Skip to main content

 

 

คราวที่แล้ว
ผมนำเรื่อง “คนดีของคนเมือง และ คนดีของชนบท” ที่แตกต่างกัน จากบทสัมภาษณ์ที่ชื่อว่า “ความคาดหวังและความจริงของประชาธิปไตยแบบไทยๆ” ของ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ซึ่งให้สัมภาษณ์ลงนิตยสารสารคดี ฉบับเดือนตุลาคม 2543 ผมคิดว่าจะหยุดเพียงแค่นั้น แต่ก็หยุดไม่ได้ เพราะพบว่ายังมีประเด็นที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านอีกสองประเด็น ที่ยังเป็นเรื่องราวที่ยังดำรงอยู่ในปี 2544 และต่อไปอีกนานเท่าไหร่ ก็คงไม่มีใครรู้ เพราะมันเป็นรื่องของอนาคต

 
นั่นคือ
ทำไมสังคมไทยจึงมีความคิดที่สุดขั้ว และแบ่งแยกกันเป็นฝักฝ่าย อย่างที่เราเห็นๆกัน เป็นเหลือง เป็นแดง เป็นเขียว เป็นขาว ฯลฯ และอีกประเด็นหนึ่ง ก็คือ ทำไมชาวบ้านเป็นคนเลือกตั้งรัฐบาล แล้วทำไมคนชั้นกลางจึงล้มล้าง ประเด็นหลังนี่ ถือว่าเป็นการให้รายละเอียดส่วนใหญ่ นอกเหนือจากทัศนะเกี่ยวกับ คนดีของคนเมืองและคนชนบทที่ต่างกัน ที่ผมนำมาลงคราวที่แล้ว ดังต่อไปนี้
 
สารคดี; ทำไมช่วงหลังสังคมไทยมีความคิดที่สุดขั้วมากขึ้น แบ่งเป็นฝ่ายกันชัดเจน จนหาทางออกไม่ได้
ดร.เอนก ; เดิมความคิดของคนไทยไม่สุดขั้ว คนไทยไม่เชื่อเรื่องการต่อสู้กันในทางความคิด การต่อสู้ที่จะเอาแพ้เอาชนะ ชี้ว่าอะไรสะอาดบริสุทธิ์ อะไรมีมลทิน คนไทยเราเน้นประสานความคิดต่างๆให้เข้าด้วยกัน เป็นวิธีคิดแบบฮินดูแบบพุทธนั่นเอง คุณจะเห็นว่า พอฮินดูหรือพราห์มเข้ามาในสุวรรณภูมิ ก็ไม่ได้ทำลายพวกนับถือผีนับถือเจ้า พอพุทธเข้ามาพุทธก็ไม่ได้ทำลายพราห์ม ไม่ได้ทำลายผีและเจ้า มันอยู่ด้วยกันได้
 
นี่เป็นรากฐานเดิมของคนไทย ในขณะที่ฝรั่ง ยิว คริสเตียน เชื่อเรื่องการต่อสู้ระหว่างความคิดที่ผิดกับถูก การชำระความคิดที่ผิดด้วยความคิดที่ถูก ถ้าจะเชื่อความคิดอะไร ก็เชื่อความคิดนั้นทั้งระบบ
แต่คนไทยจะมีลักษณะเชื่อไอ้นั่นนิด เชื่อไอ้นี่หน่อย เอามาจากทุกความคิด คือประนีประนอมนั่นเอง เอาของที่ไม่ควรจะประสานกันได้ ก็มาประสานกันได้ เดิมสังคมไทยเราเป็นแบบนี้
 
ครั้นเราไปศึกษาจากตะวันตก ก็ซึมซับวิธีคิดแบบตะวันตก ซึ่งมีพื้นฐานมาจากศาสนายิว คริสเตียน เป็นสายธารความคิดที่ว่ามีพระเจ้าองค์เดียว
 
ผมเคยเรียนที่โรงเรียนอัสสัมชัญ ซึ่งเป็นโรงเรียนคริสต์ เคยสงสัยว่า ทำไมเขาต้องมาบอกว่าพระเจ้ามีองค์เดียวเท่านั้น ผมเข้าใจว่า เขาคงหมายความว่า พระเจ้าองค์อื่นๆผิดทั้งนั้น หรือถึงถูกก็ถูกไม่จริงเท่าพระเจ้าของเรา ครูคริสต์บางคนจะมาไหว้พระสงฆ์ จะไม่สนับสนุนให้นักเรียนเคารพวิญญาณบรรพบุรุษ เพราะสิ่งเหล่านั้นนั่นมิใช่พระเจ้าที่แท้จริง
 
นี่เป็นปรัชญา เป็นวิธีคิดที่แฝงอยู่ในวิชาการตะวันตก นักศึกษาไทยที่ไปเรียนเมืองนอก หรือเรียนวิชาการสมัยใหม่ ก็เริ่มเกิดความคิด ผิด ถูก อะไรมากขึ้น การคิดแบบประนีประนอม แบบประสานประโยชน์น้อยลง พากันดูถูกว่าเป็นการคิดที่ไม่เป็นระบบ ไม่จริงจัง เอาเรื่องต่างๆมาปะปนกัน ขณะเดียวกันก็พยายามไปหาความรู้อันเป็นแก่นแท้ที่เราคิดว่าถูกต้องที่สุด เรามักตามหาความรู้ที่ถูกต้องที่สุดมาตลอด เริ่มจากความคิดรัฐสวัสดิการ เห็นว่ามันสู้รัฐสังคมประชาธิปไตยไม่ได้ สู้รัฐสังคมนิยมแบบที่รัฐเป็นผู้นำอย่างสิ้นเชิงไม่ได้ บางคนมาถึงขั้นที่เหวี่ยงไปมาสุดขั้ว อะไรก็สู้อนาธิปไตยไม่ได้ นั่น ไม่ต้องมีรัฐเลย อะไรแบบนี้ มันเป็นความคิดแบบแข่งขัน ต่อสู้กันระหว่างความคิดที่ถูกกับไม่ถูก...
 
สารคดี; ชาวบ้านเป็นคนเลือกตั้งรัฐบาล ชนชั้นกลางล้มรัฐบาล อันนี้มีนัยยะว่าอะไร
ดร.เอนก ; การเมืองของเราอำนาจไม่ได้อยู่ที่คะแนนเสียงอย่างเดียว อำนาจอยู่ที่
1. ผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ก็คือประชาชนในชนบท ตอนที่เลือกผู้ปกครอง เลือกรัฐบาล เสียงของชาวบ้านชี้ขาด ชาวบ้านเป็นคนส่วนใหญ่ จะบอกว่าชาวบ้านไทยไม่มี impact ก็ไม่ใช่
2. อำนาจนี้อยู่ที่คนชั้นกลาง คนในเมืองด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สื่อ นักคิด นักวิชาการ เห็นได้ว่า ถ้านักคิด นักวิชาการ คนชั้นกลาง หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ ไม่เอารัฐบาล รัฐบาลก็ขาดเสถียรภาพ ทำไมรัฐบาลขาดเสถียรภาพ ก็เพราะรัฐบาลที่ดูระส่ำระสายอาจถูกทหารยึดอำนาจได้ หรือถ้าคนชั้นกลางก่อม็อบหรือชุมนุมประท้วง รัฐบาลจะใช้ทหาร ตำรวจเข้าปราบ เรื่องก็จะไม่ยุติหรือลงเอยง่ายๆ
 
เพราะคนไทยยังไม่ยอมรับว่า ถ้าจะชุมนุมประท้วง ก็ต้องชุมนุมประท้วงให้มันถูกหลัก ถูกวิธีการ ในอเมริกา คุณเดินขบวนได้ แต่ห้ามกีดขวางทางจราจร อย่างที่คนไทยเกรียงไปยึดถนนพิษณุโลกไว้หนึ่งเลน ถ้าเป็นอเมริกาเขาจะถูกจับทั้งหมด คนทั่วไปก็จะไม่โวยวายว่ารัฐบาลทารุณ เขาเข้าใจกันดีว่า นี่..เป็นหลักกฎหมาย ถ้ารัฐบาลไม่ให้เขาชุมนุมรัฐบาลก็ผิด ถ้าเขาชุมนุมโดยวิธีการไม่ถูกต้องเขาก็ผิด ชัดเจนแบบนี้
 
รัฐบาลอเมริกาจึงไม่กลัวม็อบหรือหนังสือพิมพ์สักเท่าไหร่ ตราบใดที่ผู้ลงคะแนนเสียงยังสนับสนุนเขาอยู่ แต่นักการเมืองจะกลัวอะไรที่สุด เขากลัวประชาชนไม่ไว้วางใจประธานาธิบดีมากๆ ที่กลัวก็เพราะว่า ถ้าคราวหน้ามีการเลือกตั้งใหม่ พรรคของเขาจะแพ้ อำนาจการเมืองของอเมริกาอยู่ที่ผู้เลือกตั้งชัดเจน
 
แต่ของไทยมันยังไม่ชัด ยังแบ่งกันถือด้วยผู้เลือกตั้ง สื่อ นักวิชาการ ปัญญาชน เพราะฉะนั้นรัฐบาลก็เหมือนนักกายกรรม ต้องรักษาตัวเองบนเส้นลวดให้ดี ถ้าไม่ฟังเสียงคนชั้นกลาง ไม่ฟังเสียงประชาชนเลยก็ลำบาก รัฐบาลก็ปั่นป่วน ทหารจะเข้ามาเว้นวรรคเมื่อไหร่ก็ได้.
 
ครับ
ผมคงไม่มีความเห็นอะไร เพราะอาจารย์ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว โดยเฉพาะประเด็นที่สองในบ้านเมืองเรา ที่แตกต่างจากอเมริกา ที่กลัวคนที่ให้คะแนนเสียงมากกว่าคนชั้นกลาง ที่หมายถึง นักคิด นักวิชาการ และสื่อต่างๆ ที่นักการเมืองบ้านเราหวาดกลัวกันเหลือเกิน โดยเฉพาะสื่อที่เป็นกระแสหลัก
 
บางส่วนจากบทสัมภาษณ์ คุณหญิงกัลยา โสภณพานิชย์ พรรคประชาธิปัตย์ ชื่อ กัลยา โสภณพานิชย์ ส่งคำถามถึงคนรากหญ้า ‘ทำไมเขาไม่คิดถึงเรา’ ในมติชนรายวัน ฉบับวันที่ 26 กรกฎาคม 2554 หน้า 10 ที่สัมภาษณ์โดย ศักดา เสมอภพ และ พงศ์พิพัฒน์ บัญชานนท์ พอจะสะท้อนให้เห็นอำนาจของสื่อในบ้านเราที่มีต่อนักการเมือง จากคำถามและคำตอบ ดังนี้
 
ผู้สัมภาษณ์ ; ทำไมสิ่งดีๆที่ ปชป.ทำถึงมัดใจคนไม่ได้
คุณหญิงกัลยา ; พูดแล้วมันน่าเจ็บใจ พวกคุณเป็นสื่อทำไมคุณไม่เห็นรัฐบาล ปชป.ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวดีที่สุดในโลก ทำไมพวกคุณไม่เห็นทำให้คนว่างงาน 1 ล้านคน เหลือไม่ถึง 1 แสนคน ไม่มีใครพูดถึงเลย เราพูดก็ไม่มีใครได้ยิน มันเป็นข้อเท็จจริงท่ามกลางการประโคมข่าว โอ๊ย...เชียร์กันใหญ่ มันสู้กระแสไม่ได้ เราคิดดี ทำดีให้กับทุกคน แล้วเป็นรูปธรรม เกษตรกรได้ประโยชน์ แต่พอเลือกตั้ง เขาเอาเงินมาให้หนึ่งพันก็ไปแล้ว มีคนมาเล่าให้ฟังว่า ต้องกลับบ้านเพราะมีคนเอาเงินมาให้สามพัน อยู่กทม.ก็ต้องกลับ เพราะเขาให้ค่าน้ำมันมาหนึ่งพัน เพื่อไปเลือกเขา
“สิ่งที่เราทำแล้ว แต่ไม่ใกล้ชิด มันเป็นข้อบกพร่องของเรา อย่าว่าแต่ซาบซึ้ง ขอบคุณหรือผูกพันเลย... เขาอยู่มาหกปี เคยให้คนแก่สักบาทไหม แต่พอเลือกตั้งมาให้หนึ่งพันให้ไปเลือกเขา มันบ้าไหม”
 
ผู้สัมภาษณ์ ; จึงฝ่ากระแสไพร่ - อำมาตย์ไม่ได้
คุณหญิงกัลยา ; (ตอบทันควัน) เขาทำมากี่ปี เขาอยากเป็นอำมาตย์มิใช่หรือ เขามีแก้ว 3 ดวง คือ พรรค เสื้อแดง และกองกำลังติดอาวุธ แล้วสื่อก็ช่วย ปฏิเสธไม่ได้ว่าสื่อช่วยเขาโหมกันใหญ่ ก็คอยดู พวกคุณต้องรับผิดชอบด้วยที่ไปเชียร์เขาเป็นบ้าเป็นหลัง โดยกฎหมายคุณไม่ผิด แต่โดยความรู้สึก อย่าปฏิเสธเลย เพราะมันเห็นอยู่กับตา ก็ไม่เป็นไร เมื่อผลการเลือกตั้งออกมาอย่างนี้ เราก็ยอมรับ และย้อนกลับมาดูตัวเองว่าทำไม ก็ต้องค้นหาความจริง ว่าเราทำแล้ว ทุกคนก็ฮือฮาว่านโยบายดี แต่เสร็จแล้วเขาให้เงิน ก็ไปเลือกเขา มันเป็นธุรกิจการเมืองขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งน่าเสียดาย
 
ผู้สัมภาษณ์ ; ต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะแก้ไขสิ่งเหล่านั้น
คุณหญิงกัลยา ; สื่อต้องช่วยเรา ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน ถ้ายึดประโยชน์ประเทศเป็นที่ตั้ง...
 
ครับ
นี่คืออำนาจอิทธิพลของสื่อในบ้านเรา จึงไม่ใช่เรื่องที่แปลกที่คนจะกลัวสื่อ โดยเฉพาะพวกดารา ข้าราชการประจำ และนักการเมือง  ถ้าทำอะไรไม่ดี แล้วสื่อเข้าไปขุดคุ้ย...ก็มักจะย่อยยับ หรือถ้าทำอะไรดีๆ อยากให้ชาวบ้านชาวเมืองรู้กันทั้งประเทศ เพื่อหวังจะได้รับความนิยมจากประชาชนและเจ้านาย
 
แต่ถ้าสื่อเขาทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ไม่พูดถึง ไม่เชียร์ ไม่ยกย่อง ทำไปจนตายก็เปล่าประโยชน์ เพราะไม่มีใครรู้ ว่ากูเป็นคนดี และทำดีจนจะรากเลือด แต่กลับเสือกไม่ได้ดี เพราะไม่มีคนเห็น เพราะสื่อไม่ช่วยป่าวประกาศให้ชาวบ้านชาวเมืองรับรู้ นั่นเอง
 
โอ สื่อมวลชนบ้านเรานี่ น่ากลัวจริงๆ ยังไงๆคุณยิ่งลักษณ์คนสวย ก็อย่าพยายามทำให้เขาเกลียดนะครับ เพราะเพียงแค่ส.ส.ฝ่ายค้านท่านหนึ่งออกมาพูดว่า คุณยิ่งลักษณ์จะอยู่ได้ไม่เกินหกเดือน ผมก็ถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับมาเกือบสองอาทิตย์แล้ว ยิ่งถ้าคุณยิ่งลักษณ์เผลอไปทำให้สื่อเขาเกลียด แล้วถูกรุมกินโต๊ะ เหมือนฝูงมดคันไฟรุมกัดกิ้งกือ
ผมคงอกแตกตายแน่ๆ
เพราะทนเห็นคุณถูกทำร้ายไม่ไหว !
 
3 สิงหาคม 2554
กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่    
 
 

บล็อกของ ถนอม ไชยวงษ์แก้ว

ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
"นางแบบภาพประกอบ สุธาทิพย์ โมราลาย คอลัมนิสต์วรรณกรรมกุลสตรี ถ่ายโดยผู้เขียน" สมัยหนึ่ง ขงจื๊อกับศิษยานุศิษย์เดินทางไปรัฐชี้ เส้นทางผ่านป่าใหญ่เชิงภูเขาไท้ซัว ได้ยินเสียงร่ำไห้ของสตรีนางหนึ่งแว่วมาแต่ไกล ขงจื๊อหยุดม้า นิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “เสียงร้องไห้ฟังโหยหวนน่าเวทนานัก หญิงผู้นั้นคงได้รับทุกข์แสนสาหัสเป็นแน่” จื๊อกุงศิษย์ผู้ใกล้ชิดรับอาสาไปถามเหตุ หญิงนั้นกล่าวแก่จื๊อกุงว่า “น้าชายของฉันถูกเสือขบตายไม่นานมานี้ ต่อมาสามีของฉันก็ถูกเสือกินอีก บัดนี้เจ้าวายร้ายก็คาบเอาลูกชายตัวเล็กๆของฉันไปอีก” จื๊อกุงถามว่า “ทำไมท่านไม่ย้ายไปอยู่เสียที่อื่นเล่า” เธอตอบสะอื้น “ฉันย้ายไม่ได้ดอก” “…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมเกาะติดสถานการณ์ ความขัดแย้งทางการเมืองครั้งนี้มาแบบวันต่อวัน ตั้งแต่นปช.คนเสื้อแดงเคลื่อนขบวนเข้ากรุงเทพมาเผชิญหน้ากับรัฐบาลเมื่อกลางเดือนมีนา และเป็นเสียงเล็กๆเสียงหนึ่งในหน้าบล็อกกาซีนของเว็บประชาไท ที่คอยประสานเสียงกับผู้คนอีกมากมายหลายฝ่ายในสังคม ที่พยายามตะโกนบอกทั้งฝ่ายคนเสื้อแดงและรัฐบาลให้หลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรง ที่จะทำให้ผู้คนล้มลงตายและบาดเจ็บ เพราะเชื่อกันว่า ยังมีทางเลือกที่สามารถตกลงกันได้ โดยไม่ทำให้ผู้คนต้องเสียชีวิตและเลือดเนื้อ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดของคนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน... จนกระทั่งเว็บถูกฝ่ายควบคุมสื่อมวลชนของรัฐเข้ามาบล็อกเว็บ…
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
หลังจากการเจรจากัน เรื่องการยุบสภาระหว่างรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ กลุ่ม นปช. - คนเสื้อแดง ที่ขัดแย้งกันเพราะตกลงกันไม่ได้ในเรื่องเงื่อนไขของเวลา ที่ฝ่ายคนเสื้อแดงยืนยันว่าจะต้องยุบสภาภายในเวลา 15 วัน และฝ่ายรัฐบาลบอกว่ายุบสภาก็ได้แต่ต้องรออีก 9 เดือน ผ่านไปสองครั้ง และยังไม่สามารถตกลงกันได้
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมเกาะติดสถานการณ์ การชุมนุมเรียกร้องของมวลชนคนเสื้อแดง ที่พยายามกดดันเรียกร้องให้รัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภา ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 53 เรื่อยมาจนถึงวันนี้ (24 มีนา 53) ซึ่งทีแรก หลังจากที่รัฐบาลถูกราดเลือดตอบโต้คำปฏิเสธแล้ว ต่างฝ่ายต่างมีทีท่าว่า จะหันหน้ามาเจรจาตกลงกันด้วยสันติ แต่พอเอาเข้าจริงๆก็ล้มเหลว เพราะต่างฝ่ายต่างก็ไม่สามารถจะยอมรับกันได้ ด้วยเหตุผลที่เป็นหลักใหญ่ที่ขัดแย้งอย่างสุดๆ  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ใช่หรือมิใช่ นอกจากอำนาจนิติรัฐ และอำนาจจากกองทัพทหารตำรวจ ที่คอยแวดล้อมปกป้องครองรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังมีอำนาจที่น่ากลัวอีกอำนาจหนึ่ง ที่สามารถกำหนดชัยชนะและความพ่ายแพ้ของมวลชนคนเสื้อแดง นั่นคือ อำนาจ ของสื่อมวลชนกระแสหลัก ที่ได้รับความเชื่อถือจากผู้คนส่วนใหญ่ในสังคม  
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
เราไม่รู้ว่า รัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คิดผิดหรือคิดถูก ที่ใช้อำนาจนิติรัฐสั่งยึดทรัพย์ ทักษิณ ชินวัตร แล้วยังหมายมาดจะใช้อำนาจนี้ ขย้ำขยี้ด้วยคดีอาญาอีกมายหลายคดี เพื่อทำลาย ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวแบบไม่ให้ได้ผุดได้เกิด ราวกับว่ารัฐบาลนี้จะยึดกุมอำนาจการบริหารประเทศแต่เพียงผู้เดียว โดยไม่มีใครกล้าเข้าไปแตะต้อง ไปจนตราบชั่วฟ้าดินสลาย
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  อ่าน ดู และฟัง เรื่องราว ของ ทักษิณ ชินวัตร จากมุมมอง คนรัก ทักษิณ ชินวัตร สื่อสาร อ่าน ดู และฟังแล้ว ก็น่าเชื่อถือว่าเป็นความจริง ตามที่เขาว่า ทักษิณ ชินวัตร มิได้เป็นคนโกง แต่ถูกเขากลั่นแกล้งทำลาย
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  26 ก.พ. 53 พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ ของ ทักษิณ ชินวัตร คน คน คน คน คนทั้งประเทศต่างเฝ้ารอดู ชะตากรรม ชะตากรรม ชะตากรรม ชะตากรรม ชะตากรรม ของ ทักษิณ ชินวัตร ภายใต้อำนาจศาลสถิตยุติธรรมของสังคมไทย ว่าเขาจะถูกศาลพิพากษาตัดสินอย่างไร ถูกยึดเอาทรัพย์ทั้งหมด ถูกยึดเอามากเหลือไว้แต่น้อย ถูกยึดเอาไปเพียงบางส่วน หรือไม่ถูกยึดเลยแม้แต่สลึงเดียว... คน คน คน คน คนทั้งประเทศต่างเฝ้ารอดู
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  “ความเจ็บปวดเป็นเรื่องเฉพาะตัว” ใครคนหนึ่งนิยามในเชิงสรุปเรื่องนี้ขึ้นมาลอยๆ หลังจากนั่งพูดคุยกันมามากมายหลายเรื่อง แล้วมาลงเอยที่เรื่องราวความเจ็บปวดในชีวิต ที่เราซึ่งต่างโตเป็นผู้ใหญ่ ต่างก็ได้ประสบกันมาคนละมิใช่น้อย จากประสบการณ์ต่างๆที่ผ่านมาในชีวิต เช่น ความรัก ความหวัง ความฝัน ความทะเยอทะยาน หน้าที่การงาน อุบัติเหตุ การถูกทำร้าย ความเจ็บไข้ได้ป่วย หนี้สิน หรือแม้กระทั่งเรื่องราวบางเรื่อง ที่ทำให้เราขัดแย้งกับตัวเอง ฯลฯ
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมจำได้ว่า ผมเคยเขียนเรื่องเกี่ยวกับการ “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ซึ่งเป็นเรื่อง “กฎแห่งกรรม” ตามหลักของพุทธศาสนาในระดับศีลธรรม ด้วยความเชื่อว่ามันเป็นสัจธรรมของชีวิต แล้วมีผู้แย้งมาในทำนองที่ว่า ไม่อยากจะเชื่อว่ามันเป็นกฎอันเฉียบขาดของโลกและชีวิตมนุษย์ เพราะบ่อยครั้งที่เขาทำดี...แล้วไม่เห็นได้ดี จนเขานึกท้อที่จะทำความดี
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
  คุณค่าผลงานวรรณกรรม 'รงค์ วงษ์สวรรค์ เป็นนักเขียนที่มีผลงานหลากหลายประเภท นับตั้งแต่ข้อเขียนบรรยายภาพ คอลัมน์ในนิตยสาร เรื่องสั้น นวนิยาย และงานเขียนปกิณกะอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นยังมีงานร้อยแก้วที่มีลักษณะลีลาของร้อยกรองปลอดฉันทลักษณ์ หรือร้อยกรองรูปแบบอิสระปรากฏอยู่ เป็นช่วงสั้นๆในนวนิยายบางเรื่องด้วย ผลงานหลากประเภทดังกล่าวมีจำนวนมากมาย เฉพาะงานเขียนที่รวมเล่มแล้วมีจำนวนประมาณ 100 เล่ม ส่วนใหญ่เป็นเรื่องสั้น บทความ และข้อเขียนจากคอลัมน์ต่างๆ
ถนอม ไชยวงษ์แก้ว
ผมนึกแปลกใจ ที่งานเขียนนวนิยายหลายเล่มของ ’รงค์ วงษ์สวรรค์ ไม่ว่าจะเป็นนักอ่าน นักเขียน นักวิเคราะห์วรรณกรรม หรือแม้กระทั่งคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ที่ประกาศยกย่องเชิดชูให้เขาเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณกรรม ปี 2538 ต่างมีความเห็นตรงกันว่า นวนิยายที่เป็นงานโดดเด่น หรือที่ภาษาทางศิลปะเรียกกันว่าเป็นงานมาสเตอร์พีซของ ’รงค์ วงษ์สวรรค์ คือ นวนิยายเรื่องสนิมสร้อย ใต้ถุนป่าคอนกรีท เสเพลบอยชาวไร่ ผู้มียี่เกในหัวใจ ฯลฯ โดยเฉพาะสนิมสร้อยนั้น ดูเหมือนจะถูกยกย่องไว้สูง จนไม่มีเรื่องใดมาเทียบได้ และหลงลืมหรืออาจจะจงใจหลงลืม นวนิยายเรื่องหนึ่งของเขาที่ชื่อว่า “คืนรัก”