Skip to main content

1

- สวัสดีครับ
- สวัสดีค่ะ

- ต้องการพูดกับใครไม่ทราบครับ
- ดิฉันต้องการพูดกับ คุณแดนทิวา คนที่เป็นนักเขียนบทกวีค่ะ

- ผมกำลังพูดกับคุณอยู่พอดีครับ
- โอ๋ ดีจังเลย

- เอ...ผมรู้สึกว่า ผมไม่เคยได้ยินน้ำเสียงนี้ทางโทรศัพท์มาก่อนเลยนะ
- ถูกต้องค่ะ

- ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าคุณกับผมเคยเป็นคนรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่านะ
- คุณไม่รู้จักดิฉันหรอกคะ แต่ดิฉันบังเอิญรู้จักคุณจากหนังสือรวมบทกวีเล่มหนึ่งของคุณ ที่ดิฉันได้มาจากร้านขายหนังสือเก่าแห่งหนึ่ง พร้อมกับเบอร์โทรศัพท์และที่อยู่ของคุณค่ะ

- (หัวเราะ) แค่นี้เองหรือครับที่คุณรู้จักผม
- ค่ะ แค่นี้เองค่ะ

- แล้วคุณจะไม่แนะนำตัวให้ผมรู้จักบ้างสักนิดหนึ่งหรือครับ
- ดิฉันหรือคะ ดิฉันคือผู้หญิงคนหนึ่งที่ผ่านประสบการณ์ชีวิต และเรียนรู้ชีวิตมา...เท่าที่คนคนหนึ่งที่เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่แล้วควรจะได้ประสบและเรียนรู้ แต่ขณะนี้...ดิฉันได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ขอมีชีวิตอยู่ในโลกนี้อีกต่อไป

- อะไรนะครับ ! กรุณาพูดใหม่ให้ผมได้ยินชัด ๆ อีกสักครั้งหนึ่งจะได้ไหม
- ค่ะ ดิฉันคือผู้หญิงคนหนึ่งที่ผ่านประสบการณ์ชีวิต และเรียนรู้ชีวิตมา...เท่าที่คนคนหนึ่งที่เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่แล้วควรจะได้ประสบและเรียนรู้ แต่ขณะนี้...ดิฉันได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ขอมีชีวิตอยู่ในโลกนี้อีกต่อไป

- โอ้โฮ ! ดูเหมือนคุณจะทำสคริปเตรียมท่องบทนี้มาโดยไม่ตกหล่นเลยนะครับ  แต่เอ...ผมว่าคุณน่าจะโทร.เข้ามาหาคนผิดเสียแล้ว เรื่องเศร้าสุด ๆ แบบนี้...คุณน่าจะโทร.ไปหาจิตแพทย์โทร.ไปหาพระ หรือไม่ก็โทร.ไปหาศูนย์ฮอทไลท์ที่ไหนสักแห่งหนึ่ง ที่นั่นเขามีคนเก่ง ๆ แทบทุกสาขาวิชาเกี่ยวกับคนที่อยากจะตาย คอยบริการปลอบโยนและให้กำลังใจเอาไว้อย่างดีเลยนะ
- อย่างนั้นหรือคะ

- ใช่ ผมคิดว่าคุณคิดผิดมาก ๆ ที่โทรเข้ามาหาคนอย่างผม เพราะนอกจากผมจะสรรหาคำปลอบโยนเพื่อให้กำลังใจ และหาเหตุผลดี ๆ ในการมีชีวิตอยู่ เพื่อให้คุณลุกขึ้นมาต่อสู้ชีวิตใหม่ไม่ได้แล้ว บางที...คนอย่างผมอาจจะเป็นตัวเร่งทำให้คุณลงมือกับตัวเอง ก่อนจะถึงเวลาอันควรด้วยซ้ำ
- ( หัวเราะ ) แล้วยังไงอีกคะ
- อ๋อ...พอคุณรีบลงมือทำกับตัวเองด้วยวิธีการใด ๆ ก็แล้วแต่ คุณอาจจะเสียใจที่พบว่าตัวเองคิดผิด...ในเวลาที่สายเกินแก้ไปเสียแล้ว ความเจ็บปวดไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ นะครับ ถ้าเจอของจริงเข้ากับตัวเอง เพราะไม่รู้จักวิธีการลงมือที่เฉียบขาดแบบมืออาชีพ
- คุณเคยมีประสบการณ์กับตัวเองมาก่อนหรือคะ

- เปล่า ! ผมเพียงแค่เคยเห็นคนที่เป็นกันแบบนี้มาก่อนเท่านั้นเอง บางคนเจ็บปวดทุรนทุรายอย่างน่าสมเพช ก่อนจะค่อย ๆ จากไปอย่างทุลักทุเล บางคนกลายเป็นคนไม่สมประกอบไปตลอดชีวิต และไม่เคยคิดถึงมันอีกเลย มันเป็นเรื่องที่ไม่สง่างามเลยนะครับ ถ้าหากมือไม่ถึง...
- อย่างนั้นหรือคะ

-ใช่ ผมว่าทางที่ดีคุณรีบวางหู แล้วโทร.ไปหาคนที่เขาทำหน้าที่นี้โดยตรง จะดูดีกว่า...มาเสี่ยงกับคนอย่างผม
- ( หัวเราะ ) คุณประเมินความเป็นคนของดิฉันผิดและต่ำไปค่ะ ดิฉันไม่ใช่คนปัญญาอ่อนที่คิดและตัดสินอะไรแล้ว ยังต้องวิ่งไปหาคนโน้นคนนี้มาสนับสนุนหรือคัดค้านตัวเอง ว่าเป็นสิ่งที่ควรหรือไม่ควร

- อ้าว ! ถ้าคุณมั่นใจว่าตัวเองมีสติปัญญาสูงส่งและฉลาดเลิศล้ำถึงเพียงนี้ คุณก็ไม่น่าจะเสียเวลาโทร.เข้ามาหาผมหรือโทร.ไปหาใครในเมื่อการเลือกตัดสินชีวิตของคุณ  ไม่ต้องการจะพึ่งพาความคิดของใคร
- อ๋อ...แน่นอนค่ะ คนอย่างดิฉัน...นอกจากไม่ต้องการจะพึ่งพาความคิดของใครในโลกนี้แล้ว ดิฉันยังไม่ต้องการให้ใครมาคิดหาเหตุผลในการเลือกตัดสินชีวิตของดิฉัน แทนตัวดิฉันด้วย

2

- อ๋อ...อย่างนั้นหรือครับ ผมพอจะเข้าใจอะไรแล้วหละ
- เข้าใจอย่างไรคะ

- เพราะคุณกลัวว่าการเลือกตัดสินชีวิตของคุณ จะถูกไอ้พวกนักคิดสารเลวที่ชอบยื่นหัวไปคิดโน่นคิดนี่แทนคนอื่นเขา แล้วก็เที่ยวไปสรุปป่าวประกาศชีวิตของคนอื่นเขา ตามความเข้าใจของตัวเองที่คิดเอาเองว่า...มันจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จะทำให้การเลือกตัดสินชีวิตของคุณกลายเป็นโศกนาฎกรรมราคาถูกในภายหลังใช่ไหม คุณจึงรู้สึกว่าตัวเองจำเป็นต้องบอกเหตุผลในการเลือกของคุณแก่ใครสักคนหนึ่ง เพื่อความตายของคุณจะได้แลดูหมดจดงดงามและเป็นระเบียบเรียบร้อย คุณจึงโทร.เข้ามาหาผมว่างั้นเถอะ
- แล้วคุณคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ดิฉันไม่ควรกระทำดอกหรือ เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องของการมีชีวิตอยู่อีกต่อไปเพราะการมีชีวิตอยู่...เรายังมีโอกาสนับครั้งไม่ถ้วนที่จะลบล้างความเท็จที่คนอื่นเสกสรรปั้นแต่งสร้างวาทกรรมที่ไม่เป็นจริงให้แก่ตัวเรา ซึ่งเป็นความเลวร้ายที่น่ารังเกียจที่สุดที่คนเรามักกระทำต่อกัน แต่กับความตาย...เราไม่มีโอกาสแม้เพียงสักครั้งเดียว

- ( น้ำเสียงอ่อนลง ) คนในโลกนี้...มีอยู่มากมายตั้งหลายล้านคน ทำไมคุณไม่โทร.ไปหา ทำไมคุณดูเหมือนจะจงใจเลือกโทร.เข้ามาหาผมโดยเฉพาะ
- เพราะว่าคุณเป็นกวียังไงล่ะคะ

- แล้วกวีมันเกี่ยวอะไร กับการที่คุณจะบอกเหตุผลในการเลือกตัดสินชีวิตของคุณ
- เพราะพวกกวี น่าจะเป็นคนประเภทเดียวในโลกนี้ ที่สามารถยอมรับเหตุผลของชีวิตที่คนธรรมดาสามัญยอมรับกันไม่ได้

- คุณรู้ได้อย่างไร
- รู้ได้จากการวิเคราะห์แนวคิดในหนังสือบทกวีของคุณยังไงล่ะคะ ดิฉันจึงมั่นใจว่าดิฉันคิดถูก ที่เลือกและตัดสินใจโทร.เข้ามาหาคุณ

- โอ้ ขอบคุณ...ขอบคุณมาก ๆ ที่ให้เกียรติแก่กวีผู้ต่ำต้อยอย่างผม ไหนคุณลองบอกผมมาซิ...อะไรคือเหตุผลในการเลือกตัดสินชีวิตของคุณ
- คนที่ตระหนักถึงความจริงของชีวิตด้วยตัวเองอย่างแน่ชัด ว่าแท้จริงแล้วชีวิตนี้เป็นสิ่งที่ไร้สาระและน่าเบื่อ จนไม่มีความเชื่อใด ๆ แม้แต่หลักธรรมคำสอนทางศาสนาที่ดีที่สุด ก็ไม่อาจทำให้เขาเชื่อและศรัทธาได้ มันควรจะเป็นเหตุผลของชีวิตที่เพียงพออย่างยิ่งมิใช่หรือ

- นี่...คือเหตุผลที่ดีที่สุดของคุณว่างั้นเถอะ
- แล้วกวีที่ชอบเยาะเย้ยมนุษย์อย่างคุณ เคยพบเหตุผลของชีวิตจากคนที่เขาไม่ปรารถนาจะมีชีวิตอยู่ ที่ดี ยิ่งกว่านี้หรือเปล่าคะ

- อือ...เอาล่ะเอาล่ะ ผมยอมรับว่าผมยังไม่เคยพบ และต้องยอมรับว่า...นี่คือเหตุผลที่ดีที่สุดและสูงส่งที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลส่วนตัวของคุณหรือของใครก็ตามที่เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วได้ตระหนักอย่างแน่ชัดด้วยตัวเองว่า ชีวิตนี้เป็นเรื่องที่ไร้สาระและน่าเบื่อจริง ๆ
- ขอบคุณค่ะ ที่คุณมองเห็นและเข้าใจ

- ครับ ผมเข้าใจ เพราะผมเองก็เป็นคนคนหนึ่งที่ได้ตระหนักในเรื่องนี้ ไม่ยิ่งหย่อนกว่าคุณ หรืออาจจะมากกว่าคุณด้วยซ้ำ
- อย่างนั้นหรือคะ

- ใช่ แต่วิธีการคิดและเลือกจัดการกับชีวิตของตัวเองระหว่างคุณกับผม จากการตระหนักแน่ชัดในเรื่องนี้ แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
- แตกต่างกันอย่างไรคะ ในเมื่อเราต่างมองเห็นชีวิตไปในทิศทางเดียวกัน

- แตกต่างกันที่ความเป็นคนของคุณและผม
- ความเป็นคนของคุณเป็นอย่างไรคะ

-ความเป็นคนของผมนะหรือ ( หัวเราะ ) คนอย่างผมนะ ไม่ใช่คนที่สิ้นหวังหมดหวังในชีวิต หรือมองเห็นความไร้สาระในชีวิตอย่างคุณ... แล้วคิดจะฆ่าตัวเอง ผมเป็นคนประเภทคิดแต่จะฆ่าคนอื่น...
- โอ พระเจ้า ! คุณเป็นคนที่ไม่น่าเข้าใกล้เลย ทำไมคุณเป็นคนน่ากลัวอย่างนี้ล่ะคะ

- พระเจ้าคงส่งให้ผมมาเกิดเป็นคนแบบนี้ เพื่อเป้าหมายอันสูงส่งอะไรสักอย่างกระมั้ง
- คุณจึงเลือกที่จะมีชีวิตอยู่

- คุณมีเหตุผลที่ดีที่สุดในการเลือกที่จะตาย คนอย่างผมก็มีเหตุผลที่ดีที่สุดในการเลือกที่จะมีชีวิตอยู่ได้เหมือนกันนี่นา !
- อยู่เพื่อฆ่าใครสักคนหนึ่งอย่างนั้นหรือคะ

- ( หัวเราะ ) ไม่ใช่เพียงแค่คนหนึ่ง สมัยที่ผมยังเป็นหนุ่ม มีคนที่ผมคิดจะฆ่ามากกว่าสิบคน แต่จนป่านนี้...ผมก็ยังไม่ได้ลงมือฆ่าใครสักคน  แม้แต่คนที่ทำให้ผมเจ็บแค้นมากที่สุด และคิดอยากจะฆ่าเขาจนใจจะขาด
- เพราะอะไรคะ

- เพราะหลายต่อหลายครั้ง เมื่อผมตัดสินใจลงมือจะเชือดคอเขาให้สาแก่ใจ ผมก็มักจะมีพลังอะไรบางอย่าง คอยฉุดดึงผมเอาไว้ทุกครั้งจนผมนึกแปลกใจ
- พลังอะไรบางอย่างนั้นคืออะไร

-  ตอนแรกผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร แต่มันคอยฉุดดึงผมให้สะดุดอยู่เรื่อย  เวลามีเหตุทำให้ผมเกิดความอยากจะ ฆ่า ใครสักคน ผมจึงค่อย ๆ หันหน้าไปมองดูมันอย่างพินิจพิเคราะห์แล้วผมก็ค่อย ๆ พบว่าภายในตัวตนของผม นอกจากพลังของความเกลียดมนุษย์... ที่ทำให้ผมอยากจะฆ่าคนแล้ว ผมพบว่าผมยังมีพลังของความรักในศิลปะ ที่ทำให้ผมอยากจะเขียนหนังสือซับซ้อนอยู่ภายในตัวตนของผม พลังของความรักนี่แหละที่คอยยับยั้งผมเอาไว้...
- อย่างนั้นหรือคะ

- ใช่ วันหนึ่งผมจึงเริ่มต้นลงมือเขียนหนังสือ และยิ่งผมลงมือเขียนหนังสือ ซึ่งเป็นงานที่ทำให้ผมค้นพบว่า ...มันเป็นงานที่ยากยิ่งกว่าการพยายามฆ่าคนตายมากมายหลายเท่า แต่ผมกลับชอบและนึกสนุกกับการท้าทายต่อความยากของมัน ผมจึงค่อย ๆ พบว่าพลังแห่งความเกลียดมนุษย์ของผมค่อย ๆ อ่อนล้าและเจือจางลง เหมือนเราเทน้ำที่ใสสะอาดลงไปในบ่อน้ำที่ขุ่นมัวและสกปรก ยิ่งเราเทน้ำใสลงไปในบ่อมากเท่าไหร่ น้ำในบ่อที่ขุ่นมัวและสกปรกก็ยิ่งแลดูสะอาดมากขึ้นเท่านั้น
- คุณก็เลยกลายเป็นกวีแทนที่ควรจะเป็นฆาตกร

- แล้วคุณคิดว่าผมควรจะเป็นอะไร ผมเขียนบทกวีผมก็ต้องเป็นกวี หรือคุณอยากจะเห็นผมเป็นฆาตกร เพราะคุณอยากจะเป็นเหยื่อของผม
- ( หัวเราะ ) เสียใจด้วยค่ะ คนอย่างดิฉันนอกจากตัวเองแล้ว ดิฉันยังไม่เคยคิดอยากจะตกเป็นเหยื่อของใคร และยังไม่เคยมีใครที่แข็งแรงพอที่จะทำให้คนอย่างดิฉันยอมตกเป็นเหยื่อได้ ดิฉันเพียงแต่คิดว่าคนที่เป็นกวีไม่น่าจะมีวิญญาณของฆาตกรเจือปนแอบแฝงอยู่แค่นั้นเอง

- ( หัวเราะ ) คนที่ไม่มีวิญญาณของฆาตกรอยู่ในตัวเอง เป็นกวีไม่ได้หรอกครับ
- ทำไมคนดี ๆ จึงเป็นกวีไม่ได้ล่ะคะ

- เพราะการเขียนบทกวี คือการขุดลึกลงไปเอาส่วนที่ลึกที่สุดในหัวใจของมนุษย์ออกมาเปลือยเปล่าต่อสายตาของโลก คนที่เป็นกวีทุกคนจึงจำเป็นต้องมีวิญญาณของฆาตกรคอยฆ่าความกลัวของตัวเอง ที่จะนำส่วนลึกที่สุดในหัวใจของตัวเองออกมาเปลือยเปล่า คนที่ไม่มีวิญญาณของฆาตกรเจือปนแอบแฝงอยู่จึงไม่มีวันที่จะเป็นกวีได้ เพราะราคาของกวีนั้น...จะต้องซื้อด้วยการทำงานหนักและด้วยความกล้าหาญของฆาตกรเพียงประการเดียวเท่านั้น
- ค่ะ ดิฉันเชื่อแล้วค่ะว่าคุณเป็นกวีอย่างแท้จริง

- แน่นอน และนี่คือเหตุผลที่ดีที่สุดในการเลือกมีชีวิตอยู่กับชีวิตที่ไร้สาระและน่าเบื่อของผม
- ขอบคุณค่ะ ที่เปิดเผยตัวเองให้ดิฉันได้รู้จักอย่างลึกซึ้ง ส่วนตัวดิฉัน ดิฉันคิดว่าดิฉันได้สื่อสาร สิ่งที่ดิฉันต้องการจะสื่อสารแก่คนที่ดิฉันต้องการจะสื่อสาร จนประสบความสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ณ นาทีของชีวิตที่น่าเบื่อนี้ ดิฉันคิดว่า ...ถึงเวลาแล้วใช่มั้ยคะ ที่เราจะต้องยุติความสัมพันธ์กันเพียงแค่นี้

- อา ! เวลาสำหรับเรามาถึงที่สุดแล้วหรือนี่ !
- ค่ะ แล้วคุณไม่ต้องกลัวด้วยนะคะว่าตัวของคุณจะเกิดความรู้สึกผิดในภายหลัง เพราะคิดว่าตัวเองมีส่วนเร่งเร้าหรือเปลี่ยนแปลงการตัดสินชีวิตของดิฉัน เพราะดิฉันไม่รู้สึกสั่นคลอนอะไร ไม่ว่าจะเป็นด้านบวกหรือด้านลบ เมื่อได้สัมผัสกับความคิดและตัวตนของคุณ ที่ต่างกันกับดิฉันเหมือนกลางวันและกลางคืน เหมือนสีขาวกับสีดำ

- ครับ ผมเข้าใจ ชีวิตคนเรามันต้องเป็นเช่นนี้ซินะ ชีวิตใครก็คือชีวิตของคนนั้น ไม่มีใครไปกำหนดหรือเปลี่ยนแปลงใครได้ง่าย ๆ  เพราะถึงที่สุดของชีวิตแล้ว คนเราก็ต้องเลือกและตัดสินใจด้วยตัวของเราเอง เพราะมันคือชีวิตของเรา ผมเชื่อว่าคนเราทุกคนย่อมรู้แก่ใจดี ว่าอะไรคือเหตุผลที่ดีที่สุดของตัวเองในการที่จะเลือกและตัดสินใจอะไรสักอย่าง...
- นี่...คือบทเทศนาก่อนลาจากหรือเปล่าคะ

- โอ ไม่...ไม่เลย ผมเพียงแค่อยากจะบอกคุณว่า  เมื่อคุณมั่นใจว่าความไร้สาระของชีวิตคือเหตุผลที่เพียงพอและดีที่สุดในการเลือกที่จะตายของคุณ ใครเลยจะหักห้ามความปรารถนาของคุณได้...ถ้าคุณต้องการจะตายจริง ๆ  ไปเถิด..ถ้าคุณอยากตายก็จงตาย .แล้วผมจะบอกให้โลกที่มีแต่คนชอบทำเรื่องของคนอื่นให้คนเข้าใจผิด ได้รับรู้อย่างถูกต้องว่า วันหนึ่ง มีผู้หญิงที่น่ารักและงดงามคนหนึ่ง มาฝากฝังความจริงที่แท้จริงในการตัดสินชีวิตของเธอเอาไว้ที่นี่ ก่อนจะออกเดินทางไกล...
- ขอบคุณค่ะ สวัสดี และลาก่อนนะคะ

- ครับ สวัสดี.

************

*** หมายเหตุผู้เขียน นี่เป็นเรื่องสั้นที่ผมส่งไปทักทายการกลับมาอีกครั้งหนึ่งของหนังสือช่อการะเกด ที่บรรณาธิการโดยสุชาติ สวัสดิ์ศรี เรื่องสั้นเรื่องนี้ของผมเป็นหนึ่งในสามร้อยกว่าเรื่องที่ไม่ผ่านการคัดเลือก ที่คัดเลือกได้เพียง 12 เรื่อง และได้รับการคอมเมนท์ กลับมาว่า “เรื่องสั้นของคุณยังไม่ได้ใจผม อยากให้ลองใหม่อีกครั้ง ไม่ต้องรีบร้อน...”

ผมจึงนำเรื่องสั้นเรื่องนี้มาลงที่นี่ เพราะถึงแม้ความงามของผู้หญิงคนนี้จะไม่ได้ใจพี่สุชาติ แต่สำหรับผม ผู้หญิงคนนี้ใช่เลย ผมจึงไม่อาจทิ้งขว้างเธอได้ เพราผมชอบของผมแบบนี้ ผมจึงนำเธอมาปรากฏตัวที่นี่.   

 

บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
"นางแบบภาพประกอบ สุธาทิพย์ โมราลาย คอลัมนิสต์วรรณกรรมกุลสตรี ถ่ายโดยผู้เขียน" สมัยหนึ่ง ขงจื๊อกับศิษยานุศิษย์เดินทางไปรัฐชี้ เส้นทางผ่านป่าใหญ่เชิงภูเขาไท้ซัว ได้ยินเสียงร่ำไห้ของสตรีนางหนึ่งแว่วมาแต่ไกล ขงจื๊อหยุดม้า นิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “เสียงร้องไห้ฟังโหยหวนน่าเวทนานัก หญิงผู้นั้นคงได้รับทุกข์แสนสาหัสเป็นแน่” จื๊อกุงศิษย์ผู้ใกล้ชิดรับอาสาไปถามเหตุ หญิงนั้นกล่าวแก่จื๊อกุงว่า “น้าชายของฉันถูกเสือขบตายไม่นานมานี้ ต่อมาสามีของฉันก็ถูกเสือกินอีก บัดนี้เจ้าวายร้ายก็คาบเอาลูกชายตัวเล็กๆของฉันไปอีก” จื๊อกุงถามว่า “ทำไมท่านไม่ย้ายไปอยู่เสียที่อื่นเล่า” เธอตอบสะอื้น “ฉันย้ายไม่ได้ดอก” “…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมเกาะติดสถานการณ์ ความขัดแย้งทางการเมืองครั้งนี้มาแบบวันต่อวัน ตั้งแต่นปช.คนเสื้อแดงเคลื่อนขบวนเข้ากรุงเทพมาเผชิญหน้ากับรัฐบาลเมื่อกลางเดือนมีนา และเป็นเสียงเล็กๆเสียงหนึ่งในหน้าบล็อกกาซีนของเว็บประชาไท ที่คอยประสานเสียงกับผู้คนอีกมากมายหลายฝ่ายในสังคม ที่พยายามตะโกนบอกทั้งฝ่ายคนเสื้อแดงและรัฐบาลให้หลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรง ที่จะทำให้ผู้คนล้มลงตายและบาดเจ็บ เพราะเชื่อกันว่า ยังมีทางเลือกที่สามารถตกลงกันได้ โดยไม่ทำให้ผู้คนต้องเสียชีวิตและเลือดเนื้อ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดของคนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน... จนกระทั่งเว็บถูกฝ่ายควบคุมสื่อมวลชนของรัฐเข้ามาบล็อกเว็บ…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
หลังจากการเจรจากัน เรื่องการยุบสภาระหว่างรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ กลุ่ม นปช. - คนเสื้อแดง ที่ขัดแย้งกันเพราะตกลงกันไม่ได้ในเรื่องเงื่อนไขของเวลา ที่ฝ่ายคนเสื้อแดงยืนยันว่าจะต้องยุบสภาภายในเวลา 15 วัน และฝ่ายรัฐบาลบอกว่ายุบสภาก็ได้แต่ต้องรออีก 9 เดือน ผ่านไปสองครั้ง และยังไม่สามารถตกลงกันได้
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมเกาะติดสถานการณ์ การชุมนุมเรียกร้องของมวลชนคนเสื้อแดง ที่พยายามกดดันเรียกร้องให้รัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภา ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 53 เรื่อยมาจนถึงวันนี้ (24 มีนา 53) ซึ่งทีแรก หลังจากที่รัฐบาลถูกราดเลือดตอบโต้คำปฏิเสธแล้ว ต่างฝ่ายต่างมีทีท่าว่า จะหันหน้ามาเจรจาตกลงกันด้วยสันติ แต่พอเอาเข้าจริงๆก็ล้มเหลว เพราะต่างฝ่ายต่างก็ไม่สามารถจะยอมรับกันได้ ด้วยเหตุผลที่เป็นหลักใหญ่ที่ขัดแย้งอย่างสุดๆ  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ใช่หรือมิใช่ นอกจากอำนาจนิติรัฐ และอำนาจจากกองทัพทหารตำรวจ ที่คอยแวดล้อมปกป้องครองรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังมีอำนาจที่น่ากลัวอีกอำนาจหนึ่ง ที่สามารถกำหนดชัยชนะและความพ่ายแพ้ของมวลชนคนเสื้อแดง นั่นคือ อำนาจ ของสื่อมวลชนกระแสหลัก ที่ได้รับความเชื่อถือจากผู้คนส่วนใหญ่ในสังคม  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
เราไม่รู้ว่า รัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คิดผิดหรือคิดถูก ที่ใช้อำนาจนิติรัฐสั่งยึดทรัพย์ ทักษิณ ชินวัตร แล้วยังหมายมาดจะใช้อำนาจนี้ ขย้ำขยี้ด้วยคดีอาญาอีกมายหลายคดี เพื่อทำลาย ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวแบบไม่ให้ได้ผุดได้เกิด ราวกับว่ารัฐบาลนี้จะยึดกุมอำนาจการบริหารประเทศแต่เพียงผู้เดียว โดยไม่มีใครกล้าเข้าไปแตะต้อง ไปจนตราบชั่วฟ้าดินสลาย
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  อ่าน ดู และฟัง เรื่องราว ของ ทักษิณ ชินวัตร จากมุมมอง คนรัก ทักษิณ ชินวัตร สื่อสาร อ่าน ดู และฟังแล้ว ก็น่าเชื่อถือว่าเป็นความจริง ตามที่เขาว่า ทักษิณ ชินวัตร มิได้เป็นคนโกง แต่ถูกเขากลั่นแกล้งทำลาย
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  26 ก.พ. 53 พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ ของ ทักษิณ ชินวัตร คน คน คน คน คนทั้งประเทศต่างเฝ้ารอดู ชะตากรรม ชะตากรรม ชะตากรรม ชะตากรรม ชะตากรรม ของ ทักษิณ ชินวัตร ภายใต้อำนาจศาลสถิตยุติธรรมของสังคมไทย ว่าเขาจะถูกศาลพิพากษาตัดสินอย่างไร ถูกยึดเอาทรัพย์ทั้งหมด ถูกยึดเอามากเหลือไว้แต่น้อย ถูกยึดเอาไปเพียงบางส่วน หรือไม่ถูกยึดเลยแม้แต่สลึงเดียว... คน คน คน คน คนทั้งประเทศต่างเฝ้ารอดู
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  “ความเจ็บปวดเป็นเรื่องเฉพาะตัว” ใครคนหนึ่งนิยามในเชิงสรุปเรื่องนี้ขึ้นมาลอยๆ หลังจากนั่งพูดคุยกันมามากมายหลายเรื่อง แล้วมาลงเอยที่เรื่องราวความเจ็บปวดในชีวิต ที่เราซึ่งต่างโตเป็นผู้ใหญ่ ต่างก็ได้ประสบกันมาคนละมิใช่น้อย จากประสบการณ์ต่างๆที่ผ่านมาในชีวิต เช่น ความรัก ความหวัง ความฝัน ความทะเยอทะยาน หน้าที่การงาน อุบัติเหตุ การถูกทำร้าย ความเจ็บไข้ได้ป่วย หนี้สิน หรือแม้กระทั่งเรื่องราวบางเรื่อง ที่ทำให้เราขัดแย้งกับตัวเอง ฯลฯ
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมจำได้ว่า ผมเคยเขียนเรื่องเกี่ยวกับการ “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ซึ่งเป็นเรื่อง “กฎแห่งกรรม” ตามหลักของพุทธศาสนาในระดับศีลธรรม ด้วยความเชื่อว่ามันเป็นสัจธรรมของชีวิต แล้วมีผู้แย้งมาในทำนองที่ว่า ไม่อยากจะเชื่อว่ามันเป็นกฎอันเฉียบขาดของโลกและชีวิตมนุษย์ เพราะบ่อยครั้งที่เขาทำดี...แล้วไม่เห็นได้ดี จนเขานึกท้อที่จะทำความดี
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  คุณค่าผลงานวรรณกรรม 'รงค์ วงษ์สวรรค์ เป็นนักเขียนที่มีผลงานหลากหลายประเภท นับตั้งแต่ข้อเขียนบรรยายภาพ คอลัมน์ในนิตยสาร เรื่องสั้น นวนิยาย และงานเขียนปกิณกะอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นยังมีงานร้อยแก้วที่มีลักษณะลีลาของร้อยกรองปลอดฉันทลักษณ์ หรือร้อยกรองรูปแบบอิสระปรากฏอยู่ เป็นช่วงสั้นๆในนวนิยายบางเรื่องด้วย ผลงานหลากประเภทดังกล่าวมีจำนวนมากมาย เฉพาะงานเขียนที่รวมเล่มแล้วมีจำนวนประมาณ 100 เล่ม ส่วนใหญ่เป็นเรื่องสั้น บทความ และข้อเขียนจากคอลัมน์ต่างๆ
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมนึกแปลกใจ ที่งานเขียนนวนิยายหลายเล่มของ ’รงค์ วงษ์สวรรค์ ไม่ว่าจะเป็นนักอ่าน นักเขียน นักวิเคราะห์วรรณกรรม หรือแม้กระทั่งคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ที่ประกาศยกย่องเชิดชูให้เขาเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณกรรม ปี 2538 ต่างมีความเห็นตรงกันว่า นวนิยายที่เป็นงานโดดเด่น หรือที่ภาษาทางศิลปะเรียกกันว่าเป็นงานมาสเตอร์พีซของ ’รงค์ วงษ์สวรรค์ คือ นวนิยายเรื่องสนิมสร้อย ใต้ถุนป่าคอนกรีท เสเพลบอยชาวไร่ ผู้มียี่เกในหัวใจ ฯลฯ โดยเฉพาะสนิมสร้อยนั้น ดูเหมือนจะถูกยกย่องไว้สูง จนไม่มีเรื่องใดมาเทียบได้ และหลงลืมหรืออาจจะจงใจหลงลืม นวนิยายเรื่องหนึ่งของเขาที่ชื่อว่า “คืนรัก”