Skip to main content
ลุงเหมือน อดีตทหารผ่านศึก คนปลูกแตงโมมือวางท้อปไฟว์ประจำหมู่บ้าน นั่งมองไร่แตงโมอย่างสบายอารมณ์

ปีนี้แตงโมราคาดีไม่น้อย พ่อค้ามารับซื้อหน้าไร่กิโลกรัมละสิบห้าถึงยี่สิบห้าบาท ยิ่งลูกใหญ่ยิ่งได้ราคา มดแมลงก็ไม่ค่อยจะกวนเท่าไร ลุงเหมือนกะว่าปีนี้คงได้เงินจากแตงโมสักห้าหกหมื่น แล้วจากนั้นจะได้ปลูกกะเพรา โหระพา ใบแมงลัก แบบ "พอเพียง-เพียงพอ" บ้าง

\\/--break--\>

ปีนี้ก็เป็นเช่นปีก่อนๆ

ลุงเหมือน ให้เจ้าโก้ ลูกชายคนเล็กของแก ช่วยปลูกช่วยดูแลแตงโม พอขายได้เงินแล้วแกก็แบ่งให้มันตามส่วนที่มันช่วยทำ ซึ่งก็ได้ไม่น้อย มันเลยขยันช่วยขยันทำอย่างไม่เคยอิดออด ส่วนเจ้าแก้ว ลูกชายคนโตนั่น ทำงานประจำ ไม่ยุ่งกับเรื่องไร่เรื่องนาเลย


"ปลูกแตงโมมันดีนะโว้ย...เงินดี แต่ต้องทำให้เป็น พอเป็นแล้วก็หวังเงินแสนได้เหมือนกัน" ลุงเหมือนพูดกับ น้องรุ่ง-สาวน้อย ที่ออกจากงานประจำแล้วมาช่วยแม่ปลูกผักแทน

"ฉันก็อยากปลูกเหมือนกันแหละลุง แต่ยังไม่ค่อยจะเป็น ปีนี้เลยลองดูก่อนสักสิบต้น" น้องรุ่ง ชี้ไปทางแปลงปลูกแตงกวาที่มีลำต้นเลื้อยไปตามดินของแตงโมขึ้นแซมอยู่

ลุงเหมือนพยักหน้ายิ้มๆ ให้กำลังใจว่า

"ดีแล้ว...ลองปลูกดู ถ้าดีปีหน้าค่อยทำ ไม่ยากหรอก ถ้าตั้งใจจริง"

 

แดดเที่ยงกำลังแรง ชาวสวนผักพากันนั่งพักทานข้าว น้องรุ่ง ฟังลุงเหมือนเล่าเรื่องแตงโมอย่างสนใจ

"แตงโมมันก็มีทั้งไอ้ลูกกลมๆ แบบที่เราเห็นกันทั่วไป หรือลูกรีๆ อย่างที่เรียกกันว่าพันธุ์ตอปิโด...เื่มื่อก่อนนู้นมีพันธุ์ที่ดังมากคือพันธุ์บางเบิด ลูกใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่ม แต่ตอนนี้หายากแล้ว ไม่ค่อยมีคนนิยม...แถวบ้านเรามีอีกอย่างคือแตงโมอ่อน แตงโมลูกเล็กๆ น่ะ แกงกินอร่อยดี แต่นั่นมันคนละอย่างกับที่เราปลูกนะ...แตงโมมันชอบดินแห้งๆ จึงต้องปลูกตอนหน้าแล้ง ให้น้ำบ้าง แต่ไม่ใช่ให้น้ำขังนะ ไม่งั้นเน่าเลย...พอมันเริ่มออกลูกก็ต้องเด็ดลูกมันทิ้งบ้าง ไม่อย่างนั้นมันจะแย่งอาหารกัน จะทำให้ลูกไม่โต ไม่หวาน...จะปลูกแตงโมมันก็ต้องตัดใจเด็ดทิ้งน่ะ...แล้วก็ต้องดูแลโรคแมลงกันหน่อย เพราะแตงโมมันน้ำเยอะ เนื้อเยอะ แถมยังหวานด้วย...พอตอนตัดก็เหนื่อยหน่อย แต่ส่วนใหญ่ก็จ้างแรงมาตัดกัน...ตัดกันเองไม่ไหวหรอก ก้มๆ เงยๆ หน้ามืดกันพอดี...พอจะตัดเราก็ไม่ตัดทีเดียวหมดหรอก ก็เหลือลูกที่ยังไม่ได้ขนาดไว้ เอาไว้ตัดรุ่นสอง หรือ มีถึงรุ่นสามก็ว่ากันไป..."

ลุงเหมือนเลคเชอร์การปลูกแตงโมเป็นฉากๆ


"...ฉันเคยได้ยินว่า มีอยู่ีปีหนึ่งฝนตกน้ำท่วม แตงโมจมน้ำไปเลยหรือลุง ?" น้องรุ่งถาม

ลุงเหมือนหัวเราะเสียงดัง

"...เออ..ใช่ๆ มันก็ไม่ใช่ว่าจะดีทุกปีหรอก ปีนั้นฝนมันดันตกหนัก น้ำท่วมไร่แตงโมหมด...ข้าเดินผ่านยังต้องหันหน้าหนีเลย...ไม่อยากมอง มันเจ็บใจน่ะ..."

"...แล้วถ้าฉันจะปลูก ฉันจะปลูกแตงโมเหลืองหรือแตงโมแดงดีล่ะลุง ?"

"ถ้าจะปลูกให้คนมีกะตังค์กินก็ปลูกแตงโมเหลือง ถ้าจะเอาแบบขายให้ชาวบ้านกินก็ปลูกแตงโมแดง"


"แบบไหนปลูกง่ายกว่ากัน?"

"มันก็ไม่ง่ายไม่ยากไปกว่ากันเท่าไร แต่มันปลูกรวมกันแล้วไม่่ค่อยจะดี...."

"ทำไมล่ะลุง?"

"ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน...ถ้าปีไหนแตงเหลืองดี แตงแดงจะไม่ค่อยดี แล้วถ้าปีไหนแตงแดงมันดี แตงเหลืองมันก็จะไม่ค่อยดี...เหมือนมันอยู่ด้วยกันไม่ได้ ไร่คนอื่นเขาเป็นแบบนี้หรือเปล่าข้าก็ไม่รู้...ปีหลังๆ ข้าก็ต้องแยกปลูก แตงเหลืองไว้ซีกหนึ่ง แตงแดงไว้อีกซีกหนึ่ง"


"...แล้วแบบไหนขายดีกว่าล่ะลุง?"

"มันก็ขายดีทั้งสองแบบนั่นแหละ บ้างก็ว่าแตงเหลืองอร่อยกว่า เป็นของหายาก เป็นของขึ้นห้างแตงแดงมันของหาได้ทั่วไป แต่บ้างก็ว่าแตงแดงสิดี ใครๆ เขาก็กินทั้งนั้น...มันก็แล้วแต่คนชอบ แต่ที่ข้าต้องปลูกทั้งสองอย่างก็เพราะพ่อค้าเขาสั่งไว้ เขาต้องเอาไปขายทั้งสองแบบ"

ลุงเหมือนอธิบาย


"แล้วปีนี้ลุงปลูกไว้อย่างละเท่าไรล่ะ?"

"ก็อย่างละครึ่งๆ แหละ...จริงๆ พ่อค้าเขาจะเอาแตงเหลืองไม่มากเท่าไร แต่ข้าว่าปีนี้มันน่าจะราคาดีก็เลยปลูกเผื่อไว้"
น้องรุ่งพยักหน้าอย่างเข้าใจ

 


หลายสัปดาห์หลังจากนั้น น้องรุ่งได้ข่าวว่า ลุงเหมือนตัดแตงโมขายแล้ว เลยแวะไปเยี่ยม แต่แทนที่จะเห็นลุงเหมือนกำลังยิ้มร่า นั่งนับเงิน แต่ลุงเหมือนกลับนั่งซึมอยู่คนเดียว มีแตงโมอีกจำนวนไม่น้อยถูกปล่อยทิ้งไว้ในไร่


"อ้าว...ทำไมมาันั่งซึมอย่างนี้ล่ะลุง?แล้วทำไมแตงโมเหลือตั้งเยอะล่ะ ได้ขนาดแล้วไม่ใช่เหรอ หรือว่าลุงจะเหลือเอาไว้รุ่นหน้า?"

"เปล่า...แตงที่เหลือมันพวกแตงแดง ราคามันตก ข้าเลยยังไม่ขาย"

"อ้าว...ทำไมแตงแดงราคาถึงตกได้ล่ะลุง?"

ลุงเหมือนส่ายหน้าอย่างจนใจ

"ข้าก็ไม่รู้...แต่ถ้าจะให้เดา ก็คงมีพวกพ่อค้าคนกลางกั๊กราคา กดราคา เก็งกำไรหรืออะไรทำนองนี้อีกนั่นแหละ"

"เอ...หรือว่า...คนในเมืองเขาชอบกินกันแต่แตงเหลืองหรือเปล่าลุง?"

ลุงเหมือนถอนหายใจเฮือกใหญ่

 

"...ใครจะชอบแดง ใครจะชอบเหลือง ข้าไม่รู้...ข้ารู้แต่ว่า บ้านนี้เมืองนี้ไม่เคยสนใจหรอกว่า เกษตรกรจะอยู่ได้หรือเปล่า เอาแต่ประโยชน์ตัวเองเป็นที่ตั้ง ...คนบ้านเรามันไม่อดอยากหรอก เพราะอาหารการกินอุดมสมบูรณ์...สมบูรณ์จนล้นเกิน...แต่ที่มันต้องมีคนตายกัน ก็เพราะมีบางคนที่มันโลภไม่รู้จักพอ..."

 

 

บล็อกของ ฐาปนา

ฐาปนา
พี่หวี จอดรถเครื่องที่ใต้ร่มมะขาม แกเดินหน้าเซ็งมานั่งที่เปล คุยเรื่องนู้นเรื่องนี้อยู่พักหนึ่ง นอนแกว่งเปลถอนหายใจสามเฮือกใหญ่ ก่อนจะระบายความในใจออกมาด้วยประโยคเดิมๆ ว่า "...เบื่อว่ะ...ไอ้เปี๊ยกกับเมียมันทะเลาะกันอีกแล้ว..."เจ้าบุญ น้าเปีย เจ้าปุ๊ก ที่กำลังนั่งแกะมะขามสุกเอาไว้ทำมะขามเปียก ก็หันมาพยักหน้ารับรู้ แล้วก็ปล่อยให้พี่หวีได้พูดระบายความเครียดไป ถามบ้างเป็นบางครั้ง แต่ส่วนใหญ่ทุกคนจะนั่งฟังอย่างเห็นอกเห็นใจ
ฐาปนา
  ปลายสัปดาห์นั้น หมู่บ้านคึกคักเป็นพิเศษ เพราะผู้ใหญ่บ้านประกาศล่วงหน้ามานานหลายวันแล้วว่า วันศุกร์สุดท้ายของเดือน ผู้ว่าราชการจังหวัดจะลงพื้นที่มาตรวจเยี่ยมชาวบ้าน มารับฟังปัญหา จึงขอเชิญชาวบ้านมาร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนสารทุกข์สุขดิบกันซึ่งอันที่จริง การขอเชิญ นั้น ก็มีการขอร้อง กึ่งๆ ขอแรง ปะปนอยู่ด้วย เพราะช่วงเวลาดังกล่าว ชาวบ้านส่วนใหญ่กำลังวุ่นกับงานในไร่ เตรียมจะปลูกแตงกวา มะเขือเทศ ถั่วฝักยาวกันนานๆ จะมีเจ้าใหญ่นายโตมาเยี่ยมหมู่บ้าน ใครต่อใครก็เลยต้องทำความสะอาด ปัดกวาดบ้านกันใหญ่ เพราะเดี๋ยวถ้าเกิดแจ๊กพ็อต ผู้ว่าฯ เดินเข้ามาหาถึงบ้าน แล้วบ้านรกยังกับรังนก เป็นได้อายเขาตายเลย…
ฐาปนา
ชาวนาชาวไร่ ฟังวิทยุ มากกว่าดูโทรทัศน์ มากกว่าดูหนัง มากกว่าอ่านหนังสือ เพราะการงานในไร่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ไม่เอื้ออำนวยให้เอาสายตาและเวลาไปใช้อย่างอื่น เสียงเพลงและ เสียงข่าว จึงดังแว่วมาตามลมตั้งแต่ริมคลองส่งน้ำด้านทิศเหนือไปจนจรดทุ่งนาติดชายป่า ด้านทิศใต้ สมัยนี้วิทยุเครื่องเล็กๆ ใช้ถ่านก้อนเดียว เครื่องละแค่ไม่กี่ร้อย ใครๆ ก็ซื้อได้ ขนาดเจ้าโหน่ง เด็กเลี้ยงวัว ยังห้อยโทรศัพท์มือถือฟังวิทยุได้ ... น่าน! เท่ห์ซะไม่มี ฟังกันมากที่สุด ก็ต้องเป็นเพลงลูกทุ่งทั้งเก่าทั้งใหม่ รองลงมาก็สตริง ส่วนคนมีอายุก็ชอบฟังข่าว ฟังเทศน์ฟังธรรม
ฐาปนา
สองเดือนผ่านไป คณะลิเก กลายเป็นส่วนหนึ่งของหมู่บ้าน กลายเป็นมหรสพประจำหมู่บ้าน ซึ่งไม่เพียงแค่คนในหมู่ แต่คนต่างหมู่ ต่างตำบลยังพากันมาดู แต่ละคืน ที่ศาลาประจำหมู่บ้านซึ่งกลายสภาพเป็นโรงลิเก จะมีเก้าอี้พลาสติกสะอาดสะอ้านจำนวนสิบกว่าตัววางไว้อย่างมีระเบียบ รอผู้ชมขาประจำมานั่ง
ฐาปนา
ปลายเดือนตุลาคม ผมกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดครั้งแรกในรอบหลายปี ทั้งที่จริง ผมไม่มีความจำเป็นจะต้องไปแต่อย่างใด เพราะครอบครัวของผม บ้านของผม ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว สิ่งที่ยังเหลืออยู่ มีเพียงความทรงจำตลอดสิบแปดปีที่ผมได้เติบโตมา โรงเรียน บ้านพักอาจารย์ สนามเด็กเล่น หอนาฬิกา ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน สถาบันราชภัฎซึ่งเมื่อก่อนคือวิทยาลัยครู ทุกๆ สถานที่ที่คุ้นเคย ยังปรากฎภาพชัดเจนทุกครั้งที่ระลึกถึง แต่กับสิ่งที่เห็นตรงหน้าในวันนี้ เหลือเพียงแค่ร่องรอยบางส่วนจากอดีต เพราะวันนี้ เมืองเติบโตขึ้นมาก อาคารเก่าๆ ถูกรื้อถอนกลายเป็นห้างสรรพสินค้า พื้นที่รกร้างว่างเปล่าที่เห็นมาตั้งแต่เล็ก…
ฐาปนา
คณะลิเกมาสู่หมู่บ้านด้วยเหตุบังเอิญวันหนึ่ง ยายนุ้ยทำบุญที่บ้านตอนเช้า พอตกบ่าย ก็นิมนต์พระหลานชายที่บวชมาได้สามพรรษาสอบได้นักธรรมโท มาเทศน์ พอตกค่ำ แกก็จ้างลิเกมาเล่นที่ศาลากลางหมู่บ้านวันนั้น ที่บ้านยายนุ้ยจึงมีคนหนาตา โดยเฉพาะช่วงที่มีลิเก เพราะนานนักหนาแล้วที่ไม่มีลิเกมาเล่นในหมู่บ้าน สมัยนี้เวลามีงาน ถ้าไม่ใช่วงดนตรี(อิเลกโทน)นุ่งน้อยห่มน้อย ก็เป็นหนังกลางแปลง ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ใครต่อใครก็อยากดู พระเอกรูปหล่อ นางเอกนัยตาคม ตัวโกงหน้าโหด ตัวตลกน่าเตะ เครื่องเพชรแวววับทิ่มทะแยงตา เสียงระนาด ตะโพน รัวเร้าใจ “แหม...ถ้าเป็นไชยา มิตรชัย ละก้อ...เหมาะเลยนิ..…
ฐาปนา
เรื่องมันเริ่มจากคำบอกเล่าของทิดช่วง ในงานศพงานหนึ่ง แกเล่าให้เพื่อนบ้านฟังว่า กลางดึกคืนก่อน แกลุกจากที่นอนมายืนฉี่ที่ริมรั้ว อากาศเย็น น้ำค้างกำลังลง ขณะที่แกกำลังระบายน้ำทิ้งอย่างสบายอารมณ์ สายตาของแกก็เหลือบไปเห็น ดวงไฟดวงใหญ่ ลอยขึ้นๆ ลงๆ อยู่ในความมืดที่ปลายรั้วอีกด้านหนึ่ง ห่างจากตัวแกไปสักสี่ห้าสิบเมตร พอแกเสร็จภารกิจ ชะรอยจะคิดว่าเป็นตัวอะไรสักอย่างมาหากิน แกเลยออกปากไล่ว่า “ชิ้วๆ” เท่านั้นเอง ดวงไฟนั้นก็พุ่งตรงเข้ามาหาแก ทำเอาแกสะดุ้งโหยงจนต้องเผ่นเข้าไปใต้ถุนบ้าน แกกดสวิทช์เปิดไฟใต้ถุน สว่างพรึบ มองซ้าย...มองขวา...มองหน้า...มองหลัง มันคืออะไรกันวะ...? หรือว่า...…
ฐาปนา
บ้านนอก แม้จะไม่สะดวกแต่ก็สบาย ถึงจะร้อนแดดแต่พอเข้าร่มก็เย็น ผิดกับเมืองใหญ่ ที่ร้อนอบอ้าวตลอดปี ฝนจะตกแดดจะออก ความร้อนก็ยังคงสถิตย์อยู่เสมือนเป็นอุณหภูมิประจำเมือง ใครเลยจะคิดว่า ความร้อนจากในเมืองจะแผ่ลามเข้ามาถึงหมู่บ้านที่ปราศจากกลิ่นฟาสต์ฟู้ด ข้อมูลข่าวสารปรากฎทั้งรูปและเรื่องบนหนังสือพิมพ์ในร้านกาแฟ เสียงรายงานข่าวลอยมาจากวิทยุที่แขวนอยู่ข้างตัวเด็กเลี้ยงวัว ทั้งภาพเคลื่อนไหวทั้งเสียงส่งตรงมาเข้าจานดาวเทียมสีเหลืองสดใสเหนือหลังคาร้านค้าของป้านุ้ย ที่ๆ ใครต่อใครก็มาชุมนุมกันตั้งแต่เช้า บ้างซื้อยาสูบ ซื้อขนมเป็นเสบียงก่อนไปนาน บ้างตั้งวงกาแฟกระป๋อง เขียวบ้าง เหลืองบ้าง แดงบ้าง…
ฐาปนา
ณ วงกาแฟ (กระป๋อง) ยามเช้า ตาผวน ลุงใบ และ ตาสุข สามเฒ่านั่งเสวนาเปรียบเทียบเรื่องข้าวกับเรื่องการเมือง “ข้าว่า เรื่องข้าวมันก็เหมือนเรื่องการเมืองนั่นแหละ” ตาสุข เปิดประเด็น “อธิบายที?” ลุงใบถาม “เวลาปลูกข้าว เราก็ต้องเลือกพันธุ์ดีๆ ใช่มั้ยล่ะ ถ้าข้าวพันธุ์ดีก็ไม่ต้องใส่ปุ๋ยใส่ยามาก ทดน้ำเข้านาอย่างเดียว มันก็งอกงาม แต่ข้าวพันธุ์แย่ๆ มันก็ต้องใส่ปุ๋ยหลายกระสอบ ฉีดยาหนักๆ แต่พอโตก็ดันเม็ดลีบ ทำให้ข้าวเสียราคาป่นปี้หมด การเมืองมันก็อย่างเดียวกันละว้า... ถ้าได้คนดีๆ ไปมันก็ไม่โกงกินมาก มันก็ทำงานของมันไป ดีๆ ชั่วๆ อย่างน้อยมันก็บริหารของมันได้ แต่ถ้าได้ไอ้พวกเลวๆ ไป มันก็โกงมันก็กิน…
ฐาปนา
แต่ไหนแต่ไรมา ราคาข้าวแต่ละปีไม่เคยห่างไปจากระดับเกวียนละสี่พัน ห้าพัน อย่างดีที่สุดคือหกพัน เขยิบขึ้นๆ ลงๆ อยู่แค่ สองร้อยบ้าง สามร้อยบ้าง ชาวนาได้ข้าวพอกิน เหลือก็ขาย แต่พอหักค่าปุ๋ยค่ายา ค่าไถ ค่าเกี่ยว ก็ไม่พอกิน สุดท้ายก็ต้องเข้าเมืองไปหางานทำอยู่ดี หน้านาก็ทำนา หมดหน้านาก็เข้ากรุง เป็นวัฎจักรชีวิตสืบทอดจาก ชาวนาเจเนอเรชั่นปู่ จนถึง รุ่นหลาน ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง มาปีนี้ ข้าวเกวียนละหมื่นต้นๆ พอหายใจหายคอได้บ้าง กระนั้นหนี้สินก้อนโตก็ยังยืนค้ำหัวให้กลุ้มใจทุกครั้งที่คิดถึง ตาจิ้มเกี่ยวข้าวได้แปดเกวียน หักนู่นหักนี่ไปแล้วเหลือเข้ากระเป๋าสามหมื่นกว่า บางคนว่า…
ฐาปนา
ยุคข้าวยากหมากแพง สินค้าเกษตรจำพวกพืชผักเวลานี้ ราคาดีแทบทุกอย่าง ตั้งแต่ข้าวซี่งแม้จะราคาตกมาหน่อย แต่ก็ดีกว่าปีก่อนๆ มากอื่นๆ ก็อาทิเช่นกะเพรา-ผักใบ ขาดไม่ได้สำหรับร้านอาหารตามสั่ง แม่ค้าขายที่หน้าแผงกำละ 5-7 บาท แต่แม่ค้าคนกลางมารับซื้อที่หน้าไร่กิโลกรัมละ 5-10 บาทบวบ-ผักธรรมดาแต่ราคาไม่เคยตก ราคาจากสวนกิโลกรัมละ 7-10 บาทกล้วยน้ำว้า-ผลไม้บ้านๆ ธรรมดาสุดๆ แต่ขอโทษที-นาทีนี้ พ่อค้ามารับซื้อถึงสวนกล้วย หวีละ 8 บาทเป็นอย่างน้อย(ลูกเล็ก) เครือหนึ่งมีสักสิบหวี ก็เกือบร้อยบาทแล้ว
ฐาปนา
สังคมชาวบ้าน แม้จะอยู่คนละหมู่บ้าน คนละตำบล คนละอำเภอ หรือแม้แต่คนละจังหวัด ถ้าได้ชื่อว่าเป็น “คนมีตังค์” ต่อให้ไกลแค่ไหน เมื่อมีใครสักคนพูดถึง ก็จะมีคนจดจำไว้ ถ้าอยู่ใกล้หน่อยก็มีคนรู้จัก เผลอๆ รู้ไปถึงวงศ์วานว่านเครือนู่น เหมือนที่เขาว่า มีเงินก็นับเป็นญาติ ใส่ผ้าขาดถึงเป็นญาติก็ไม่นับ อย่าง ตาผล คนตำบลใกล้เคียงไปได้เมียที่สมุทรสาคร ทำบ่อเลี้ยงปลา จนกระทั่งมีรถกระบะ 2-3 คัน เปิดร้านคอมพิวเตอร์ให้น้องเมียดูแล ลุงเปลี่ยน อยู่ท้ายหมู่บ้าน ใครก็รู้ว่ามีหนี้เยอะ แต่พอไปเป็นพ่อค้าคนกลางตระเวนซื้อของจากแถวบ้านไปขายที่กรุงเทพฯ ก็เริ่มมีตังค์ ปลดหนี้สินไปจนหมด แถมกำลังจะปลูกบ้านใหม่…