Skip to main content

ปลายเดือนตุลาคม ผมกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดครั้งแรกในรอบหลายปี ทั้งที่จริง ผมไม่มีความจำเป็นจะต้องไปแต่อย่างใด เพราะครอบครัวของผม บ้านของผม ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว สิ่งที่ยังเหลืออยู่ มีเพียงความทรงจำตลอดสิบแปดปีที่ผมได้เติบโตมา


โรงเรียน บ้านพักอาจารย์ สนามเด็กเล่น หอนาฬิกา ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน สถาบันราชภัฎซึ่งเมื่อก่อนคือวิทยาลัยครู ทุกๆ สถานที่ที่คุ้นเคย ยังปรากฎภาพชัดเจนทุกครั้งที่ระลึกถึง


แต่กับสิ่งที่เห็นตรงหน้าในวันนี้ เหลือเพียงแค่ร่องรอยบางส่วนจากอดีต


เพราะวันนี้ เมืองเติบโตขึ้นมาก อาคารเก่าๆ ถูกรื้อถอนกลายเป็นห้างสรรพสินค้า พื้นที่รกร้างว่างเปล่าที่เห็นมาตั้งแต่เล็ก กลายเป็นอาคารพาณิชย์สูงหลายชั้น ร้านข้าวขาหมูเจ้าประจำ ร้านชำเจ้าเก่า เป็นเพียงภาพในความทรงจำ ถนนหนทางที่ตอนเป็นเด็กเคยรู้สึกว่ามันแสนไกลก็ดูเหมือนจะใกล้เพียงแค่ไม่กี่ก้าว


ความรู้สึกขณะที่เห็นนั้น จะว่าเศร้าก็ไม่ใช่ จะว่าสุขก็ไม่เชิง ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนักท่องเที่ยวคนหนึ่งที่เคยอยู่ที่นี่เป็นเวลานาน คล้ายเป็นคนแปลกหน้าในบ้านเกิดของตัวเอง


ผมแวะไปหาเพื่อนเก่าสมัยเรียนมัธยมปลาย เธอเป็นเพื่อนที่เรียนห้องเดียวกับผม และเป็นเพื่อนในกลุ่มที่สนิทและยังติดต่อกันอยู่จนกระทั่งทำงาน เธอเป็นหนึ่งในไม่กี่คน ที่หลังจากเรียนจบแล้ว เลือกที่จะกลับมาหางานทำที่บ้าน


“...
เหมือนเดิม แทบจะไม่เปลี่ยนไปเลยนะ...” เธอทักผมเมื่อเจอหน้า

ผมหัวเราะ แต่สะดุดใจกับคำทัก

คำทักธรรมดาๆ ของเธอทำให้ผมประหลาดใจ


แน่นอน...เราต่างรู้ดี ไม่มีใครเหมือนเดิม ไม่มีใครไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ต้องพูดถึงว่า สิบกว่าปีที่ผ่านมา เราแต่ละคนต่างเปลี่ยนแปลงไปมากมายขนาดไหน อาจมากจนกระทั่ง เราลืมไปว่าเราเคยเป็นอย่างไร แต่การได้เจอเพื่อนเก่า กลับทำให้เราได้เห็นความเหมือนเดิม ในตัวเรา และในตัวเพื่อน สำหรับคนที่ไม่ได้เจอเพื่อนเก่านานหลายปีอย่างผม “คนเดิม” ในตัวผม ถูกหลงลืมไปนานอย่างเหลือเชื่อ


“...
เพื่อนๆ ตามหาตัวกันแทบแย่ หาตัวยากจริงๆ ว่าจะชวนมางานแต่งงานเราซะหน่อย...” เธอหยิบการ์ดแต่งงานซึ่งเป็นรูปคู่ของเธอกับเจ้าบ่าวของเธอ ส่งให้

ผมมองการ์ดแต่งงาน ประหลาดใจเป็นครั้งที่สอง


เจ้าบ่าวของเธอ เป็นเพื่อนสนิทในวัยเด็กของผม เราไปมาหาสู่กันตั้งแต่ประถมจนถึงมัธยมต้น ตอนขึ้นมัธยมปลาย เรามาเรียนที่เดียวกัน แต่อยู่กันคนละห้อง ผมไม่ได้ติดต่อหรือรับรู้ความเป็นไปของเขาอีกเลยตั้งแต่เรียนจบ ม.6

วันนี้ เขากลายมาเป็นเจ้าบ่าวของเพื่อนผม

โลกช่างกลมเหลือเกิน


เมื่อกลับมา ผมกลับกังวลกับสองเหตุผล ที่ทำให้ผมไม่อยากไปงานแต่งงานของเพื่อน

หนึ่ง ผมเพิ่งจะกลับไป ซึ่งค่าเดินทางนั้นก็มากโขอยู่ ถ้าจะไปอีกครั้ง ก็หมายความว่าผมต้องจ่ายอีกไม่น้อยเลย

สอง เนื่องจากพ่อแม่ของเจ้าบ่าวเป็นอาจารย์ผู้สอนในสถาบันเดียวกับที่พ่อของผมเคยสอน ก็หมายความว่า งานนี้จะต้องมีอาจารย์ซึ่งรู้จักกับพ่อมาร่วมงานจำนวนไม่น้อย


ด้วยเหตุที่ผมไม่ได้พบเจอ ไม่ได้ติดต่อใครเลยตลอดหลายปี ทั้งที่หลายๆ คนมีบุญคุณเคยช่วยเหลือครอบครัวของผม ทำให้ผมกลัวบางสิ่งที่ผมเองก็อธิบายไม่ได้ เป็นความกลัว ของเด็กคนหนึ่ง สำหรับการที่ต้องเจอผู้ใหญ่หลายคน ที่ไม่ได้เจอมาเป็นเวลานาน

คล้ายๆ ตัวเองเป็นเด็กไม่รู้จักบุญคุณ ไม่เคยส่งข่าวใดๆ ให้ผู้ใหญ่รับรู้

แต่มีเหตุผลเพียงข้อเดียว ที่ผมอยากมางานแต่งงานของเพื่อน

คือ ผมอยากเจอเพื่อน


ช่วงเรียนมหาวิทยาลัย ผมมีโอกาสได้เจอเพื่อนแบบค่อนข้างจะพร้อมหน้าแค่ 1-2 ครั้ง หลังจากเรียนจบและทำงาน ผมได้เจอกับเพื่อนๆ อีกครั้งในงานแต่งงานของเพื่อนคนหนึ่ง และอีกครั้งในงานแต่งงานของผมเอง


สรุปแล้ว สิบกว่าปีหลังจากเรียนจบ ม.6 ผมได้เจอเพื่อนน้อยครั้งเหลือเกิน ยิ่งในช่วงหลังจากแต่งงานและโยกย้ายไปอยู่ทางเหนือด้วยแล้ว ผมแทบจะไม่ได้ติดต่อใครเลย


ที่จริง เรื่องนี้เป็นหนึ่งในเรื่องสุดแสนจะธรรมดาของชีวิตคนยุคนี้


เมื่อเราเติบโตขึ้น ทำงาน มีครอบครัว มีชีวิตของใครของมัน แยกย้ายกันไปอยู่หลายแห่งหลายที่ตามแต่ชีวิตจะพาไป โอกาสที่จะมาเจอกันก็คงมีแค่งานแต่งงานของเพื่อน (คงไม่มีใครคิดอยากจะไปเจอเพื่อนในงานศพ) ที่ยังติดต่อ พบเจอกันอยู่ ก็เป็นแค่กลุ่มเพื่อนสนิทไม่กี่คน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อนสมัยเรียนมัธยมปลาย สำหรับบางคน เกือบจะลืมกันไปแล้ว


สำหรับผม

ไม่มีช่วงเวลาใดในชีวิตที่จะเปี่ยมไปด้วยความทรงจำที่สนุกสนานและเต็มไปด้วยชีวิตชีวาดังเช่นช่วงเวลาเหล่านั้น…


เราเคยลงหุ้นออกร้านขายของในงานโรงเรียน (และเจ๊ง)

เราเคยลงแข่งกีฬาระหว่างห้อง (และตกรอบ)

เราเคยประกวดเต้นลีลาศ (และตกรอบ-เช่นเคย)

เราเคยร่วมกันซ้อมละครของโรงเรียนอย่างหามรุ่งหามค่ำ และออกแสดงด้วยกัน

เราเคยเรียนเลิกสองทุ่ม ทั้งที่ไม่ต้องการ แต่ครูปรารถนาติวเข้มให้พวกเราเป็นการพิเศษ

เราเคยกอดคอกันร้องไห้ตอนที่สอบไม่ติดโควต้า

ฯลฯ


แน่ละ ความทรงจำที่ไม่ดีมันก็มีอยู่ แต่มีน้อย น้อยเสียจนไม่คิดจะจำ แถมบางเรื่องก็กลายเป็นเรื่องตลก ที่ย้อนคิดทีไรก็ขำทุกที


ขณะที่ผมดำเนินชีวิตอย่างคนห่างอดีต แต่เพื่อนหลายคนกลับไม่เคยลืมผม และยังพยายามติดต่อผมอีกด้วย


เพื่อนไม่เคยลืมผม แม้ว่าผมเกือบจะลืมเพื่อนไปแล้วก็ตาม …

ห้าวันก่อนวันงาน ผมยังคิดไม่ตกว่า ควรจะไปดีหรือเปล่า แล้วขณะที่ผมกำลังลังเล แต่ค่อนไปทางจะไม่ไป เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

...นี่...มีรถไปงานแต่งแล้วนะ เดี๋ยวนั่งรถไปด้วยกัน...”

ในที่สุด ผมเดินทางไปและกลับ ด้วยความช่วยเหลือจากเพื่อน

ได้ที่พักและการดูแลตลอดทริป จากเพื่อน

ผมได้รับน้ำใจอย่างมากมายจากเพื่อนทุกคน น้ำใจที่แสดงออกทั้งทางคำพูด รอยยิ้ม และสายตา บางคนเพียงแค่ได้เห็นหน้า ได้ทักทาย ได้ยิ้มให้กัน ก็รู้สึกดีมากเหลือเกิน


สิ่งที่ผมกลัวกลับหายไป ด้วยบางสิ่งบางอย่างที่ผมไม่อาจอธิบายได้ คุณป้า คุณลุง คณาจารย์ทุกคน ต่างดีใจที่ได้เจอผม ทุกคนเข้ามาไถ่ถาม จับไม้จับมือ ความอาทรห่วงใยที่ท่วมท้น ทำให้ผมตื้นตันจนพูดไม่ถูก


ปมในใจของผมคล้ายกับถูกคลายออกทีละน้อย อดีตที่ผมเคยลืม แกล้งทำเป็นลืม หรือพยายามจะลืม กลับมาผสานกับปัจจุบันอีกครั้ง


เมื่อหันมองเพื่อนแต่ละคน ผมมีความสุขกับความเปลี่ยนแปลงที่ได้รับรู้

เพราะสิ่งที่ดีที่สุด คือเราไม่มี และไม่ต้องการคำตัดสินใดๆ ให้กับการเปลี่ยนแปลงนั้น เราต่างยินดี กับหนทางของเพื่อน

เพื่อนที่พาคนรักมาเปิดตัว และกำลังจะมีครอบครัว

เพื่อนที่เพิ่งจะมีครอบครัว ทั้งที่ได้วางแผนไว้ และทั้งที่มีโดยบังเอิญ

เพื่อนที่มีครอบครัวแล้ว ทั้งที่มีทายาทแล้ว (และอยากจะมีอีก) และที่ยังไม่มี

เพื่อนที่ยังโสด ยังพยายามแสวงหา

เพื่อนที่ยังโสด แต่ชัดเจนในความรักอิสระของตน

เพื่อนที่หมุนแต่เงินล้าน และเพื่อนที่จับแต่เงินร้อย

เพื่อนที่ชีวิตเริ่มนิ่ง และเพื่อนที่ยังดิ้นรน

เพื่อนทุกคน ได้เติบโต เปลี่ยนแปลง และคลี่คลายไปสู่หนทางชีวิตที่เขาเป็นผู้เลือกเอง


ผมดีใจที่ได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญ

เพราะมีเพื่อน ผมจึงได้รู้จักตัวเอง หากปราศจากเพื่อน ตัวตนของผมก็ไม่อาจครบถ้วน


สำหรับผม ไม่มากไปเลยที่จะบอกว่า เพื่อนเป็นเสมือนครอบครัวที่สอง และความเป็นเพื่อน คือ สมบัติล้ำค่า ที่ไม่อาจหาสิ่งอื่นใด มาทดแทนได้เลย


****



บล็อกของ ฐาปนา

ฐาปนา
“...ที่สุดแล้ว ปัญหาการเมืองรวมถึงปัญหาส่วนตัวทุกเรื่อง เมื่อสืบเสาะลงไปให้ลึกที่สุดจะพบว่า เป็นปัญหาทางจิตวิญญาณทั้งนั้น ทุกชีวิตเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ ฉะนั้นปัญหาทุกอย่างของชีวิตจึงมีต้นตอมาจากจิตวิญญาณและจะแก้ไขได้ด้วยวิธีทางจิตวิญญาณ สงครามเกิดขึ้นเพราะใครบางคนมีสิ่งที่อีกคนอยากได้ นี่คือสิ่งที่ทำให้คนบางคนทำสิ่งที่อีกคนไม่อยากให้ทำความขัดแย้งทุกชนิดเกิดจากการวางความปรารถนาไว้ผิดที่สินติเดียวที่จะยั่งยืนได้ในโลกหล้าคือศานติภายในให้แต่ละคนค้นพบสันติในใจตน เมื่อนั้นเธอจะพบว่า เธอไม่ต้องพึ่งพาอะไรอีก...”(สนทนากับพระเจ้าเล่ม 2 หน้า 204)
ฐาปนา
เมื่อครั้งยังเด็ก ผมเคยเชื่อว่า มนุษย์ทุกคนมีชะตากรรมที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ทุกๆ อย่างถูกกำหนดไว้หมดแล้ว ทุกๆ อย่างถูกลิขิตไว้หมดแล้ว ตั้งแต่เกิดจนตาย พอเติบโตขึ้น ความเชื่อเรื่องชะตากรรมก็เปลี่ยนไป ผมเชื่อว่ามีแค่สามสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้วและเราไม่อาจล่วงรู้ได้ นั่นคือ การเกิด คู่ครอง และการตาย ไม่นานมานี้ ผมมองชะตากรรมอีกแบบหนึ่ง ผมคิดว่า ชะตากรรม คือ สิ่งที่เข้ามาสู่ชีวิตเพื่อให้เราเลือก ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม และมันจะส่งผลต่อเรา เราจะเรียนรู้และเติบโตจากมัน เราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองไปจากมุมมองที่เรามีต่อมัน ลองย้อนมองกลับไปถึงอดีตของเราแต่ละคน สิ่งที่เราเลือก เสมือนจุดๆ หนึ่ง…
ฐาปนา
ต้นเดือนกุมภาพันธ์ลมหนาวคลายความยะเยือกลง เหลือเพียงลมเย็นโชยเฉื่อย เจือกลิ่นหอมของไม้เมืองหนาวหลายชนิดที่ยังคงผลิดอกแม้ฤดูหนาวสิ้นสุด แล้วเมืองเชียงใหม่ก็เข้าสู่ช่วงเวลาพิเศษของคนหนุ่มสาวอีกครั้ง“วันแห่งความรัก” (Valentines Day) ที่ใครหลายคนรอคอยอันที่จริง แม้จะเรียกกันว่า วัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป บริบทของสังคมเปลี่ยนไป ด้วยอานุภาพแห่งความรักและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความรัก จึงไม่อาจจำกัดให้วันแห่งความรักอยู่แค่เพียง วันที่ 14 ของเดือนกุมภาพันธ์เท่านั้น วันแห่งความรักได้ขยายช่วงเวลาเป็น สัปดาห์แห่งความรัก จนกระทั่งเป็น เดือนแห่งความรัก ในที่สุด นอกจากบรรยากาศแห่งความรัก…
ฐาปนา
ไม่ทราบว่าใครเป็นเหมือนผมบ้างหลังจากข้าวของพาเหรดกันขึ้นราคา แต่รายได้มันไม่ได้ขึ้นตามไปด้วย ทำให้ต้องปรับตัวทุกทางเพื่อเอาชีวิตรอดให้ได้ถีงขั้นต้องใช้คำว่า “เพื่อเอาชีวิตรอดให้ได้” นั่นละครับเพราะรายได้ที่ไม่แน่นอน ไม่มากมาย บวกกับสภาพหนี้ทั้งงานราษฎร์งานหลวง จากที่เคยตามใจปากตามใจตัวได้บ้างก็ต้องกลายมาเป็น “งด” แทบจะทุกรายการ จะกินขนมสักสิบยี่สิบบาทก็เปลี่ยนไปเป็นอาหารญี่ปุ่นสำหรับคนจน (บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป) ดีกว่านี่ก็แว่วว่า บะหมี่ซองเหล่านี้จะขึ้นราคากันแล้วเราคงต้องไปหาดินอร่อยๆ กินกันแทนข้าวแล้วกระมัง ก่อนที่ดินอร่อยๆ จะได้รับความนิยมขึ้นมา แล้วดินก็จะขึ้นราคาอีก
ฐาปนา
“...ยังไม่เคยเห็นธนาคารไหนในโลกให้ดอกเบี้ยร้อยเปอร์เซนต์ ฝากพันให้พัน ฝากหมื่นให้หมื่น ฝากล้านให้ล้าน ไม่เคยเห็น แต่ธรรมชาติจะให้มากกว่านั้นแทบทุกเรื่อง ถ้าเราฝากธรรมชาติ อย่างเช่น ถ้าเราเอาเงินสิบบาทไปฝากธนาคาร ถ้าเขาให้ดอกร้อยเปอร์เซนต์ สิ้นปีก็ได้สิบบาท รวมที่ฝากเป็นยี่สิบบาท คือสูงสุดแล้ว แต่ถ้าฝากธรรมชาติ ก็เหมือนฝากให้คนอื่นทำงาน สมมติต้นกล้วยห้าบาท ค่าปลูกกล้วยอีกห้าบาท รวมเป็นต้นทุนสิบบาท พอสิ้นปีได้ปลีกล้วยมาอันหนึ่ง เครือกล้วยอีกเครือหนึ่ง หน่อกล้วยอีกสองหน่อ อันนี้ไม่รู้ราคาเท่าไรแล้ว ถามว่ามันได้ร้อยเปอร์เซนต์ หรือกี่ร้อยเปอร์เซนต์…
ฐาปนา
กิจกรรมส่วนที่สองของโครงการ one year # 2 ของมูลนิธิที่นา ที่ผมเข้าร่วม คือกิจกรรมเรื่องเกษตรกรรมธรรมชาติ เริ่มต้นด้วยการประชุมแนะนำโครงการและให้ผู้เข้าร่วมโครงการแต่ละคนวาดรูปพืช ที่ตนเองอยากปลูก หรือ สัตว์ที่ตนเองอยากเลี้ยง ซึ่งในช่วงเวลาสามเดือนของกิจกรรมส่วนที่สองนี้ ทุกคนจะต้องดูแลสิ่งมีชีวิตของตนเองสองวันต่อมา เราเดินทางไปชมการทำเกษตรกรรมอินทรีย์และการดูแลสุขภาพวิถีไทที่ “สวนสายลมจอย” อำเภอสันกำแพง พื้นที่ไม่ถึงสิบไร่แห่งนี้ ถูกปรับเปลี่ยนจากพื้นที่นามาเป็นร่องสวน และบ่อเลี้ยงปลา, เต็มไปด้วยมะพร้าว พืชผล พืชผัก และสมุนไพรนานาชนิดจากการทำนาทำสวนที่ใช้สารเคมีในอดีต…
ฐาปนา
หวังให้ประเทศเล็กที่มีพลเมืองน้อยมีอาหารพอที่จะเลี้ยงดูพลเมืองมากกว่าที่เขาต้องการถึงสิบเท่าร้อยเท่าให้ประชาชนเห็นคุณค่าของชีวิตและไม่ท่องเที่ยวพเนจรไปไกลถึงแม้จะมีพาหนะเรือและรถก็ไม่มีใครปรารถนาจะขับขี่ถึงแม้จะมีเกราะและอาวุธก็ไม่มีโอกาสจะใช้ให้กลับไปใช้การจดจำเรื่องราวด้วยการผูกเงื่อนแทนการเขียนหนังสือให้เขานึกว่าอาหารพื้นๆนั้นโอชะเสื้อผ้าอันสามัญนั้นสวยงามบ้านเรือนธรรมดานั้นสุขสบายประเพณีวิถีชีวิตนั้นน่าชื่นชมในระหว่างเพื่อนบ้านต่างเอาใจใส่ซึ่งกันและกันจนอาจได้ยินเสียงไก่ขันสุนัขเห่าจากข้างบ้านและตราบจนวันสุดท้ายของชีวิตจะไม่มีใครได้เคยออกไปนอกประเทศของตนเลย(บทที่ 80 ประเทศในฝัน,…
ฐาปนา
หากให้ลองย้อนคิดดูว่า ในหนึ่งวันที่ผ่านไปเราได้ทำอะไรไปบ้าง คงไม่ใช่เรื่องยากเกินไปที่จะระบุให้ครบถ้วน เพราะการกระทำเป็นรูปธรรม มีผลลัพธ์ชัดเจน มีร่องรอยที่ติตตามได้แต่หากให้ลองย้อนคิดดูว่า ในหนึ่งวันที่ผ่านไป เราได้ "พูด" อะไรไปบ้าง ต้องไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ เว้นเสียแต่ว่า วันนั้นเราจะพูดน้อยจนนับคำได้คำพูด คือความคิดที่แสดงออกเพื่อสื่อสาร ซึ่งเนื้อแท้ของสิ่งที่ต้องการสื่อสารนั้นก็คือ ความรู้สึก ความรู้สึกคือภาษาของวิญญาณ เป็นหัวใจเป็นแก่นแกนกลางของการสื่อสารทุกชนิด แต่เราก็มักจะหลงลืมหัวใจของการสื่อสารนี้ไป และไปให้ค่ากับคำพูดเสียมากกว่าฉะนั้น หากเปลี่ยนคำถามเสียใหม่ว่า ในหนึ่งวันที่ผ่านไป…
ฐาปนา
 ผมเพิ่งจะไปเที่ยววัดพระธาตุดอยสุเทพมาครับ หลังจากไม่ได้ไปมาเป็นเวลาร่วมสิบปี  ครั้งสุดท้ายที่ขึ้นไปคือตอนที่เรียนมหาวิทยาลัย พอย้ายมาอยู่ทางเหนือก็ไม่ได้โอกาสเสียที มาสบโอกาสเอาก็ตอนลมหนาวเริ่มมาเยือนนี่เอง ขับมอเตอร์ไซต์ขึ้นดอยตอนเช้า อากาศเย็นสบาย ใช้เวลาสัก 20-30 นาทีเท่านั้นวัดพระธาตุดอยสุเทพเป็นสถานที่อันดับแรกที่ใครต่อใครที่มาเชียงใหม่จะต้องมาเยือนมาชม มากราบไหว้ เพื่อเป็นศิริมงคลแก่ตนเอง ที่นี่จึงเต็มไปด้วยผู้คนมากมายตลอดเวลา ยิ่งในช่วงฤดูหนาวซึ่งเป็นฤดูท่องเที่ยว ดูเหมือนว่า ดอยสุเทพคือสถานที่แรกที่ทุกคนต้องมา…
ฐาปนา
คืนหนึ่งผมฝันถึงสถานที่หนึ่งซึ่งผมไม่เคยคาดคิดว่าจะฝันถึงสถานที่แห่งนั้นเป็นทางเดินที่ทอดยาว เชื่อมระหว่างอาคารหนึ่งไปสู่อาคารหนึ่งผมเดินไปตามทางนั้นด้วยความรู้สึกประหลาด ประหลาดเพราะรู้ว่านี่คือความฝัน แต่ทั้งรู้ว่าฝันผมกลับตื่นตื่นโพลงอยู่ในความฝัน ผมเดินไปตามทางด้วยความตื่นโพลง และรู้สึกราวกับกำลังเดินอยู่ในภาพวาดซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างหยุดนิ่ง แม้แต่ใบไม้แห้งก็แทบจะไม่ไหวติง ผมรู้จักสถานที่แห่งนั้นดี มันคือทางเดินเชื่อมระหว่างอาคารพักอาศัยไปยังอาคารปฏิบัติรวมของศูนย์วิปัสสนาธรรมอาภา สถานที่ที่ผมไปอบรมวิปัสสนาเป็นเวลาสิบวันผมพยายามหาเหตุผลว่า ทำไมผมจึงฝันถึงสถานที่แห่งนั้น…
ฐาปนา
หากได้รับตั๋วเครื่องบินไป-กลับยุโรป พร้อมเงินติดกระเป๋าไปเที่ยวฟรีๆ 10 วัน เป็นใครย่อมไม่รอช้า ทั้งพร้อมจะเลื่อน – ลา – หยุด ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อไป มันคงเป็นประสบการณ์ครั้งสำคัญในชีวิตที่น้อยคนจะมีโอกาส แต่ด้วยเงื่อนไขเดียวกันนี้ หากเปลี่ยนจากไปเที่ยวยุโรป 10 วัน เป็นการไป ‘วิปัสสนา’ 10 วันแทน หลายคนคงต้องคิดหนัก เราหมายใจจะท่องเที่ยวไปให้ทั่วประเทศ ทั่วทวีป ทั่วโลก จากทะเลลึกถึงภูเขาที่สูงที่สุด จากมหานครสู่ป่าดิบ จากกลางตลาดที่คราคร่ำด้วยผู้คนสู่ทะเลทรายเวิ้งว้าง แต่เรากลับไม่สนใจที่จะท่องเที่ยวสำรวจ ‘จิต’ ของเราเอง ... แปลกมั้ย ?ในฐานะชาวพุทธ ไม่ว่าจะกล่าวด้วยความภาคภูมิ…
ฐาปนา
ผมสมัครเข้าร่วมโครงการหนึ่งปี “ชุมชนทดลอง # 2” ของมูลนิธิที่นา [1] ด้วยความไม่รู้ กล่าวคือ ไม่รู้เรื่องวิปัสสนา ไม่รู้เรื่องศิลปะ และไม่รู้เรื่องเกษตรกรรมธรรมชาติ  ความไม่รู้นี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพราะถ้ารู้แล้วคงไม่ต้องมาเมื่อได้คุยกับทีมงานหลายท่านก่อนเริ่มโครงการ ก็ได้รับความห่วงใยเกรงว่า ผู้เข้าร่วมโครงการจะคาดหวังมากเกินไป เนื่องจาก the land ไม่ใช่ utopia ซึ่งผมก็เข้าใจ ขณะเดียวกันผมเองก็ห่วงใยเกรงว่า ทีมงานจะคาดหวังกับผู้เข้าร่วมโครงการมากเกินไปเช่นเดียวกันเพราะในความต่างของปัจเจกที่มาอยู่ร่วมกันภายใต้เงื่อนไขหลวมๆ นี้ หากผู้เข้าร่วมไม่มีความชัดเจนในจุดประสงค์ของตนเอง…