Skip to main content

เรื่องมันเริ่มจากคำบอกเล่าของทิดช่วง ในงานศพงานหนึ่ง

แกเล่าให้เพื่อนบ้านฟังว่า


กลางดึกคืนก่อน แกลุกจากที่นอนมายืนฉี่ที่ริมรั้ว อากาศเย็น น้ำค้างกำลังลง ขณะที่แกกำลังระบายน้ำทิ้งอย่างสบายอารมณ์ สายตาของแกก็เหลือบไปเห็น ดวงไฟดวงใหญ่ ลอยขึ้นๆ ลงๆ อยู่ในความมืดที่ปลายรั้วอีกด้านหนึ่ง ห่างจากตัวแกไปสักสี่ห้าสิบเมตร


พอแกเสร็จภารกิจ ชะรอยจะคิดว่าเป็นตัวอะไรสักอย่างมาหากิน แกเลยออกปากไล่ว่า “ชิ้วๆ”

เท่านั้นเอง ดวงไฟนั้นก็พุ่งตรงเข้ามาหาแก ทำเอาแกสะดุ้งโหยงจนต้องเผ่นเข้าไปใต้ถุนบ้าน

แกกดสวิทช์เปิดไฟใต้ถุน สว่างพรึบ

มองซ้าย...มองขวา...มองหน้า...มองหลัง

มันคืออะไรกันวะ...? หรือว่า...กูตาฝาดไปเอง...?

มองไปรอบบ้าน เมื่อไม่เห็นดวงไฟที่ว่านั้นแล้ว แกก็ปิดไฟ กะว่าจะรีบขึ้นบ้าน

แต่พอไฟดับเท่านั้นเอง ขนหัวแกก็ลุกซู่ ดวงไฟดวงนั้นมันมาอยู่ตรงเสาเรือนข้างตัวแก

ทิดช่วงเผ่นขึ้นเรือนด้วยความเร็วระดับสถิติโลก

...


ทั้งหมดนี้คือที่แกเล่าให้แก่เพื่อนบ้านไม่กี่คนได้ฟัง ไม่ถึงสัปดาห์ เรื่องนี้ก็เป็นที่รู้กันไปทั่วหมู่บ้านแถมยังลามไปถึงหมู่บ้านข้างเคียง แล้วก็ชักนำเรื่องในทำนองเดียวกันออกมาอีกหลายเรื่อง


ลุงราน กับป้าเจือน บ้านอยู่ติดทุ่งนา ก็เล่าว่า ตอนดึกๆ แกสองคนเจอดวงไฟที่ว่าเป็นประจำ มันมาลอยสูงๆ ต่ำๆ อยู่ในนา ตอนแรกคิดว่าเป็นหิ่งห้อยตัวใหญ่ ก็ไม่ได้สนใจ แต่พอได้ยินเรื่องของทิดช่วงก็เลยชักไม่แน่ใจซะแล้ว


ไอ้น้อยกับไอ้ต๊อก เคยออกไปวางเบ็ดตอนกลางคืนที่ริมหนองน้ำ เจอดวงไฟวิ่งไล่ จนต้องเผ่นกระเจิง หลังจากวันนั้น มันก็ไม่กล้าไปวางเบ็ดกันอีกเลย


น้าเป้าหนุ่มใหญ่วัยห้าสิบ เล่าว่า ดวงไฟนี้เห็นกันมาตั้งนานแล้ว บางช่วงก็หายไป บางช่วงก็กลับมาอีก คนสมัยก่อนเขาเรียกกันว่า “ผีจะกะ” เป็นครึ่งผีครึ่งคนเหมือนผีกระสือ พอตกกลางคืน ดวงไฟจะลอยออกจากร่างเจ้าของออกไปหากินของคาวของเน่า พวกเศษขยะ สิ่งปฏิกูล ซากสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ใหญ่ทั้งหลาย


“...
ตอนข้าหนุ่มๆ ยังชวนเพื่อนไปไล่จับอยู่เลย เสียดาย...ไปรอตั้งสามสี่คืน ไม่ยักกะเจอ...”

น้าเป้าคุย

...งั้น...ไปไล่จับกันอีกมั้ยเล่า? น้าเป็นคนนำนะ เดี๋ยวพวกฉันตาม...” ไอ้เป๊กชวน แต่น้าเป้าส่ายหน้าดิก

...ไม่เอาล่ะ วิ่งไม่ไหว...กูแก่แล้ว...”


ใครต่อใครก็พูดคุยกันเรื่องผี จากปากต่อปาก บางทีก็เสริมแต่งพูดคะนองปากกันไปตามประสา แต่เอาเข้าจริง ก็ไม่มีใครอยากเจอ


ผลสืบเนื่องจากเรื่องผีๆ ที่โหมกระพือไปทั่วหมู่บ้าน ทำให้พอตกกลางคืน ในหมู่บ้านจะเงียบกริบ พวกวัยรุ่นที่ชอบมาสุมหัวคุยเสียงดัง หรือ บิดรถเครื่องกันสนั่นหวั่นไหว ก็พลอยหายไปด้วย


กระทั่งพวกลักเล็กขโมยน้อย ขโมยกล้วย ขโมยมะนาว ที่มีไม่เว้นแต่ละคืน ก็พลอยเงียบไปด้วย

...แหม...ผีมันน่าจะออกมาทุกคืนนะ ข้าจะได้นอนหลับสบาย...” ยายแป้ว เจ้าทุกข์ผู้ถูกลักของในสวนบ่อยๆ รำพึงขอบคุณผี ที่ทำให้ให้พวกหัวขโมยมันกลัว


หัวข้อถัดมาในการพูดคุยแบบลับเฉพาะ(กอสสิป) เนื่องจากผีพวกนี้ เป็นครึ่งผีครึ่งคน จึงเกิดคำถามว่า แล้วใครกันล่ะ ที่เป็นผี ? ...

...เมื่อหลายปีก่อน เขาว่าเป็น ยายอิ่ม...” น้าหวี ผู้สัดทัดกรณีผีสาง อธิบาย “...ลูกชายแกเคยมาเล่าให้ข้าฟังว่า พอตกกลางคืนแม่แกจะออกจากบ้านไปไหนก็ไม่รู้ พักใหญ่ๆ ถึงจะกลับมาบ้าน เป็นอย่างนี้ทุกคืน...จะตามไปดูก็ไม่กล้า ตอนหลังๆ มันได้งานที่อื่น เลยย้ายออกไป...แต่ยายอิ่มแกก็ตายไปตั้งหลายปีแล้ว...”

แล้วตอนนี้น่าจะเป็นใครล่ะน้า?...” ไอ้เป๊กถาม


“...
ที่เข้าข่ายก็น่าจะเป็น ยายจอบ แม่แก่(ยาย)ของทิดช่วงนั่นแหละ เพราะอยู่บ้านเดียวกัน...ผีที่ไหนมันจะเข้ามาบ้านได้ ถ้าไม่ได้อยู่บ้านนั้น...” น้าหวีตั้งข้อสังเกตุ

แต่ยายจอบแกไม่สบาย ย้ายไปอยู่กับลูกชายคนโตในจังหวัดตั้งนานแล้วนี่...”

...อ้าว...เหรอ...ถ้างั้น ก็ต้องเป็นยายไน้ เพราะพวกนี้บ้านจะสะอาดผิดปกติ แล้วยายไน้ก็อยู่กับตาเผย ผัวแกแค่สองคน ลูกหลานไม่ได้อยู่ด้วย ยายไน้แน่ๆ เลย...”


น้าหวี ตั้งหน้าตั้งตา หาข้อสังเกตุจับคนมาเป็นผีให้ได้

...น้าหวี ไปไล่จับผีกับผมดีกว่า เขาว่าพวกนี้ ถ้าจับได้ก็จะรู้ว่าใครเป็น...” ไอ้เป๊กพยายามหาผู้ใหญ่ไปเป็นผู้นำ แต่น้าหวีส่ายหน้าดิก

...มึงจับได้ค่อยมาเรียกกูเหอะ...กูไม่ไปด้วยหรอก...” น้าหวีเดินหนีเข้าครัว


เรื่องผีโด่งดังถึงขนาดที่คนหมู่บ้านอื่นมาถาม และทำท่าว่าจะดังขึ้นเรื่อยๆ เพราะลุงจิตมีหลานทำงานอยู่ในบริษัททำรายการสารคดีที่กรุงเทพฯ แกบอกว่าจะติดต่อให้หลานมาถ่ายทำไปออกทีวี

ทว่า เช่นเดียวกับเรื่องอื่นๆ เมื่อมีเรื่องใหม่มา เรื่องเก่าก็จางไป


เมื่อคณะลิเกมายึดศาลากลางหมู่บ้านเปิดวิกแสดงทุกค่ำคืน ทำให้ใครต่อใครพากันลืมเรื่องผีไปเสียสนิท


พระเอกก็หล่อ นางเอกก็สวย ทุกค่ำคืน เก้าอี้หน้าเวทีจะมีชาวบ้านทั้งในหมู่บ้านและต่างหมู่บ้านพากันมาจับจอง ก่อนลิเกจะเล่นก็มีการเรี่ยไรเงินพอเป็นพิธี พอพระเอกออก ก็ขอความกรุณาอีกรอบ พอนางเอกออก ก็ยังขอกันอีกรอบ กว่าลิเกจะเล่นจบ ชาวบ้านแต่ละคนก็จ่ายค่าดูไปคนละหลายสิบ


“...
พวกนี้เขามีของ มีคาถาเมตตามหานิยม ใครมาดูก็ต้องยอมให้ตังค์ทั้งนั้นแหละ...” ป้าแต้ว แม่ยกตัวหลักอธิบาย

ขณะที่ละครก็น้ำเน่า ดูข่าวก็เน่าพอๆ กับละคร เมื่อมีมหรสพมาให้ชมถึงที่ ชาวบ้านจึงหอบลูกจูงหลานไปดูลิเกกันทุกค่ำคืน กว่าลิเกจะเลิกก็เกือบห้าทุ่ม พวกเดินกลับบ้านคุยกันแซด ลืมเรื่องผีกันเสียสนิท


ผีตัวนั้น ถ้าหากมันมีอยู่จริง ก็คงจะโล่งอก ที่ไม่ต้องมีคนมาคอยจับจ้อง จะหากินก็สบายขึ้น

ของเน่าของบูด มูลคนมูลสัตว์ เศษอาหาร ฯลฯ ล้วนอาหารอันโอชะ

ทำนองเดียวกับ คนมีอำนาจในบ้านเมือง ล่อลวงประชาชนด้วยความบันเทิง


แล้วแอบโกงกินกันจนอิ่มแปร้


บล็อกของ ฐาปนา

ฐาปนา
เมื่อแรกแรกที่มีข่าวว่าโรคนี้เกิดขึ้นในโลก ใครใครก็พากันเรียกชื่อมันว่าไข้หวัดหมู เพราะว่ากันว่ามันเป็นโรคของหมูที่ดันมาติดคน(ถ้าหากมีโรคของคนไปติดหมูไม่รู้จะเรียกว่าไข้หวัดคนด้วยหรือเปล่า) แต่ต่อมาเขาไม่อยากให้เรียกไข้หวัดหมู เพราะเกรงว่าจะเป็นการใส่ร้ายหมูซึ่งไม่มีความผิด และจะทำให้หมูทั่วโลกพลอยถูกรังเกียจ แต่คงไม่ใช่ความกลัวว่าหมูจะประท้วง เพราะถึงอย่างไรหมูก็มีสิทธิ์อันชอบเพียงอย่างเดียวคือสิทธิ์ในการเป็นอาหารของมนุษย์ ไม่สามารถชูป้ายประท้วงหรือเขวี้ยงก้อนอิฐใส่ตำรวจปราบจลาจลได้แต่ประการใด
ฐาปนา
ไม่เคยมีใครถามถึงความยินยอมพร้อมใจของทั้งคู่เลยว่าอยากจะย้ายจากบ้านเกิดเมืองนอนที่หนาวเย็นและเต็มไปด้วยพวกพ้อง มาอยู่ในเมืองร้อนที่ห่างไกลหลายพันกิโลเมตร หรือไม่ ถึงจะมีคนถาม แต่พวกเขาก็ไม่สามารถตอบได้ หรือแม้พวกเขาจะตอบว่า "ไม่อยากไป" แต่พวกเขามีสิทธิ์ปฏิเสธละหรือ ? ...
ฐาปนา
10 คำถามตั้งต้น เพื่อทำความเข้าใจมนุษย์ที่ถูกเรียกว่า "นักลงทุน"1. จากคำพูดของนักธุรกิจการเมืองที่มักจะอ้างถึง"ความเชื่อมั่นของนักลงทุน" อยู่เสมอ น่าสงสัยว่านักลงทุนจะเป็นมนุษย์ประเภทขาดความเชื่อมั่น มากกว่ามนุษย์ปกติทั่วไป หรือไม่?ตอบ ไม่มีใครทราบ แต่ถ้าสันนิษฐานอย่างไม่มีฐานอ้างอิง การลงทุนก็จำเป็นต้องใช้ความเชื่อมั่นไม่น้อยไปกว่าการพนัน ทว่าในแง่ของเหตุผลน่าจะมากกว่า เพราะการพนันจะใช้ปัจจัยด้านอารมณ์ความรู้สึกเข้ามาเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจ ขณะที่การลงทุนจะต้องใช้เหตุผล ตัวเลข ตัวแปร เอกสารต่างๆ มากมายก่อนการตัดสินใจที่เต็มไปด้วยขั้นตอนซับซ้อน…
ฐาปนา
ลุงอู๋ ผู้ใหญ่บ้านประกาศเรียกประชุมชาวบ้านหมู่สิบสองตั้งแต่เช้าตรู่ เสียงประกาศนั้นเน้นย้ำนักหนาว่า หนึ่งทุ่มตรงวันนี้ทุกคนต้องไปร่วมประชุมให้ได้ เพราะนี่คือเรื่องความเจริญก้าวหน้าของหมู่บ้าน และีทุกคนจะได้ประโยชน์ โชคดีที่วันนั้น เป็นช่วงว่างจากการทำไร่ ทำนา ที่สำคัญ ละครสุดฮิตที่ชาวบ้านติดกันก็เพิ่งจะจบลงไป พอตอนค่ำ ชาวหมู่บ้านจึงมาประชุมที่ศาลาอย่างหนาตา
ฐาปนา
ลุงเหมือน อดีตทหารผ่านศึก คนปลูกแตงโมมือวางท้อปไฟว์ประจำหมู่บ้าน นั่งมองไร่แตงโมอย่างสบายอารมณ์ปีนี้แตงโมราคาดีไม่น้อย พ่อค้ามารับซื้อหน้าไร่กิโลกรัมละสิบห้าถึงยี่สิบห้าบาท ยิ่งลูกใหญ่ยิ่งได้ราคา มดแมลงก็ไม่ค่อยจะกวนเท่าไร ลุงเหมือนกะว่าปีนี้คงได้เงินจากแตงโมสักห้าหกหมื่น แล้วจากนั้นจะได้ปลูกกะเพรา โหระพา ใบแมงลัก แบบ "พอเพียง-เพียงพอ" บ้าง
ฐาปนา
ยายช้อย คนเคยรวย ชีวิตเปลี่ยนไปมาก หลังจากเป็นหนี้สหกรณ์ฯ หลายแสน ก็ใครจะไปคิดเล่า อยู่ๆ เคยเลี้ยงหมูได้กำไรทีละเป็นแสน จู่ๆ หมูราคาตก กำไรที่คาดหวังเลยเข้าเนื้อแทน เมื่อทนทำต่อไป ยิ่งทำก็ยิ่งขาดทุน ทุนหายกำไรหด จนกลายเป็นหนี้ ถึงที่สุดก็ต้องหยุดเลี้ยง ยายช้อยผู้เคยเดินชูคอสั้นๆ ป้อมๆ ของแกไปทั่วหมู่บ้าน ในฐานะเมียอดีตกำนันหลายสมัย มาบัดนี้ กลับไม่สง่าผ่าเผยเป็นคุณนายกำนันเหมือนเดิมอีกแล้ว
ฐาปนา
เกษตรทางเลือก เกษตรอินทรีย์ เกษตรธรรมชาติ เกษตรผสมผสาน เกษตรแนวใหม่ ฯลฯ ล้วนแต่น่าสนใจ และกำลังเป็นทางเลือกสำหรับการทำการเกษตรในอนาคตทว่า ชาวบ้านจำนวนมากก็ยังคงรู้จักอยู่แค่อย่างเดียวคือ เกษตรเคมี ฟังดูอาจจะขัดกับความรู้สึกของคนชั้นกลางจำนวนหนึ่ง ที่กำลังอินกับกระแสรักสุขภาพ แต่ก็โปรดรับรู้เถิดว่า ผักที่ท่านซื้อจากตลาด(ไม่ว่าจะติดแอร์หรือไม่ก็ตาม) เกือบจะร้อยเปอร์เซนต์ ล้วนมีสารเคมีทั้งสิ้น  มากบ้างน้อยบ้างตามประเภทของผัก และตามปริมาณการใช้ของผู้ปลูก
ฐาปนา
ผมยังจำได้ดี ภาพของชายวัยเจ็ดสิบนั่งอยู่บนโต๊ะไม้ตัวเล็กๆ คร่ำเคร่งอยู่กับการจิ้มนิ้วไปบนแป้นพิมพ์ดีด ขณะที่ข้างกายมีถังอ๊อกซิเจนขนาดใหญ่ต่อสายยางยาวมาสู่จมูกเป็นภาพที่ชวนให้ครั่นคร้าม ไม่น้อยไปกว่าชื่อเสียงเรียงนามในฐานะตำนานที่ยังมีชีวิตเจ้าของบ้านหันมาบอกให้รอประเดี๋ยว เดี๋ยวจะไปนั่งคุยด้วย ผู้นำทางจึงกระซิบให้ลงไปนั่งรอที่ห้องรับแขก
ฐาปนา
ชีวิตชาวนาชาวไร่ สินค้าที่ใช้ ร้อยละเก้าสิบเก้าหนีไม่พ้นซื้อจากร้านค้าในหมู่บ้าน นานๆ จะได้เข้าตลาดในอำเภอ หรือ ห้างใหญ่ในตัวจังหวัดเสียที ก็ของใช้จำเป็นอย่าง สบู่ ยาสีฟัน ผงซักฟอก ยาสระผม ฯลฯ มันเป็นของประเภท ที่ไหนก็มี ซื้อที่ไหนก็ไม่ต่างกัน ราคาอาจถูกแพงกว่ากันบ้างไม่กี่บาท น้อยรายที่สนใจรักสวยรักงามถึงขนาดต้องใช้เครื่องสำอางค์ราคาเป็นร้อยเป็นพัน หรือ สินค้าเกรดเอ คุณภาพเกินร้อยอย่างที่เขาชอบโฆษณา
ฐาปนา
หลายปีที่ผ่านมา พื้นที่การเกษตรขยายตัวอย่างช้าๆ จากพื้นที่ดินเค็มหรือพื้นที่ดอนอันแห้งแล้งก็แปรเปลี่ยนเป็นที่สวน ที่ไร่ ที่นา เมื่อพื้นที่ขยายตัวไปมาก คลองส่งน้ำก็ถูกขุดต่อไปจนถึงพื้นที่ บางแห่งคลองไปไม่ถึงก็ขุดหาแหล่งน้ำใต้ดิน เพื่อจะพลิกฟื้นผืนดินไร้ชีวิตให้กลับมามีชีวิตให้ได้อัตราเร่งเพิ่มขึ้น เมื่อราคาสินค้าเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ข้าว" มีราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ที่ดินรกร้าง ที่ป่ารกเรื้อ ถูกรถไถจัดการเสียเรียบเตียน ไม่กี่วันก็พร้อมสำหรับการเพาะปลูก คลองส่งน้ำสายใหม่(เทคอนกรีต) ที่จะถูกต่อมาจากลำคลองสายหลักอยู่ระหว่างการก่อสร้าง เสียงรถเกรดดิน รถบรรทุก รถบด…
ฐาปนา
กลางเดือนกุมภาพันธ์ ดูเหมือนแดดจะแผดแสงก่อนที่ดวงตะวันจะขึ้นเสียอีก ความร้อนแห่งวันเริ่มต้นพร้อมกับเสียงไก่ขัน เด็กๆ ไปโรงเรียน ผู้ใหญ่ก็จับจอบจับเสียมเตรียมตัวไปไร่  หลังจากฤดูหนาว(กว่าปกติ)ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว หน้าร้อนปีนี้ ก็เข้าแทนที่อย่างแทบไม่ทันตั้งตัว แต่ชีวิตคนใต้ท้องฟ้า จะร้อนจะหนาวแค่ไหนก็ได้แค่บ่น แล้วก็ทนๆ กันไป กระนั้น ความร้อนตามทุ่งนา ป่า เขา ก็ยังพอมีร่มให้หลบ มีลมเย็นพัดโชยให้คลายได้บ้าง
ฐาปนา
แสงสีแดงพาดผ่านท้องฟ้าสีดำ เหนือดินแดนปาเลสไตน์เหนือหมู่ตึกอันแออัดและทรุดโทรม ลูกเหล็กบรรทุกดินระเบิดพุ่งปะทะคอนกรีตหนึ่งลูก สองลูก สิบลูก ร้อยลูก พันลูก หมื่นลูก แสนลูก ล้านลูก