักในพระเจ้า แต่เป็นความรักเฉยๆ อ่อนโยนและสุภาพอย่างแท้จริงในการเข้าไปสัมผัสกับทุกสิ่งทุกอย่าง ที่บ้านเธอก็มักจะไม่ได้รับความรักเรียบง่ายเช่นนี้เสมอไป เพราะพ่อแม่ของเธอยุ่งและวุ่นวายเกินไป อาจจะไม่มีความรักความอ่อนโยน – อย่างแท้จริงที่บ้านเลย


ดังนั้น

พวกเธอจึงมาที่นี่ พร้อมกับภูมิหลังของการเฉยชารับรู้ และเธอก็ประพฤติเช่นเดียวกับคนอื่นๆ และเราจะทำให้เกิดความรับรู้ที่ว่องไวได้อย่างไร นี่ไม่ใช่ว่า ต้องมีกฎระเบียบห้ามไม่ให้เธอเด็ดดอกไม้ เพราะว่าเมื่อเธอเพียงสะกดกลั้นตัวเองจากกฎระเบียบก็จะมีความกลัว แต่ความรู้สึกรับรู้ได้อย่างว่องไวนี้ ซึ่งทำให้เธอตื่นตัว ที่จะไม่ทำอันตรายต่อผู้คน ต่อสัตว์ และต้นไม้ จะเกิดขึ้นได้อย่างไรล่ะ


พวกเธอสนใจเรื่องเหล่านี้หรือเปล่า

เธอควรจะสนใจ ถ้าหากเธอไม่สนใจที่จะแววไวต่อการรับรู้ เธอก็น่าจะเหมือนกับคนตาย และคนส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนั้น แม้ว่าคนเหล่านั้นจะมีอาหารกินวันละสามมื้อในแต่ละวัน มีงานทำ มีลูกมีเต้า นั่งอยู่บนรถส่วนตัว หรือสวมใส่เสื้อผ้าอันสวยงามก็ตาม พวกเขาส่วนใหญ่อย่างดีที่สูด ก็เป็นเพียงแค่บุคคลที่ตายแล้วเท่านั้น


เธอรู้หรือเปล่า

ว่าสภาพที่รับรู้ได้อย่างว่องไวนั้นหมายถึงอะไร

แน่นอน

มันหมายถึงว่ามีความรู้สึกที่อ่อนโยนนุ่มนวลต่อสิ่งต่างๆ

เช่น

เห็นสัตว์ได้รับความเจ็บปวดมีความทุกข์

แล้วทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดลงไปในเรื่องนี้

หรือหยิบเอาก้อนหินออกจากทางเดิน

เพราะมีเท้าอันเปล่าเปลือยมากมายเหยียบย่ำไปบนทางสายนั้น

หรือหยิบเอาตะปูออกมาจากถนน

เพราะว่ามันอาจจะแทงยางรถยนต์ของใครสักคนหนึ่ง

การรับรู้อย่างว่องไวนั้น หมายถึงความรู้สึกที่มีต่อผู้คน ต่อนก ต่อดอกไม้ ต่อต้นไม้ นี่ ไม่ใช่เป็นเพราะว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นของเธอ แต่เพียงเพราะเธอตื่นตัวต่อความงดงามมหัศจรรย์ของสิ่งเหล่านั้น และสภาพการรับรู้เช่นนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร


4.

ขณะใดที่เธอรับรู้ได้อย่างว่องไวลึกซึ้ง

เธอจะไม่เด็ดดอกไม้ได้เองโดยธรรมชาติ จะมีความปรารถนาโดยฉับพลัน ในอันที่จะไม่ทำลายสิ่งต่างๆ ไม่ทำลายผู้คน ซึ่งก็หมายถึงการมีความเคารพนับถือ หรือความรักที่แท้จริงนั่นเอง

การที่จะรักนั้น - เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต

แต่ที่ว่ารักนั้น หมายถึงอะไรล่ะ

เมื่อเธอรักใครสักคนหนึ่ง เพราะว่าเขาคนนั้นมีความรักต่อเธอ

นั่นไม่ใช่ความรัก

การที่จะรักคือการมีความรู้สึกรักเป็นพิเศษ

โดยไม่มีการเรียกร้องสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นการตอบแทน

เธออาจจะเฉลียวฉลาดสอบได้ทุกครั้ง มีปริญญาเอก และมีตำแหน่งหน้าที่การงานสูง แต่หากเธอไม่มีความรู้สึกรับรู้ได้อย่างว่องไวเช่นนี้ ดวงใจของเธอจะว่างเปล่า และเธอจะทุกข์ทนหม่นไหม้ไปจนชั่วชีวิต


ดังนั้น

จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก ที่ดวงใจจะเต็มเปี่ยมด้วยความรู้สึกแห่งรัก เพราะหลังจากนั้น เธอจะไม่ทำลาย ไม่หยาบคายอำมหิต และจะไม่มีสงครามอีกต่อไป นับจากนั้น เธอจะเป็นมนุษย์ที่มีความสุข และเพราะเหตุที่เธอมีความสุข เธอจะไม่สวดวิงวอน เธอจะไม่แสวงหาพระเจ้า เพราะความสุขอันนั้นเองคือพระเจ้า


5.

เอาละ

แล้วความรักเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ความรักจะต้องเริ่มต้นจากครู เริ่มต้นจากนักการศึกษาอย่างแน่นอน นอกจากให้ข่าวสารความรู้แก่เธอในวิชาคณิตศาสตร์ภูมิศาสตร์ หรือประวัติศาสตร์แล้ว

ถ้าครูคนนั้นมีความรู้สึกแห่งความรักในหัวใจของเขา

และพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้

ถ้าครูคนนั้นหยิบเอาก้อนหินออกจากทางเดิน

หรือไม่ยอมให้คนรับใช้ทำแต่งานสกปรก

ถ้าหากในการพูดของครูคนนั้นในการงาน ในการพักผ่อนของเขา เมื่อเขารับประทานอาหาร เมื่อเขาอยู่กับเธอ หรืออยู่กับตัวเขาเองโดยลำพัง เขารู้สึกอยู่ในสภาวะอันแปลกประหลาดนี้ และชี้ให้เธอเห็นอยู่บ่อยๆ เธอก็จะรู้ว่าความรักคืออะไรได้เหมือนกัน


6.

เธออาจจะมีผิวพรรณอันหมดจด มีใบหน้าอันสวยงาม เธออาจสวมส่าหรีน่ารัก หรือเป็นนักกีฬาที่ยิ่งใหญ่ แต่ถ้าไร้ซึ่งความรักในหัวใจของเธอแล้ว เธอก็คือมนุษย์ที่น่าเกลียด น่าเกลียดยิ่งกว่าจะบอกว่าน่าเกลียดอย่างไร

แต่เมื่อเธอมีความรัก

ไม่ว่าใบหน้าของเธอจะธรรมดาสามัญหรืองดงาม

ใบหน้านั้นก็จะมีประกายรุ่งเรือง

การที่จะรักได้นั้น – เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต

และนับเป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่จะพูดเกี่ยวกับความรัก

ที่จะรู้สึกในความรัก

ที่จะทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงมันไว้

ให้คุณค่ามัน

มิฉะนั้นแล้วมันจะเหือดหายมลายไป

เพราะโลกนี้มีแต่ความโหดร้ายทารุณเป็นอย่างยิ่ง


7.

ถ้าหากขณะที่เธอยังอยู่ในวัยเยาว์ แล้วเธอไม่รู้สึกรัก ถ้าหากเธอไม่มองดูผู้คน มองดูสัตว์ มองดูดอกไม้ด้วยความรักแล้ว เมื่อเธอเติบโตขึ้น เธอก็จะพบว่าชีวิตกลวงเปล่า เธอจะโดดเดี่ยวเป็นอย่างยิ่ง และเงาดำของความกลัวจะติดตามเธอไปตลอดกาล

แต่ขณะใดที่เธอ

มีสิ่งพิเศษสุดที่เรียกว่าความรักอยู่ในหัวใจ

และสัมผัสได้ถึงความลึก

ความปีติและความปลาบปลื้มของความรักนี้

เธอก็จะค้นพบว่าสำหรับเธอนั้น

โลกถูกทำให้เปลี่ยนไปแล้ว.


หมายเหตุ : จากบางบทในหนังสือรวมงานชื่อ “ ความรัก ” ของกฤษณะมูรติ แปลโดย พยับแดด จัดพิมพ์โดย ห้องสมุดกฤษณะมูรติ ร่วมกับ สำนักพิมพ์ถ้ำแก่นจันทร์ 40 /1 . ลุ่มสุ่ม อ.ไทรโยค จ.กาญจบุรี 71150 ตีพิมพ์ครั้งแรก 1 กุมภาพันธ์ 2535


งานแปลของกฤษณะมูรติ ชิ้นนี้ เป็นงานที่ผมได้อ่านแล้วอยากให้คนหลายๆคนได้อ่าน โดยเฉพาะท่านที่สนใจในเรื่องของความรัก และอยากรู้จักว่าความรักที่แท้จริงเป็นอย่างไร มีความสำคัญต่อชีวิตมากน้อยเพียงใด และจะรู้จักมันได้อย่างไร

ครับ ผมขออนุญาต พยับแดด ผู้แปล นำงานชิ้นนี้ที่เดิมชื่อว่า “ความเรียบง่ายของความรัก” มาลง ณ ที่นี้ เพื่อเป็นของขวัญวันขึ้นปีใหม่ปี 2552 แด่ ผู้อ่านทุกท่านที่ให้เกียรติเข้ามาเยี่ยม กระท่อมทุ่งเสี้ยว ในเว็บประชาไท


และขออนุญาตใช้ชื่อใหม่จากประโยคหนึ่งในเรื่องนี้ แทนชื่อเก่า เพราะผมชอบประโยคนี้มาก (การที่จะรักนั้น – เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต) เพราะดูจูงใจชวนให้ติดตามอ่านเป็นอย่างยิ่ง รวมทั้ง การจัดวรรคตอนใหม่ ให้อ่านง่าย น่าสนใจ ตามลำดับหมายเลข ผมต้องขออภัย พยับแดด ในการถือวิสาสะในส่วนนี้ด้วยครับ เพราะผมอยากให้คนเข้ามาอ่านงานสร้างสรรค์ ที่เต็มไปด้วยคุณค่าและดีเยี่ยมชิ้นนี้มากๆ สวัสดีปีใหม่ครับ.


สันยาสี : นักบวชเร่ร่อน หรืออนาคาริก ที่มีอยู่แห่งเดียวในประเทศอินเดีย


กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่


บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
"นางแบบภาพประกอบ สุธาทิพย์ โมราลาย คอลัมนิสต์วรรณกรรมกุลสตรี ถ่ายโดยผู้เขียน" สมัยหนึ่ง ขงจื๊อกับศิษยานุศิษย์เดินทางไปรัฐชี้ เส้นทางผ่านป่าใหญ่เชิงภูเขาไท้ซัว ได้ยินเสียงร่ำไห้ของสตรีนางหนึ่งแว่วมาแต่ไกล ขงจื๊อหยุดม้า นิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “เสียงร้องไห้ฟังโหยหวนน่าเวทนานัก หญิงผู้นั้นคงได้รับทุกข์แสนสาหัสเป็นแน่” จื๊อกุงศิษย์ผู้ใกล้ชิดรับอาสาไปถามเหตุ หญิงนั้นกล่าวแก่จื๊อกุงว่า “น้าชายของฉันถูกเสือขบตายไม่นานมานี้ ต่อมาสามีของฉันก็ถูกเสือกินอีก บัดนี้เจ้าวายร้ายก็คาบเอาลูกชายตัวเล็กๆของฉันไปอีก” จื๊อกุงถามว่า “ทำไมท่านไม่ย้ายไปอยู่เสียที่อื่นเล่า” เธอตอบสะอื้น “ฉันย้ายไม่ได้ดอก” “…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมเกาะติดสถานการณ์ ความขัดแย้งทางการเมืองครั้งนี้มาแบบวันต่อวัน ตั้งแต่นปช.คนเสื้อแดงเคลื่อนขบวนเข้ากรุงเทพมาเผชิญหน้ากับรัฐบาลเมื่อกลางเดือนมีนา และเป็นเสียงเล็กๆเสียงหนึ่งในหน้าบล็อกกาซีนของเว็บประชาไท ที่คอยประสานเสียงกับผู้คนอีกมากมายหลายฝ่ายในสังคม ที่พยายามตะโกนบอกทั้งฝ่ายคนเสื้อแดงและรัฐบาลให้หลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรง ที่จะทำให้ผู้คนล้มลงตายและบาดเจ็บ เพราะเชื่อกันว่า ยังมีทางเลือกที่สามารถตกลงกันได้ โดยไม่ทำให้ผู้คนต้องเสียชีวิตและเลือดเนื้อ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดของคนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน... จนกระทั่งเว็บถูกฝ่ายควบคุมสื่อมวลชนของรัฐเข้ามาบล็อกเว็บ…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
หลังจากการเจรจากัน เรื่องการยุบสภาระหว่างรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ กลุ่ม นปช. - คนเสื้อแดง ที่ขัดแย้งกันเพราะตกลงกันไม่ได้ในเรื่องเงื่อนไขของเวลา ที่ฝ่ายคนเสื้อแดงยืนยันว่าจะต้องยุบสภาภายในเวลา 15 วัน และฝ่ายรัฐบาลบอกว่ายุบสภาก็ได้แต่ต้องรออีก 9 เดือน ผ่านไปสองครั้ง และยังไม่สามารถตกลงกันได้
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมเกาะติดสถานการณ์ การชุมนุมเรียกร้องของมวลชนคนเสื้อแดง ที่พยายามกดดันเรียกร้องให้รัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภา ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 53 เรื่อยมาจนถึงวันนี้ (24 มีนา 53) ซึ่งทีแรก หลังจากที่รัฐบาลถูกราดเลือดตอบโต้คำปฏิเสธแล้ว ต่างฝ่ายต่างมีทีท่าว่า จะหันหน้ามาเจรจาตกลงกันด้วยสันติ แต่พอเอาเข้าจริงๆก็ล้มเหลว เพราะต่างฝ่ายต่างก็ไม่สามารถจะยอมรับกันได้ ด้วยเหตุผลที่เป็นหลักใหญ่ที่ขัดแย้งอย่างสุดๆ  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ใช่หรือมิใช่ นอกจากอำนาจนิติรัฐ และอำนาจจากกองทัพทหารตำรวจ ที่คอยแวดล้อมปกป้องครองรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังมีอำนาจที่น่ากลัวอีกอำนาจหนึ่ง ที่สามารถกำหนดชัยชนะและความพ่ายแพ้ของมวลชนคนเสื้อแดง นั่นคือ อำนาจ ของสื่อมวลชนกระแสหลัก ที่ได้รับความเชื่อถือจากผู้คนส่วนใหญ่ในสังคม  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
เราไม่รู้ว่า รัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คิดผิดหรือคิดถูก ที่ใช้อำนาจนิติรัฐสั่งยึดทรัพย์ ทักษิณ ชินวัตร แล้วยังหมายมาดจะใช้อำนาจนี้ ขย้ำขยี้ด้วยคดีอาญาอีกมายหลายคดี เพื่อทำลาย ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวแบบไม่ให้ได้ผุดได้เกิด ราวกับว่ารัฐบาลนี้จะยึดกุมอำนาจการบริหารประเทศแต่เพียงผู้เดียว โดยไม่มีใครกล้าเข้าไปแตะต้อง ไปจนตราบชั่วฟ้าดินสลาย
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  อ่าน ดู และฟัง เรื่องราว ของ ทักษิณ ชินวัตร จากมุมมอง คนรัก ทักษิณ ชินวัตร สื่อสาร อ่าน ดู และฟังแล้ว ก็น่าเชื่อถือว่าเป็นความจริง ตามที่เขาว่า ทักษิณ ชินวัตร มิได้เป็นคนโกง แต่ถูกเขากลั่นแกล้งทำลาย
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  26 ก.พ. 53 พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ ของ ทักษิณ ชินวัตร คน คน คน คน คนทั้งประเทศต่างเฝ้ารอดู ชะตากรรม ชะตากรรม ชะตากรรม ชะตากรรม ชะตากรรม ของ ทักษิณ ชินวัตร ภายใต้อำนาจศาลสถิตยุติธรรมของสังคมไทย ว่าเขาจะถูกศาลพิพากษาตัดสินอย่างไร ถูกยึดเอาทรัพย์ทั้งหมด ถูกยึดเอามากเหลือไว้แต่น้อย ถูกยึดเอาไปเพียงบางส่วน หรือไม่ถูกยึดเลยแม้แต่สลึงเดียว... คน คน คน คน คนทั้งประเทศต่างเฝ้ารอดู
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  “ความเจ็บปวดเป็นเรื่องเฉพาะตัว” ใครคนหนึ่งนิยามในเชิงสรุปเรื่องนี้ขึ้นมาลอยๆ หลังจากนั่งพูดคุยกันมามากมายหลายเรื่อง แล้วมาลงเอยที่เรื่องราวความเจ็บปวดในชีวิต ที่เราซึ่งต่างโตเป็นผู้ใหญ่ ต่างก็ได้ประสบกันมาคนละมิใช่น้อย จากประสบการณ์ต่างๆที่ผ่านมาในชีวิต เช่น ความรัก ความหวัง ความฝัน ความทะเยอทะยาน หน้าที่การงาน อุบัติเหตุ การถูกทำร้าย ความเจ็บไข้ได้ป่วย หนี้สิน หรือแม้กระทั่งเรื่องราวบางเรื่อง ที่ทำให้เราขัดแย้งกับตัวเอง ฯลฯ
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมจำได้ว่า ผมเคยเขียนเรื่องเกี่ยวกับการ “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ซึ่งเป็นเรื่อง “กฎแห่งกรรม” ตามหลักของพุทธศาสนาในระดับศีลธรรม ด้วยความเชื่อว่ามันเป็นสัจธรรมของชีวิต แล้วมีผู้แย้งมาในทำนองที่ว่า ไม่อยากจะเชื่อว่ามันเป็นกฎอันเฉียบขาดของโลกและชีวิตมนุษย์ เพราะบ่อยครั้งที่เขาทำดี...แล้วไม่เห็นได้ดี จนเขานึกท้อที่จะทำความดี
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  คุณค่าผลงานวรรณกรรม 'รงค์ วงษ์สวรรค์ เป็นนักเขียนที่มีผลงานหลากหลายประเภท นับตั้งแต่ข้อเขียนบรรยายภาพ คอลัมน์ในนิตยสาร เรื่องสั้น นวนิยาย และงานเขียนปกิณกะอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นยังมีงานร้อยแก้วที่มีลักษณะลีลาของร้อยกรองปลอดฉันทลักษณ์ หรือร้อยกรองรูปแบบอิสระปรากฏอยู่ เป็นช่วงสั้นๆในนวนิยายบางเรื่องด้วย ผลงานหลากประเภทดังกล่าวมีจำนวนมากมาย เฉพาะงานเขียนที่รวมเล่มแล้วมีจำนวนประมาณ 100 เล่ม ส่วนใหญ่เป็นเรื่องสั้น บทความ และข้อเขียนจากคอลัมน์ต่างๆ
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมนึกแปลกใจ ที่งานเขียนนวนิยายหลายเล่มของ ’รงค์ วงษ์สวรรค์ ไม่ว่าจะเป็นนักอ่าน นักเขียน นักวิเคราะห์วรรณกรรม หรือแม้กระทั่งคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ที่ประกาศยกย่องเชิดชูให้เขาเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณกรรม ปี 2538 ต่างมีความเห็นตรงกันว่า นวนิยายที่เป็นงานโดดเด่น หรือที่ภาษาทางศิลปะเรียกกันว่าเป็นงานมาสเตอร์พีซของ ’รงค์ วงษ์สวรรค์ คือ นวนิยายเรื่องสนิมสร้อย ใต้ถุนป่าคอนกรีท เสเพลบอยชาวไร่ ผู้มียี่เกในหัวใจ ฯลฯ โดยเฉพาะสนิมสร้อยนั้น ดูเหมือนจะถูกยกย่องไว้สูง จนไม่มีเรื่องใดมาเทียบได้ และหลงลืมหรืออาจจะจงใจหลงลืม นวนิยายเรื่องหนึ่งของเขาที่ชื่อว่า “คืนรัก”