Skip to main content
พี่หวี จอดรถเครื่องที่ใต้ร่มมะขาม แกเดินหน้าเซ็งมานั่งที่เปล คุยเรื่องนู้นเรื่องนี้อยู่พักหนึ่ง นอนแกว่งเปลถอนหายใจสามเฮือกใหญ่ ก่อนจะระบายความในใจออกมาด้วยประโยคเดิมๆ ว่า

"...เบื่อว่ะ...ไอ้เปี๊ยกกับเมียมันทะเลาะกันอีกแล้ว..."


เจ้าบุญ น้าเปีย เจ้าปุ๊ก ที่กำลังนั่งแกะมะขามสุกเอาไว้ทำมะขามเปียก ก็หันมาพยักหน้ารับรู้ แล้วก็ปล่อยให้พี่หวีได้พูดระบายความเครียดไป ถามบ้างเป็นบางครั้ง แต่ส่วนใหญ่ทุกคนจะนั่งฟังอย่างเห็นอกเห็นใจ

ไอ้เปี๊ยก ลูกชายวัยรุ่นของพี่หวีกับพี่แสวง ออกจากโรงเรียนตอน ม.2 มันเคยเป็นเด็กเรียบร้อยและเรียนดี แต่เพื่อนที่มันคบ ไม่เรียบร้อย และไม่ชอบเรียน มันก็เลยถูกลากถูกจูงไปกับเขาด้วย ในที่สุด พี่แสวง ก็เลยให้มันมาช่วยงานที่อู่ซ่อมรถยนต์ที่แกทำงานอยู่


"...ไม่เรียน...เอ็งก็มาทำงานก็แล้วกัน..." พี่แสวง พูดอย่างปลงๆ เพราะเคยตั้งใจไว้ว่าอยากจะส่งให้มันเรียนสูงๆ แต่ในเมื่อมันไม่รักเรียน จะไปบังคับมันก็ไม่ได้


ผ่านไปสองปี ไอ้เปี๊ยก ก็คล่องงาน ทำได้แทบจะทุกอย่าง แม้จะยังขี้เกียจหรือเหลวไหลอยู่บ้าง แต่ค่าแรงวันละสองร้อยกว่าบาท ก็พิสูจน์ว่ามันดูแลตัวเองได้ น้าหวี กับพี่แสวง ก็เริ่มเบาใจ คิดว่า ต่อไป ถ้ามันเอาการเอางาน ก็น่าจะเป็นช่างซ่อมที่มีฝีมือได้

 

แต่แล้วเมื่ออายุสิบหกย่างสิบเจ็ด ไอ้เปี๊ยกก็ไปก่อเรื่องให้พ่อแม่ปวดกะบาลจนได้

ไอ้เปี๊ยกไปทำเด็กผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกันท้อง

เรื่องมันแดงก็เพราะเด็กผู้หญิงกินยาขับลูกออก จนต้องเข้าโรงพยาบาล

"...ท้องได้สี่เดือนแล้วค่ะ..." คุณหมอบอก แม่ฝ่ายหญิงได้ยินดังนั้น ก็เป็นลมไปเลย

 

ฝ่ายนู้นเขาเป็นคนมีเงินมีหน้ามีตา เขาก็โวยวายจะเอาเรื่อง น้าหวีกับพี่แสวงต้องไปเจรจา ในที่สุด ต้องจัดงานแต่งงานให้ โดยฝ่ายเจ้าบ่าวจ่ายค่าสินสอดทองหมั้นไปร่วมแสน

สามเดือนต่อมา พี่หวีกับพี่แสวงก็ได้อุ้มหลานชายน่าเกลียดน่าชังตัวจ้ำม่ำ พร้อมกับรับลูกสะใภ้วัยทีนเอจมาอยู่ด้วย

 

แรกๆ ก็ดูเหมือนทุกอย่างน่าจะไปได้ดี พี่แสวงกับไอ้เปี๊ยกทำงานที่อู่ พี่หวีขายลูกชิ้นปิ้งอยู่กับบ้าน มีลูกสะใภ้เลี้ยงหลานกับช่วยงานบ้าน บางวัน พ่อตาแม่ยายของไอ้เปี๊ยกเขาก็จะมาหาหลานเขาบ้าง พร้อมกับหอบข้าวของมาให้มากมาย


แม้คุณแม่มือใหม่จะยังดูเก้ๆ กังๆ ต่อทั้งการเลี้ยงลูกและงานบ้าน แต่พี่หวีก็พยายามบอกพยายามสอน ทั้งแม่ยายไอ้เปี๊ยกก็บอกว่า

"...อยู่บ้านมันก็ทำอะไรไม่ค่อยจะเป็นหรอก ค่อยๆ สอนมันไปเถอะนะ..."

ดังนั้น แม้พฤติกรรมจะยังขึ้นๆ ลงๆ พี่หวีกับพี่แสวงก็เชื่อว่า อีกหน่อยมันก็คงจะดีเอง

 

ทว่า เรื่องที่เบื่อหน่ายเหลือเกิน คือ ไอ้เปี๊ยกกับเมียชอบทะเลาะกัน

ทะเลาะกันได้แทบจะทุกวัน แทบจะทุกเรื่อง แม้แต่เรื่องที่เล็กน้อยที่สุด ก็ต่อปากต่อคำกันจนเป็นเรื่องเป็นราว เมียไอ้เปี๊ยกขี้บ่นอย่างที่พี่แสวงเปรียบเทียบว่า

"...เหมือนมันอมรังผึ้งไว้ในปาก เดินไปไหนก็บ่นหึ่งๆๆ ไปด้วย..."


พี่หวีปลอบใจตัวเองว่า ผัวหนุ่มเมียสาว มันก็วัยรุ่นด้วยกันทั้งคู่ ยังอารมณ์ร้อนเอาแต่ใจตัวเอง อีกหน่อยมันโต มันก็คงจะเข้าใจ แล้วก็ใจเย็นลง

แต่ไม่มีใครรู้ว่า "อีกหน่อย" ที่ว่านั้นเมื่อไรจะมาถึง ? ...

 

ไอ้เปี๊ยกกับเมียมันทะเลาะกันหนักขึ้นทุกวัน บางวันถึงกับขว้างปาข้าวของ พี่แสวงสุดจะทนต้องออกปากว่า ถ้าไม่หยุดทะเลาะกัน จะไล่ให้ไปอยู่ที่อื่น เพราะแกทำงานเหนื่อยมาทั้งวัน กลับบ้าน ก็อยากพักผ่อน สองผัวเมียวัยรุ่น ก็เลยสงบปากสงบคำไปได้พักใหญ่

แต่แค่ไม่กี่วัน ก็ตั้งต้นมีปากเสียงกันอีกแล้ว

 

"...กูก็ไม่รู้ว่ามันจะอะไรกันนักกันหนา..." พี่หวี ระบายให้เจ้าปุ๊กฟัง

"...ไม่ใช่ว่าไอ้เปี๊ยกมันดีอะไรนักหนาหรอกนะ แต่เมียมันขี้บ่นจริงๆ ไอ้เปี๊ยกพูดนิดพูดหน่อยมันก็เถียง ไม่ยอมฟัง...เงินเดือนได้มา ไอ้เปี๊ยกก็ให้เมียมันหมด แต่เมียมันนะ...ไอ้เปี๊ยกจะขอสิบยี่สิบบาทไปซื้อขนมกินเมียมันยังไม่ให้เลย...แต่พอมันเข้าตลาดซื้อของ เสริมสวย อะไรต่ออะไรของมัน หมดไปตั้งหลายร้อย...งานบ้านไม่ต้องพูดถึง แทบจะไม่แตะเลย นานๆ ทีถึงจะลุกมากวาดบ้าน ล้างจาน นอกนั้นก็นอนดูทีวี...เสื้อผ้าลูก ขวดนมลูก ปล่อยทิ้งไว้เกลื่อน...ลูกมันมันก็ไม่ค่อยจะดูจะแล ไอ้เราก็ต้องเลี้ยงแทน ไหนจะขายของ ไหนจะงานบ้าน มันจะมาหยิบมาจับช่วยเราสักนิดก็ไม่ได้...เฮ้อ...กลุ้มจริงโว้ย..."


พี่หวี บ่นเรื่องลูกสะใภ้เป็นประจำ จนใครต่อใครก็เห็นใจ แต่เนื่องจากเป็นเรื่องภายในครอบครัวเขา วิธีที่ที่สุดที่จะช่วยได้คือ รับฟัง


พี่แสวงกับพี่หวี เป็นพวกมีความอดทนสูง พยายามทนให้ถึงที่สุด พอทนไม่ไหวจริงๆ ถึงจะออกปากเตือนสักครั้ง พอเตือนที เหตุการณ์ก็ดีขึ้น แต่พอผ่านไปสักพัก ทุกอย่างก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมพี่หวีพยายามหลีกเลี่ยงการพูดถึงพ่อตาแม่ยายของไอ้เปี๊ยกในทางที่ไม่ดี แต่แกก็อดสงสัยอยู่บ่อยๆ ไม่ได้ว่า เขาเลี้ยงลูกยังไงของเขา มันถึงเป็นคนแบบนี้ แถมพอไอ้เปี๊ยกทะเลาะกับเมีย จนเมียมันหอบลูกกลับไปอยู่บ้านมันทีไร แม่ยายไอ้เปี๊ยกจะยุให้เมียมันเลิกกับไอ้เปี๊ยกเสียแทบจะทุกที


แต่ผ่านไปไม่กี่วัน เมียไอ้เปี๊ยกก็หอบลูกกลับมาเหมือนเดิม

วันไหน พ่อตาแม่ยายมาเยี่ยม ไอ้เปี๊ยกจึงทำหน้าเซ็งไม่พูดอะไรสักคำ

 

ไอ้เปี๊ยก ออกอาการว่าเริ่มเบื่อเมีย(รวมถึงแม่ยาย) พอเมียกลับบ้านที มันก็จะออกไปเที่ยวไม่กลับบ้านกลับช่อง มีข่าวกระเซ็นกระสายว่ามันไปติดผู้หญิงคนใหม่ จนพี่หวีต้องไปตามมันกลับบ้าน


เมื่อความสัมพันธ์ของคู่ผัวเมียวัยรุ่นระหองระแหง แถมผู้ใหญ่ฝ่ายหนึ่งก็ทำตัวไม่ค่อยสมกับเป็นผู้ใหญ่ ในที่สุด ความสัมพันธ์ของผู้ใหญ่ก็เลยพลอยแย่ไปด้วย

 

เย็นวันหนึ่ง ไอ้เปี๊ยกก็ถึงจุดสิ้นสุดของความอดทน เมื่อมันทะเลาะกับเมียดังลั่นบ้าน เมียมันไล่ให้มันไปพ้นๆ หน้า ไอ้เปี๊ยกไม่พูดไม่จา เดินไปสตาร์ทรถเครื่องขับออกจากบ้านหายไปในความมืด


ไอ้เปี๊ยกหายตัวไปสามคืน พี่หวีกับพี่แสวงร้อนใจ ออกตามหา แต่เพื่อนของมันทุกคนส่ายหน้าว่าไม่รู้ เมียมันก็อยู่ไม่ได้ ต้องหอบลูกกลับไปอยู่บ้าน


ล่วงเข้าสัปดาห์ที่สอง พี่หวีก็ได้ข่าวว่ามันไปอยู่บ้านเพื่อนคนหนึ่ง แต่ก่อนที่แกจะไปตาม พี่แสวงก็บอกว่า

"...มันคงจะกลุ้มเรื่องเมียมัน ปล่อยมันไปสักพักเถอะ...ข้าว่า มันไม่เป็นอะไรหรอก แล้วช่วงที่มันกับเมียมันไม่อยู่นี่นะ ข้ารู้สึกสบายใจดีว่ะ..."

พี่หวีได้ฟังดังนั้น ก็เห็นจริงตาม พอไม่มีเสียงทะเลาะกัน บ้านก็เงียบสงบไปเลย แม้จะเป็นห่วงไอ้เปี๊ยก แต่ในที่สุด พี่หวีก็ตัดสินใจไม่ไปตาม แต่ฝากบอกเพื่อนๆ มันว่า ให้ช่วยดูแลมันด้วย ถ้ามันเป็นอะไรก็ให้มาบอก

"...ดีเหมือนกันว่ะ สบายหูดี ..." พี่หวี เห็นด้วย

 

แต่คนที่ทำท่าว่าจะทุกข์ร้อนใจยิ่งกว่า คือเมียกับแม่ยายของไอ้เปี๊ยก เพราะเมียมันเทียวมาถามทุกวันว่า ไอ้เปี๊ยกกลับมาบ้านหรือยัง

"...ถ้ามันกลับมา หนูจะเลิกทะเลาะกับมัน..." เมียไอ้เปี๊ยกทำตาแดงๆ สำนึกผิด

แม่ยายไอ้เปี๊ยกก็โทรมาถามพี่หวีทุกวันว่า ไอ้เปี๊ยกกลับมาหรือยัง พอพี่หวีบอกว่ายัง แกก็อึกอักๆ บอกว่า ถ้ามันกลับมาให้โทรมาบอกด้วย

"...คงจะเบื่อเลี้ยงหลานแล้วล่ะสิ...ค่านม ค่ายา น่ะ พี่แสวงเขาจ่ายทั้งนั้น ทางนู้นเขาขี้เหนียวไม่เคยจ่ายสักกะบาท..." พี่หวีว่าอย่างรู้ทัน

ดูเหมือนแกจะเริ่มสบายใจจริงๆ เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน

 

ยุคนี้ สมัยนี้

ผัวเมียวัยรุ่น ท้องแล้วจำใจต้องแต่ง มีกลาดเกลื่อน

จำนวนไม่น้อย ที่ความรับผิดชอบต่ำ เอาแต่ใจ ด้อยวุฒิภาวะ

อยู่กันได้ไม่นานก็เลิก เพราะไม่ได้รักกัน หรือ ไม่เคยเข้าใจคำว่าชีวิตคู่ด้วยซ้ำ

แน่ละ ชีวิตใคร คนนั้นก็ต้องรับผิดชอบ

แต่สำหรับ วัยที่ยังไม่เดียงสาเหล่านี้

 

ผู้ใหญ่' ควรมีส่วนรับผิดชอบในการกระทำของพวกเขา มากน้อยสักแค่ไหน ?

 

 

 

 

บล็อกของ ฐาปนา

ฐาปนา
“...ที่สุดแล้ว ปัญหาการเมืองรวมถึงปัญหาส่วนตัวทุกเรื่อง เมื่อสืบเสาะลงไปให้ลึกที่สุดจะพบว่า เป็นปัญหาทางจิตวิญญาณทั้งนั้น ทุกชีวิตเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ ฉะนั้นปัญหาทุกอย่างของชีวิตจึงมีต้นตอมาจากจิตวิญญาณและจะแก้ไขได้ด้วยวิธีทางจิตวิญญาณ สงครามเกิดขึ้นเพราะใครบางคนมีสิ่งที่อีกคนอยากได้ นี่คือสิ่งที่ทำให้คนบางคนทำสิ่งที่อีกคนไม่อยากให้ทำความขัดแย้งทุกชนิดเกิดจากการวางความปรารถนาไว้ผิดที่สินติเดียวที่จะยั่งยืนได้ในโลกหล้าคือศานติภายในให้แต่ละคนค้นพบสันติในใจตน เมื่อนั้นเธอจะพบว่า เธอไม่ต้องพึ่งพาอะไรอีก...”(สนทนากับพระเจ้าเล่ม 2 หน้า 204)
ฐาปนา
เมื่อครั้งยังเด็ก ผมเคยเชื่อว่า มนุษย์ทุกคนมีชะตากรรมที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ทุกๆ อย่างถูกกำหนดไว้หมดแล้ว ทุกๆ อย่างถูกลิขิตไว้หมดแล้ว ตั้งแต่เกิดจนตาย พอเติบโตขึ้น ความเชื่อเรื่องชะตากรรมก็เปลี่ยนไป ผมเชื่อว่ามีแค่สามสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้วและเราไม่อาจล่วงรู้ได้ นั่นคือ การเกิด คู่ครอง และการตาย ไม่นานมานี้ ผมมองชะตากรรมอีกแบบหนึ่ง ผมคิดว่า ชะตากรรม คือ สิ่งที่เข้ามาสู่ชีวิตเพื่อให้เราเลือก ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม และมันจะส่งผลต่อเรา เราจะเรียนรู้และเติบโตจากมัน เราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองไปจากมุมมองที่เรามีต่อมัน ลองย้อนมองกลับไปถึงอดีตของเราแต่ละคน สิ่งที่เราเลือก เสมือนจุดๆ หนึ่ง…
ฐาปนา
ต้นเดือนกุมภาพันธ์ลมหนาวคลายความยะเยือกลง เหลือเพียงลมเย็นโชยเฉื่อย เจือกลิ่นหอมของไม้เมืองหนาวหลายชนิดที่ยังคงผลิดอกแม้ฤดูหนาวสิ้นสุด แล้วเมืองเชียงใหม่ก็เข้าสู่ช่วงเวลาพิเศษของคนหนุ่มสาวอีกครั้ง“วันแห่งความรัก” (Valentines Day) ที่ใครหลายคนรอคอยอันที่จริง แม้จะเรียกกันว่า วัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป บริบทของสังคมเปลี่ยนไป ด้วยอานุภาพแห่งความรักและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความรัก จึงไม่อาจจำกัดให้วันแห่งความรักอยู่แค่เพียง วันที่ 14 ของเดือนกุมภาพันธ์เท่านั้น วันแห่งความรักได้ขยายช่วงเวลาเป็น สัปดาห์แห่งความรัก จนกระทั่งเป็น เดือนแห่งความรัก ในที่สุด นอกจากบรรยากาศแห่งความรัก…
ฐาปนา
ไม่ทราบว่าใครเป็นเหมือนผมบ้างหลังจากข้าวของพาเหรดกันขึ้นราคา แต่รายได้มันไม่ได้ขึ้นตามไปด้วย ทำให้ต้องปรับตัวทุกทางเพื่อเอาชีวิตรอดให้ได้ถีงขั้นต้องใช้คำว่า “เพื่อเอาชีวิตรอดให้ได้” นั่นละครับเพราะรายได้ที่ไม่แน่นอน ไม่มากมาย บวกกับสภาพหนี้ทั้งงานราษฎร์งานหลวง จากที่เคยตามใจปากตามใจตัวได้บ้างก็ต้องกลายมาเป็น “งด” แทบจะทุกรายการ จะกินขนมสักสิบยี่สิบบาทก็เปลี่ยนไปเป็นอาหารญี่ปุ่นสำหรับคนจน (บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป) ดีกว่านี่ก็แว่วว่า บะหมี่ซองเหล่านี้จะขึ้นราคากันแล้วเราคงต้องไปหาดินอร่อยๆ กินกันแทนข้าวแล้วกระมัง ก่อนที่ดินอร่อยๆ จะได้รับความนิยมขึ้นมา แล้วดินก็จะขึ้นราคาอีก
ฐาปนา
“...ยังไม่เคยเห็นธนาคารไหนในโลกให้ดอกเบี้ยร้อยเปอร์เซนต์ ฝากพันให้พัน ฝากหมื่นให้หมื่น ฝากล้านให้ล้าน ไม่เคยเห็น แต่ธรรมชาติจะให้มากกว่านั้นแทบทุกเรื่อง ถ้าเราฝากธรรมชาติ อย่างเช่น ถ้าเราเอาเงินสิบบาทไปฝากธนาคาร ถ้าเขาให้ดอกร้อยเปอร์เซนต์ สิ้นปีก็ได้สิบบาท รวมที่ฝากเป็นยี่สิบบาท คือสูงสุดแล้ว แต่ถ้าฝากธรรมชาติ ก็เหมือนฝากให้คนอื่นทำงาน สมมติต้นกล้วยห้าบาท ค่าปลูกกล้วยอีกห้าบาท รวมเป็นต้นทุนสิบบาท พอสิ้นปีได้ปลีกล้วยมาอันหนึ่ง เครือกล้วยอีกเครือหนึ่ง หน่อกล้วยอีกสองหน่อ อันนี้ไม่รู้ราคาเท่าไรแล้ว ถามว่ามันได้ร้อยเปอร์เซนต์ หรือกี่ร้อยเปอร์เซนต์…
ฐาปนา
กิจกรรมส่วนที่สองของโครงการ one year # 2 ของมูลนิธิที่นา ที่ผมเข้าร่วม คือกิจกรรมเรื่องเกษตรกรรมธรรมชาติ เริ่มต้นด้วยการประชุมแนะนำโครงการและให้ผู้เข้าร่วมโครงการแต่ละคนวาดรูปพืช ที่ตนเองอยากปลูก หรือ สัตว์ที่ตนเองอยากเลี้ยง ซึ่งในช่วงเวลาสามเดือนของกิจกรรมส่วนที่สองนี้ ทุกคนจะต้องดูแลสิ่งมีชีวิตของตนเองสองวันต่อมา เราเดินทางไปชมการทำเกษตรกรรมอินทรีย์และการดูแลสุขภาพวิถีไทที่ “สวนสายลมจอย” อำเภอสันกำแพง พื้นที่ไม่ถึงสิบไร่แห่งนี้ ถูกปรับเปลี่ยนจากพื้นที่นามาเป็นร่องสวน และบ่อเลี้ยงปลา, เต็มไปด้วยมะพร้าว พืชผล พืชผัก และสมุนไพรนานาชนิดจากการทำนาทำสวนที่ใช้สารเคมีในอดีต…
ฐาปนา
หวังให้ประเทศเล็กที่มีพลเมืองน้อยมีอาหารพอที่จะเลี้ยงดูพลเมืองมากกว่าที่เขาต้องการถึงสิบเท่าร้อยเท่าให้ประชาชนเห็นคุณค่าของชีวิตและไม่ท่องเที่ยวพเนจรไปไกลถึงแม้จะมีพาหนะเรือและรถก็ไม่มีใครปรารถนาจะขับขี่ถึงแม้จะมีเกราะและอาวุธก็ไม่มีโอกาสจะใช้ให้กลับไปใช้การจดจำเรื่องราวด้วยการผูกเงื่อนแทนการเขียนหนังสือให้เขานึกว่าอาหารพื้นๆนั้นโอชะเสื้อผ้าอันสามัญนั้นสวยงามบ้านเรือนธรรมดานั้นสุขสบายประเพณีวิถีชีวิตนั้นน่าชื่นชมในระหว่างเพื่อนบ้านต่างเอาใจใส่ซึ่งกันและกันจนอาจได้ยินเสียงไก่ขันสุนัขเห่าจากข้างบ้านและตราบจนวันสุดท้ายของชีวิตจะไม่มีใครได้เคยออกไปนอกประเทศของตนเลย(บทที่ 80 ประเทศในฝัน,…
ฐาปนา
หากให้ลองย้อนคิดดูว่า ในหนึ่งวันที่ผ่านไปเราได้ทำอะไรไปบ้าง คงไม่ใช่เรื่องยากเกินไปที่จะระบุให้ครบถ้วน เพราะการกระทำเป็นรูปธรรม มีผลลัพธ์ชัดเจน มีร่องรอยที่ติตตามได้แต่หากให้ลองย้อนคิดดูว่า ในหนึ่งวันที่ผ่านไป เราได้ "พูด" อะไรไปบ้าง ต้องไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ เว้นเสียแต่ว่า วันนั้นเราจะพูดน้อยจนนับคำได้คำพูด คือความคิดที่แสดงออกเพื่อสื่อสาร ซึ่งเนื้อแท้ของสิ่งที่ต้องการสื่อสารนั้นก็คือ ความรู้สึก ความรู้สึกคือภาษาของวิญญาณ เป็นหัวใจเป็นแก่นแกนกลางของการสื่อสารทุกชนิด แต่เราก็มักจะหลงลืมหัวใจของการสื่อสารนี้ไป และไปให้ค่ากับคำพูดเสียมากกว่าฉะนั้น หากเปลี่ยนคำถามเสียใหม่ว่า ในหนึ่งวันที่ผ่านไป…
ฐาปนา
 ผมเพิ่งจะไปเที่ยววัดพระธาตุดอยสุเทพมาครับ หลังจากไม่ได้ไปมาเป็นเวลาร่วมสิบปี  ครั้งสุดท้ายที่ขึ้นไปคือตอนที่เรียนมหาวิทยาลัย พอย้ายมาอยู่ทางเหนือก็ไม่ได้โอกาสเสียที มาสบโอกาสเอาก็ตอนลมหนาวเริ่มมาเยือนนี่เอง ขับมอเตอร์ไซต์ขึ้นดอยตอนเช้า อากาศเย็นสบาย ใช้เวลาสัก 20-30 นาทีเท่านั้นวัดพระธาตุดอยสุเทพเป็นสถานที่อันดับแรกที่ใครต่อใครที่มาเชียงใหม่จะต้องมาเยือนมาชม มากราบไหว้ เพื่อเป็นศิริมงคลแก่ตนเอง ที่นี่จึงเต็มไปด้วยผู้คนมากมายตลอดเวลา ยิ่งในช่วงฤดูหนาวซึ่งเป็นฤดูท่องเที่ยว ดูเหมือนว่า ดอยสุเทพคือสถานที่แรกที่ทุกคนต้องมา…
ฐาปนา
คืนหนึ่งผมฝันถึงสถานที่หนึ่งซึ่งผมไม่เคยคาดคิดว่าจะฝันถึงสถานที่แห่งนั้นเป็นทางเดินที่ทอดยาว เชื่อมระหว่างอาคารหนึ่งไปสู่อาคารหนึ่งผมเดินไปตามทางนั้นด้วยความรู้สึกประหลาด ประหลาดเพราะรู้ว่านี่คือความฝัน แต่ทั้งรู้ว่าฝันผมกลับตื่นตื่นโพลงอยู่ในความฝัน ผมเดินไปตามทางด้วยความตื่นโพลง และรู้สึกราวกับกำลังเดินอยู่ในภาพวาดซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างหยุดนิ่ง แม้แต่ใบไม้แห้งก็แทบจะไม่ไหวติง ผมรู้จักสถานที่แห่งนั้นดี มันคือทางเดินเชื่อมระหว่างอาคารพักอาศัยไปยังอาคารปฏิบัติรวมของศูนย์วิปัสสนาธรรมอาภา สถานที่ที่ผมไปอบรมวิปัสสนาเป็นเวลาสิบวันผมพยายามหาเหตุผลว่า ทำไมผมจึงฝันถึงสถานที่แห่งนั้น…
ฐาปนา
หากได้รับตั๋วเครื่องบินไป-กลับยุโรป พร้อมเงินติดกระเป๋าไปเที่ยวฟรีๆ 10 วัน เป็นใครย่อมไม่รอช้า ทั้งพร้อมจะเลื่อน – ลา – หยุด ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อไป มันคงเป็นประสบการณ์ครั้งสำคัญในชีวิตที่น้อยคนจะมีโอกาส แต่ด้วยเงื่อนไขเดียวกันนี้ หากเปลี่ยนจากไปเที่ยวยุโรป 10 วัน เป็นการไป ‘วิปัสสนา’ 10 วันแทน หลายคนคงต้องคิดหนัก เราหมายใจจะท่องเที่ยวไปให้ทั่วประเทศ ทั่วทวีป ทั่วโลก จากทะเลลึกถึงภูเขาที่สูงที่สุด จากมหานครสู่ป่าดิบ จากกลางตลาดที่คราคร่ำด้วยผู้คนสู่ทะเลทรายเวิ้งว้าง แต่เรากลับไม่สนใจที่จะท่องเที่ยวสำรวจ ‘จิต’ ของเราเอง ... แปลกมั้ย ?ในฐานะชาวพุทธ ไม่ว่าจะกล่าวด้วยความภาคภูมิ…
ฐาปนา
ผมสมัครเข้าร่วมโครงการหนึ่งปี “ชุมชนทดลอง # 2” ของมูลนิธิที่นา [1] ด้วยความไม่รู้ กล่าวคือ ไม่รู้เรื่องวิปัสสนา ไม่รู้เรื่องศิลปะ และไม่รู้เรื่องเกษตรกรรมธรรมชาติ  ความไม่รู้นี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพราะถ้ารู้แล้วคงไม่ต้องมาเมื่อได้คุยกับทีมงานหลายท่านก่อนเริ่มโครงการ ก็ได้รับความห่วงใยเกรงว่า ผู้เข้าร่วมโครงการจะคาดหวังมากเกินไป เนื่องจาก the land ไม่ใช่ utopia ซึ่งผมก็เข้าใจ ขณะเดียวกันผมเองก็ห่วงใยเกรงว่า ทีมงานจะคาดหวังกับผู้เข้าร่วมโครงการมากเกินไปเช่นเดียวกันเพราะในความต่างของปัจเจกที่มาอยู่ร่วมกันภายใต้เงื่อนไขหลวมๆ นี้ หากผู้เข้าร่วมไม่มีความชัดเจนในจุดประสงค์ของตนเอง…