Skip to main content

 

ผมรู้จัก
ม.ล.ศักดิ์สิน เกษมสันต์ หรือที่เราเรียกกันสั้นๆว่า คุณด้วง หรือ ด้วง ในฐานะศิลปินอิสระที่มีความสามารถที่แสดงให้เห็นเด่นชัดเท่าที่ผมได้ประจักษ์อยู่ 4 ประการ นั่นคือเป็นคนเขียนรูป เป็นคนเขียนบทกวี เป็นนักแสดงสดๆที่เราเรียกกันว่าเปอร์เฟอร์แมน และเป็นนักดนตรีที่มีความถนัดในสไตล์แบบเร็กเก้ที่น่าทึ่ง
 
เมื่อหลายปีก่อน
ตอนที่ผมยังเล่นดนตรีประจำอยู่ที่ร้านสายหมอกกับดอกไม้ ถนน 700 ปี หน้าศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ ของ คุณอันยา โพธิวัฒน์ ถ้าหากทางร้านมีงานกิจกรรมเกี่ยวกับสังคม เวลาเขาเดินทางจากต่างประเทศหรือจากกรุงเทพฯขึ้นมาวนเวียนอยู่แถวๆเชียงใหม่ เขามักจะปรากฏตัวมาช่วยเล่นดนตรีและแสดงเปอร์ฟอร์แมนแทบทุกครั้ง ครั้งหลังสุดก็คืองานคอนเสิร์ตเก็บเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยสึนามิเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2554 ที่เพิ่งผ่านไปอย่างสดๆร้อนๆ
 
ครับ
เขาวนเวียนมาเชียงใหม่จนกระทั่งในที่สุดปีนี้ ผมจึงได้ทราบข่าวอย่างแน่ชัดว่าเขาตัดสินใจลงหลักปักฐานอยู่ที่เชียงใหม่ตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยซื้อที่ดินและปลูกบ้านที่น่ารักและค่อนข้างใหญ่โตหลังหนึ่ง พร้อมด้วยที่พักสำหรับบริการนักเดินทางบนเนื้อที่ประมาณ 3 ไร่ ที่หุบเขาบ้านแพะดอยถ้ำ ต.แม่เหี๊ยะ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นภูมิภาคที่งดงามราวกับเมืองในเทพนิยาย ผมจึงไม่แปลกใจที่คนทำงานศิลปะอย่างเขาจะลงหลักปักฐานอยู่ ณ สถานที่ที่ผมได้เข้าไปเยือนแล้วรู้สึกเหมือนฝันไปว่า ตัวเองกำลังจะระลึกชาติได้
 
ครับ ประมาณหนึ่งอาทิตย์กว่าๆ
ก่อนที่เราจะร่วมงานกิจกรรมคอนเสิร์ตช่วยเหลือผู้ประสบภัยสึนามิที่ร้านสายหมอกกับนักดนตรีหลายวงหลายท่าน เราต่างก็หิ้วกีตาร์ไปช่วยเล่นในงานปาร์ตี้บนระเบียงบ้านที่ชื่อว่า “กระท่อมชมดอยชายป่า” ของ คุณกาญจน์ สุทธิพูน มือเชลโลสมัครเล่นที่อยู่ในบริเวณหุบเขาใกล้เคียงกันกับหุบเขาที่เขาไปลงหลักปักฐาน ในงานนี้เขาได้ยื่นบัตรเชิญงานแสดงนิทรรศการภาพเขียนของเขาที่ชื่อว่า Love Family Alien ให้ผม และเชิญชวนผมไปเป็นแขกในวันเปิดงาน พร้อมกับให้รายละเอียดแก่ผมว่า เป็นงานแสดงภาพเขียนขนาดค่อนข้างใหญ่จำนวน 7 ภาพของเขา
 
จากภาพสีอันเข้มข้นและอันสวยเศร้าอย่างลึกซึ้งภาพหนึ่งของเขา
ที่เขาถ่ายมาลงในบัตรเชิญ ผมพบว่าภาพเขียนของเขาเป็นภาพเขียนแบบเอ็กเพรชชั่นนิสม์กึ่งนามธรรม ที่แลดูลี้ลับชวนให้พิศวงชวนให้ค้นหาหมายในรูปและความไร้รูปภายใต้โครงสีอันหม่นมืด ที่ประกอบด้วยสีดำ น้ำเงิน ม่วง น้ำตาล ฟ้า ส้มแสด เทาและขาว
 
ผมเข้าใจว่า
งานจิตรกรรมชุดนี้ของเขา เป็นงานที่เกิดจากแรงบันดาลใจที่เกิดจากวิกฤตในชีวิตส่วนตัวของเขาที่แยกทางกับภรรยาชาวต่างประเทศของเขา ที่จากเขาไปพร้อมกับลูกๆ ก่อนที่เขาจะมาปลูกบ้านอยู่กับแม่ที่เชียงใหม่ด้วยหัวใจที่บอบช้ำ เขาจึงตั้งชื่อนิทรรศการภาพเขียนนี้ว่า Love Family Alien ที่ผมขอใช้สิทธิ์แปลออกมาเป็นภาษาไทย ตามบริบทเรื่องราวในชีวิตของเขาว่า
“ความรัก ครอบครัว ที่กลายเป็นอื่น”
 
ผมว่างานชุดนี้ของเขา
เป็นงานที่น่าสนใจมากๆเพราะเป็นงานที่รังสรรค์ออกมาจากประสบการณ์ชีวิตอันหนักหน่วงโดยตรงของเขา และเป็นเรื่องสากลที่คนเราทุกคนมีสิทธิ์ที่จะประสบด้วยกันทุกรูปทุกนาม เป็นงานที่ทำให้ผมนึกถึงงานยุคสีน้ำเงินอันเข้มข้นและยังมีร่องรอยของความเป็นเรียลลิสติกของปิคาสโซในวัยหนุ่มที่อดอยากยากจน (ซึ่งเป็นงานที่ผมชอบยิ่งกว่างานทุกยุคของปิคาสโซ)
 
ถ้าคุณสนใจงานศิลปะ
ที่เป็นทั้งการสร้างสรรค์ความงามแบบเอ็กเพรชชั่นนิสม์ และการเยียวยาหัวใจตัวเองของศิลปินหนุ่มท่านนี้ เชิญท่านแวะไปรับชมได้ ที่แสงดีแกลลอรี่ 5 ศิริมังคลาจารย์ ซอย 5 ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ตั้งแต่เวลา 18.00 ถึง 21.00 น. วันที่ 1 ถึง 30 เมษายน 2554
 
ลองไปดูสิ
ว่างานศิลปะ
ที่ประทุออกมา
จากเลือดเนื้อชีวิต
และหัวใจอันบอบช้ำของศิลปินหนุ่มคนหนึ่ง
ไปดูกันว่า
ระหว่างงานที่มีแต่เทคนิคและฝีมืออันเชี่ยวชาญ
ที่ผลิตออกมาเพื่อขาย
ที่มีอยู่ให้เห็นกันดาษดื่น
และงานที่ออกมาจากเลือดเนื้อชีวิตและหัวใจของศิลปินคนหนึ่ง
มันมีคุณค่าและความสวยงาม
และให้ความสะเทือนใจ
แตกต่างกันอย่างไร
ขอได้รับความขอบคุณ.
 
30 มีนาคม 2554
กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่
 
 

 

บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
"นางแบบภาพประกอบ สุธาทิพย์ โมราลาย คอลัมนิสต์วรรณกรรมกุลสตรี ถ่ายโดยผู้เขียน" สมัยหนึ่ง ขงจื๊อกับศิษยานุศิษย์เดินทางไปรัฐชี้ เส้นทางผ่านป่าใหญ่เชิงภูเขาไท้ซัว ได้ยินเสียงร่ำไห้ของสตรีนางหนึ่งแว่วมาแต่ไกล ขงจื๊อหยุดม้า นิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “เสียงร้องไห้ฟังโหยหวนน่าเวทนานัก หญิงผู้นั้นคงได้รับทุกข์แสนสาหัสเป็นแน่” จื๊อกุงศิษย์ผู้ใกล้ชิดรับอาสาไปถามเหตุ หญิงนั้นกล่าวแก่จื๊อกุงว่า “น้าชายของฉันถูกเสือขบตายไม่นานมานี้ ต่อมาสามีของฉันก็ถูกเสือกินอีก บัดนี้เจ้าวายร้ายก็คาบเอาลูกชายตัวเล็กๆของฉันไปอีก” จื๊อกุงถามว่า “ทำไมท่านไม่ย้ายไปอยู่เสียที่อื่นเล่า” เธอตอบสะอื้น “ฉันย้ายไม่ได้ดอก” “…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมเกาะติดสถานการณ์ ความขัดแย้งทางการเมืองครั้งนี้มาแบบวันต่อวัน ตั้งแต่นปช.คนเสื้อแดงเคลื่อนขบวนเข้ากรุงเทพมาเผชิญหน้ากับรัฐบาลเมื่อกลางเดือนมีนา และเป็นเสียงเล็กๆเสียงหนึ่งในหน้าบล็อกกาซีนของเว็บประชาไท ที่คอยประสานเสียงกับผู้คนอีกมากมายหลายฝ่ายในสังคม ที่พยายามตะโกนบอกทั้งฝ่ายคนเสื้อแดงและรัฐบาลให้หลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรง ที่จะทำให้ผู้คนล้มลงตายและบาดเจ็บ เพราะเชื่อกันว่า ยังมีทางเลือกที่สามารถตกลงกันได้ โดยไม่ทำให้ผู้คนต้องเสียชีวิตและเลือดเนื้อ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดของคนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน... จนกระทั่งเว็บถูกฝ่ายควบคุมสื่อมวลชนของรัฐเข้ามาบล็อกเว็บ…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
หลังจากการเจรจากัน เรื่องการยุบสภาระหว่างรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ กลุ่ม นปช. - คนเสื้อแดง ที่ขัดแย้งกันเพราะตกลงกันไม่ได้ในเรื่องเงื่อนไขของเวลา ที่ฝ่ายคนเสื้อแดงยืนยันว่าจะต้องยุบสภาภายในเวลา 15 วัน และฝ่ายรัฐบาลบอกว่ายุบสภาก็ได้แต่ต้องรออีก 9 เดือน ผ่านไปสองครั้ง และยังไม่สามารถตกลงกันได้
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมเกาะติดสถานการณ์ การชุมนุมเรียกร้องของมวลชนคนเสื้อแดง ที่พยายามกดดันเรียกร้องให้รัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภา ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 53 เรื่อยมาจนถึงวันนี้ (24 มีนา 53) ซึ่งทีแรก หลังจากที่รัฐบาลถูกราดเลือดตอบโต้คำปฏิเสธแล้ว ต่างฝ่ายต่างมีทีท่าว่า จะหันหน้ามาเจรจาตกลงกันด้วยสันติ แต่พอเอาเข้าจริงๆก็ล้มเหลว เพราะต่างฝ่ายต่างก็ไม่สามารถจะยอมรับกันได้ ด้วยเหตุผลที่เป็นหลักใหญ่ที่ขัดแย้งอย่างสุดๆ  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ใช่หรือมิใช่ นอกจากอำนาจนิติรัฐ และอำนาจจากกองทัพทหารตำรวจ ที่คอยแวดล้อมปกป้องครองรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังมีอำนาจที่น่ากลัวอีกอำนาจหนึ่ง ที่สามารถกำหนดชัยชนะและความพ่ายแพ้ของมวลชนคนเสื้อแดง นั่นคือ อำนาจ ของสื่อมวลชนกระแสหลัก ที่ได้รับความเชื่อถือจากผู้คนส่วนใหญ่ในสังคม  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
เราไม่รู้ว่า รัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คิดผิดหรือคิดถูก ที่ใช้อำนาจนิติรัฐสั่งยึดทรัพย์ ทักษิณ ชินวัตร แล้วยังหมายมาดจะใช้อำนาจนี้ ขย้ำขยี้ด้วยคดีอาญาอีกมายหลายคดี เพื่อทำลาย ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวแบบไม่ให้ได้ผุดได้เกิด ราวกับว่ารัฐบาลนี้จะยึดกุมอำนาจการบริหารประเทศแต่เพียงผู้เดียว โดยไม่มีใครกล้าเข้าไปแตะต้อง ไปจนตราบชั่วฟ้าดินสลาย
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  อ่าน ดู และฟัง เรื่องราว ของ ทักษิณ ชินวัตร จากมุมมอง คนรัก ทักษิณ ชินวัตร สื่อสาร อ่าน ดู และฟังแล้ว ก็น่าเชื่อถือว่าเป็นความจริง ตามที่เขาว่า ทักษิณ ชินวัตร มิได้เป็นคนโกง แต่ถูกเขากลั่นแกล้งทำลาย
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  26 ก.พ. 53 พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ ของ ทักษิณ ชินวัตร คน คน คน คน คนทั้งประเทศต่างเฝ้ารอดู ชะตากรรม ชะตากรรม ชะตากรรม ชะตากรรม ชะตากรรม ของ ทักษิณ ชินวัตร ภายใต้อำนาจศาลสถิตยุติธรรมของสังคมไทย ว่าเขาจะถูกศาลพิพากษาตัดสินอย่างไร ถูกยึดเอาทรัพย์ทั้งหมด ถูกยึดเอามากเหลือไว้แต่น้อย ถูกยึดเอาไปเพียงบางส่วน หรือไม่ถูกยึดเลยแม้แต่สลึงเดียว... คน คน คน คน คนทั้งประเทศต่างเฝ้ารอดู
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  “ความเจ็บปวดเป็นเรื่องเฉพาะตัว” ใครคนหนึ่งนิยามในเชิงสรุปเรื่องนี้ขึ้นมาลอยๆ หลังจากนั่งพูดคุยกันมามากมายหลายเรื่อง แล้วมาลงเอยที่เรื่องราวความเจ็บปวดในชีวิต ที่เราซึ่งต่างโตเป็นผู้ใหญ่ ต่างก็ได้ประสบกันมาคนละมิใช่น้อย จากประสบการณ์ต่างๆที่ผ่านมาในชีวิต เช่น ความรัก ความหวัง ความฝัน ความทะเยอทะยาน หน้าที่การงาน อุบัติเหตุ การถูกทำร้าย ความเจ็บไข้ได้ป่วย หนี้สิน หรือแม้กระทั่งเรื่องราวบางเรื่อง ที่ทำให้เราขัดแย้งกับตัวเอง ฯลฯ
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมจำได้ว่า ผมเคยเขียนเรื่องเกี่ยวกับการ “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ซึ่งเป็นเรื่อง “กฎแห่งกรรม” ตามหลักของพุทธศาสนาในระดับศีลธรรม ด้วยความเชื่อว่ามันเป็นสัจธรรมของชีวิต แล้วมีผู้แย้งมาในทำนองที่ว่า ไม่อยากจะเชื่อว่ามันเป็นกฎอันเฉียบขาดของโลกและชีวิตมนุษย์ เพราะบ่อยครั้งที่เขาทำดี...แล้วไม่เห็นได้ดี จนเขานึกท้อที่จะทำความดี
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  คุณค่าผลงานวรรณกรรม 'รงค์ วงษ์สวรรค์ เป็นนักเขียนที่มีผลงานหลากหลายประเภท นับตั้งแต่ข้อเขียนบรรยายภาพ คอลัมน์ในนิตยสาร เรื่องสั้น นวนิยาย และงานเขียนปกิณกะอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นยังมีงานร้อยแก้วที่มีลักษณะลีลาของร้อยกรองปลอดฉันทลักษณ์ หรือร้อยกรองรูปแบบอิสระปรากฏอยู่ เป็นช่วงสั้นๆในนวนิยายบางเรื่องด้วย ผลงานหลากประเภทดังกล่าวมีจำนวนมากมาย เฉพาะงานเขียนที่รวมเล่มแล้วมีจำนวนประมาณ 100 เล่ม ส่วนใหญ่เป็นเรื่องสั้น บทความ และข้อเขียนจากคอลัมน์ต่างๆ
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมนึกแปลกใจ ที่งานเขียนนวนิยายหลายเล่มของ ’รงค์ วงษ์สวรรค์ ไม่ว่าจะเป็นนักอ่าน นักเขียน นักวิเคราะห์วรรณกรรม หรือแม้กระทั่งคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ที่ประกาศยกย่องเชิดชูให้เขาเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณกรรม ปี 2538 ต่างมีความเห็นตรงกันว่า นวนิยายที่เป็นงานโดดเด่น หรือที่ภาษาทางศิลปะเรียกกันว่าเป็นงานมาสเตอร์พีซของ ’รงค์ วงษ์สวรรค์ คือ นวนิยายเรื่องสนิมสร้อย ใต้ถุนป่าคอนกรีท เสเพลบอยชาวไร่ ผู้มียี่เกในหัวใจ ฯลฯ โดยเฉพาะสนิมสร้อยนั้น ดูเหมือนจะถูกยกย่องไว้สูง จนไม่มีเรื่องใดมาเทียบได้ และหลงลืมหรืออาจจะจงใจหลงลืม นวนิยายเรื่องหนึ่งของเขาที่ชื่อว่า “คืนรัก”