Skip to main content

คืนหนึ่ง
ผมฝันถึงสถานที่หนึ่งซึ่งผมไม่เคยคาดคิดว่าจะฝันถึง
สถานที่แห่งนั้นเป็นทางเดินที่ทอดยาว เชื่อมระหว่างอาคารหนึ่งไปสู่อาคารหนึ่ง
ผมเดินไปตามทางนั้นด้วยความรู้สึกประหลาด ประหลาดเพราะรู้ว่านี่คือความฝัน แต่ทั้งรู้ว่าฝันผมกลับตื่น
ตื่นโพลงอยู่ในความฝัน ผมเดินไปตามทางด้วยความตื่นโพลง และรู้สึกราวกับกำลังเดินอยู่ในภาพวาดซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างหยุดนิ่ง แม้แต่ใบไม้แห้งก็แทบจะไม่ไหวติง

ผมรู้จักสถานที่แห่งนั้นดี มันคือทางเดินเชื่อมระหว่างอาคารพักอาศัยไปยังอาคารปฏิบัติรวมของศูนย์วิปัสสนาธรรมอาภา สถานที่ที่ผมไปอบรมวิปัสสนาเป็นเวลาสิบวัน

ผมพยายามหาเหตุผลว่า ทำไมผมจึงฝันถึงสถานที่แห่งนั้น และทำไมผมจึงรู้สึกอย่างนั้น บางที อาจเป็นเพราะความคุ้นชินบางอย่างที่ได้รับขณะที่อยู่ที่นั่น ซึ่งไม่อาจหาได้จากที่อื่น และบางทีอาจเป็นเพราะลึกๆ แล้วผมปรารถนาจะได้ประสบการณ์แห่งความรู้สึกนั้นอีกครั้ง
ความสงบ, เงียบ ไม่มีเสียงพูดคุย ไม่มีเสียงผู้คน ไม่มีแม้เสียงของตัวเอง หากลองตั้งสมาธิให้ดีจะได้ยินกระทั่งเสียงลมหายใจและเสียงหัวใจเต้น เสียงใบไม้ไหว เสียงนกในป่าที่มองไม่เห็นตัว เสียงปลากระโดด เสียงลมพัด เงียบราวกับเป็นเวลากลางคืน แต่นี่คือเวลากลางวัน ในสถานที่ที่มีคนอยู่ร่วมร้อยคน ยากจะหาที่ไหนเหมือน, มีคนอยู่รวมกันมากขนาดนี้ แต่กลับเงียบขนาดนี้

เมื่อเสร็จสิ้นการอบรมวิปัสสนาและกลับมาสู่วิถีชีวิตคนเมืองอีกครั้ง ผมเริ่มรู้สึกถึงความแปลกแยกบางอย่างที่ก่อตัวอยู่ภายใน ดูเหมือนจะเป็นความแปลกแยกกับ “เสียง”

เมืองคือพื้นที่ที่เต็มไปด้วยความเคลื่อนไหว ความสั่นสะเทือน มีแสงเจิดจ้าในยามค่ำ มีสีสันจากป้ายเรืองแสง มีสรรพเสียงจากทุกทิศทุกทางทุกเวลา เราอยู่กับแสงและเสียงแทบจะตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นลืมตาจนถึงล้มตัวลงนอน และอาจมากเสียจนไม่อาจคุ้นชินเมื่ออยู่ในสภาวะที่ปราศจากมัน

ความเงียบจึงคล้ายสัตว์ที่กำลังจะสูญพันธุ์ ไม่ใช่แค่กำลังจะหายไปจากเมือง แต่มันกำลังจะหายไปจากใจมนุษย์ด้วย

“...เด็กยุคนี้ขี้เหงาเพราะเขาโตมากับเสียง ไม่เคยอยู่เงียบๆ ไม่รู้จักต้นไม้ว่าต้นไหนหน้าตาเป็นยังไง หลายคนเลี้ยงลูกด้วยทีวีซึ่งน่าเป็นห่วง สังคมเราร่ำรวยขึ้น เศรษฐกิจดีขึ้น แต่ก็เป็นไปในเชิงบริโภคมากขึ้น ซื้อๆๆ เด็กมีโลกของตัวเอง มีที่ครอบหู ฟังเพลงตลอดเวลา ชอบความบันเทิงที่ใช้เสียง บันเทิงแบบเงียบๆ ไม่รู้จัก ทั้งที่จริงความเงียบก็เบิกบานได้ พอเปิดทีวีดัง ชอบเสียงดัง ใช้ชีวิตอยู่ในที่ที่เสียงดัง หูก็ตึงตั้งแต่เด็ก ตอนนี้เรากำลังสู้กับเด็กที่หูตึง เด็กจำนวนมากเป็นคนหูพิการไปแล้วโดยไม่รู้ตัว น่ากลัวมาก อันตราย

ประเทศกำลังอยู่ในวิกฤติ แต่ไม่มีใครรู้ เยาวชนฟังเพลงดังๆ ชอบดังๆ ฟังทั้งวัน ไม่สามารถอยู่เฉยได้ กลับถึงบ้านเปิดทีวี วิทยุ ไม่เคยได้อยู่เงียบๆ พรีเซนเตอร์ หรือคนอ่านสปอตทั้งหลายก็พูดเบาๆ หรือพูดปกติไม่เป็นแล้ว สังคมที่ไม่มีความสงบคือสังคมที่วิบัติ...”

(เสียงดังกำลังคุกคามถ้วยชาวิถี  ปานชลี สถิรศาสตร์ ,โลกของเราขาวไม่เท่ากัน : ม.ล.ปริญญากร วรวรรณ และ วรพจน์ พันธุ์พงศ์)

หลายคนอาจคิดว่า ความสุขกับความสนุกนั้นเป็นเรื่องเดียวกัน แต่ผมกลับเห็นต่างออกไป
เสียงต่างๆ อาจทำให้เราสนุก รื่นรมย์ บันเทิง แต่ถ้ามากเกินไป บ่อยเกินไป เสียงใดก็แล้วแต่ไม่อาจให้ความสนุกได้อีกแล้ว มากๆ เข้าจากความสนุกก็จะกลายเป็นทุกข์

ความเงียบสงบต่างหากที่จะทำให้เราได้พบกับความสุขที่แท้จริง
เพราะความเงียบคือการลดทอนสิ่งฟุ่มเฟือยที่เราเรียกว่าเสียงเพื่อเราจะได้พบกับความสงบ
ความเงียบเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เรากลับสู่ภายใน และเกิดสำนึกปรารถนาสันติ
ความเงียบคือการกลับสู่ธรรมชาติดั้งเดิม กลับสู่ความจริง

ในโลกปัจจุบัน
เราแต่ละคนยังเป็นปัจเจกชนที่ปรารถนาสิ่งเร้า และสั่นไหวไปตามสิ่งที่มาเร้า ในขณะที่สภาพแวดล้อมยังเต็มไปด้วยสรรพเสียง ซึ่งบางครั้งก็มากถึงขั้นมลภาวะ ชีวิตที่ดำเนินไปทำให้เราต้องพบกับเสียงมากมายในแต่ละวัน บ้างดัง บ้างเบา บ้างหยาบ บ้างไพเราะ ทั้งเสียงที่น่าพึงพอใจ ที่ไม่น่าพึงพอใจ และที่ไม่ทำให้รู้สึกอะไร แต่เราแทบไม่พบกับความเงียบเลย

บางคนคิดว่าความเงียบคือหายนะ เขาไม่อาจอยู่กับความเงียบได้แม้หนึ่งอึดใจและต้องดิ้นรนหาสรรพเสียงอยู่ตลอดเวลา เมื่อใจเขาไม่ปรารถนาความสงบ ก็ยากที่จะได้พบกับความสุขที่แท้

ความสนุกจากสรรพเสียง กับความสุขจากความเงียบมิใช่สิ่งเดียวกัน สุนทรียะจากการรังสรรค์ของมนุษย์คือความสนุก แต่สุนทรียะจากความสงบ คือความสุขที่ดี่มด่ำล้ำลึกกว่า

เมื่อได้มีประสบการณ์ถึงความเงียบยาวนานถึงสิบวัน ก็คงไม่แปลกที่ผมจะคิดถึงมัน
ถ้ามีใครสักคนบอกผมว่า “สวรรค์ คือสถานที่ที่เต็มไปด้วยความเงียบ” ผมคิดว่า ผมอาจจะเชื่อเขา

บล็อกของ ฐาปนา

ฐาปนา
“...ที่สุดแล้ว ปัญหาการเมืองรวมถึงปัญหาส่วนตัวทุกเรื่อง เมื่อสืบเสาะลงไปให้ลึกที่สุดจะพบว่า เป็นปัญหาทางจิตวิญญาณทั้งนั้น ทุกชีวิตเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ ฉะนั้นปัญหาทุกอย่างของชีวิตจึงมีต้นตอมาจากจิตวิญญาณและจะแก้ไขได้ด้วยวิธีทางจิตวิญญาณ สงครามเกิดขึ้นเพราะใครบางคนมีสิ่งที่อีกคนอยากได้ นี่คือสิ่งที่ทำให้คนบางคนทำสิ่งที่อีกคนไม่อยากให้ทำความขัดแย้งทุกชนิดเกิดจากการวางความปรารถนาไว้ผิดที่สินติเดียวที่จะยั่งยืนได้ในโลกหล้าคือศานติภายในให้แต่ละคนค้นพบสันติในใจตน เมื่อนั้นเธอจะพบว่า เธอไม่ต้องพึ่งพาอะไรอีก...”(สนทนากับพระเจ้าเล่ม 2 หน้า 204)
ฐาปนา
เมื่อครั้งยังเด็ก ผมเคยเชื่อว่า มนุษย์ทุกคนมีชะตากรรมที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ทุกๆ อย่างถูกกำหนดไว้หมดแล้ว ทุกๆ อย่างถูกลิขิตไว้หมดแล้ว ตั้งแต่เกิดจนตาย พอเติบโตขึ้น ความเชื่อเรื่องชะตากรรมก็เปลี่ยนไป ผมเชื่อว่ามีแค่สามสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้วและเราไม่อาจล่วงรู้ได้ นั่นคือ การเกิด คู่ครอง และการตาย ไม่นานมานี้ ผมมองชะตากรรมอีกแบบหนึ่ง ผมคิดว่า ชะตากรรม คือ สิ่งที่เข้ามาสู่ชีวิตเพื่อให้เราเลือก ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม และมันจะส่งผลต่อเรา เราจะเรียนรู้และเติบโตจากมัน เราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองไปจากมุมมองที่เรามีต่อมัน ลองย้อนมองกลับไปถึงอดีตของเราแต่ละคน สิ่งที่เราเลือก เสมือนจุดๆ หนึ่ง…
ฐาปนา
ต้นเดือนกุมภาพันธ์ลมหนาวคลายความยะเยือกลง เหลือเพียงลมเย็นโชยเฉื่อย เจือกลิ่นหอมของไม้เมืองหนาวหลายชนิดที่ยังคงผลิดอกแม้ฤดูหนาวสิ้นสุด แล้วเมืองเชียงใหม่ก็เข้าสู่ช่วงเวลาพิเศษของคนหนุ่มสาวอีกครั้ง“วันแห่งความรัก” (Valentines Day) ที่ใครหลายคนรอคอยอันที่จริง แม้จะเรียกกันว่า วัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป บริบทของสังคมเปลี่ยนไป ด้วยอานุภาพแห่งความรักและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความรัก จึงไม่อาจจำกัดให้วันแห่งความรักอยู่แค่เพียง วันที่ 14 ของเดือนกุมภาพันธ์เท่านั้น วันแห่งความรักได้ขยายช่วงเวลาเป็น สัปดาห์แห่งความรัก จนกระทั่งเป็น เดือนแห่งความรัก ในที่สุด นอกจากบรรยากาศแห่งความรัก…
ฐาปนา
ไม่ทราบว่าใครเป็นเหมือนผมบ้างหลังจากข้าวของพาเหรดกันขึ้นราคา แต่รายได้มันไม่ได้ขึ้นตามไปด้วย ทำให้ต้องปรับตัวทุกทางเพื่อเอาชีวิตรอดให้ได้ถีงขั้นต้องใช้คำว่า “เพื่อเอาชีวิตรอดให้ได้” นั่นละครับเพราะรายได้ที่ไม่แน่นอน ไม่มากมาย บวกกับสภาพหนี้ทั้งงานราษฎร์งานหลวง จากที่เคยตามใจปากตามใจตัวได้บ้างก็ต้องกลายมาเป็น “งด” แทบจะทุกรายการ จะกินขนมสักสิบยี่สิบบาทก็เปลี่ยนไปเป็นอาหารญี่ปุ่นสำหรับคนจน (บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป) ดีกว่านี่ก็แว่วว่า บะหมี่ซองเหล่านี้จะขึ้นราคากันแล้วเราคงต้องไปหาดินอร่อยๆ กินกันแทนข้าวแล้วกระมัง ก่อนที่ดินอร่อยๆ จะได้รับความนิยมขึ้นมา แล้วดินก็จะขึ้นราคาอีก
ฐาปนา
“...ยังไม่เคยเห็นธนาคารไหนในโลกให้ดอกเบี้ยร้อยเปอร์เซนต์ ฝากพันให้พัน ฝากหมื่นให้หมื่น ฝากล้านให้ล้าน ไม่เคยเห็น แต่ธรรมชาติจะให้มากกว่านั้นแทบทุกเรื่อง ถ้าเราฝากธรรมชาติ อย่างเช่น ถ้าเราเอาเงินสิบบาทไปฝากธนาคาร ถ้าเขาให้ดอกร้อยเปอร์เซนต์ สิ้นปีก็ได้สิบบาท รวมที่ฝากเป็นยี่สิบบาท คือสูงสุดแล้ว แต่ถ้าฝากธรรมชาติ ก็เหมือนฝากให้คนอื่นทำงาน สมมติต้นกล้วยห้าบาท ค่าปลูกกล้วยอีกห้าบาท รวมเป็นต้นทุนสิบบาท พอสิ้นปีได้ปลีกล้วยมาอันหนึ่ง เครือกล้วยอีกเครือหนึ่ง หน่อกล้วยอีกสองหน่อ อันนี้ไม่รู้ราคาเท่าไรแล้ว ถามว่ามันได้ร้อยเปอร์เซนต์ หรือกี่ร้อยเปอร์เซนต์…
ฐาปนา
กิจกรรมส่วนที่สองของโครงการ one year # 2 ของมูลนิธิที่นา ที่ผมเข้าร่วม คือกิจกรรมเรื่องเกษตรกรรมธรรมชาติ เริ่มต้นด้วยการประชุมแนะนำโครงการและให้ผู้เข้าร่วมโครงการแต่ละคนวาดรูปพืช ที่ตนเองอยากปลูก หรือ สัตว์ที่ตนเองอยากเลี้ยง ซึ่งในช่วงเวลาสามเดือนของกิจกรรมส่วนที่สองนี้ ทุกคนจะต้องดูแลสิ่งมีชีวิตของตนเองสองวันต่อมา เราเดินทางไปชมการทำเกษตรกรรมอินทรีย์และการดูแลสุขภาพวิถีไทที่ “สวนสายลมจอย” อำเภอสันกำแพง พื้นที่ไม่ถึงสิบไร่แห่งนี้ ถูกปรับเปลี่ยนจากพื้นที่นามาเป็นร่องสวน และบ่อเลี้ยงปลา, เต็มไปด้วยมะพร้าว พืชผล พืชผัก และสมุนไพรนานาชนิดจากการทำนาทำสวนที่ใช้สารเคมีในอดีต…
ฐาปนา
หวังให้ประเทศเล็กที่มีพลเมืองน้อยมีอาหารพอที่จะเลี้ยงดูพลเมืองมากกว่าที่เขาต้องการถึงสิบเท่าร้อยเท่าให้ประชาชนเห็นคุณค่าของชีวิตและไม่ท่องเที่ยวพเนจรไปไกลถึงแม้จะมีพาหนะเรือและรถก็ไม่มีใครปรารถนาจะขับขี่ถึงแม้จะมีเกราะและอาวุธก็ไม่มีโอกาสจะใช้ให้กลับไปใช้การจดจำเรื่องราวด้วยการผูกเงื่อนแทนการเขียนหนังสือให้เขานึกว่าอาหารพื้นๆนั้นโอชะเสื้อผ้าอันสามัญนั้นสวยงามบ้านเรือนธรรมดานั้นสุขสบายประเพณีวิถีชีวิตนั้นน่าชื่นชมในระหว่างเพื่อนบ้านต่างเอาใจใส่ซึ่งกันและกันจนอาจได้ยินเสียงไก่ขันสุนัขเห่าจากข้างบ้านและตราบจนวันสุดท้ายของชีวิตจะไม่มีใครได้เคยออกไปนอกประเทศของตนเลย(บทที่ 80 ประเทศในฝัน,…
ฐาปนา
หากให้ลองย้อนคิดดูว่า ในหนึ่งวันที่ผ่านไปเราได้ทำอะไรไปบ้าง คงไม่ใช่เรื่องยากเกินไปที่จะระบุให้ครบถ้วน เพราะการกระทำเป็นรูปธรรม มีผลลัพธ์ชัดเจน มีร่องรอยที่ติตตามได้แต่หากให้ลองย้อนคิดดูว่า ในหนึ่งวันที่ผ่านไป เราได้ "พูด" อะไรไปบ้าง ต้องไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ เว้นเสียแต่ว่า วันนั้นเราจะพูดน้อยจนนับคำได้คำพูด คือความคิดที่แสดงออกเพื่อสื่อสาร ซึ่งเนื้อแท้ของสิ่งที่ต้องการสื่อสารนั้นก็คือ ความรู้สึก ความรู้สึกคือภาษาของวิญญาณ เป็นหัวใจเป็นแก่นแกนกลางของการสื่อสารทุกชนิด แต่เราก็มักจะหลงลืมหัวใจของการสื่อสารนี้ไป และไปให้ค่ากับคำพูดเสียมากกว่าฉะนั้น หากเปลี่ยนคำถามเสียใหม่ว่า ในหนึ่งวันที่ผ่านไป…
ฐาปนา
 ผมเพิ่งจะไปเที่ยววัดพระธาตุดอยสุเทพมาครับ หลังจากไม่ได้ไปมาเป็นเวลาร่วมสิบปี  ครั้งสุดท้ายที่ขึ้นไปคือตอนที่เรียนมหาวิทยาลัย พอย้ายมาอยู่ทางเหนือก็ไม่ได้โอกาสเสียที มาสบโอกาสเอาก็ตอนลมหนาวเริ่มมาเยือนนี่เอง ขับมอเตอร์ไซต์ขึ้นดอยตอนเช้า อากาศเย็นสบาย ใช้เวลาสัก 20-30 นาทีเท่านั้นวัดพระธาตุดอยสุเทพเป็นสถานที่อันดับแรกที่ใครต่อใครที่มาเชียงใหม่จะต้องมาเยือนมาชม มากราบไหว้ เพื่อเป็นศิริมงคลแก่ตนเอง ที่นี่จึงเต็มไปด้วยผู้คนมากมายตลอดเวลา ยิ่งในช่วงฤดูหนาวซึ่งเป็นฤดูท่องเที่ยว ดูเหมือนว่า ดอยสุเทพคือสถานที่แรกที่ทุกคนต้องมา…
ฐาปนา
คืนหนึ่งผมฝันถึงสถานที่หนึ่งซึ่งผมไม่เคยคาดคิดว่าจะฝันถึงสถานที่แห่งนั้นเป็นทางเดินที่ทอดยาว เชื่อมระหว่างอาคารหนึ่งไปสู่อาคารหนึ่งผมเดินไปตามทางนั้นด้วยความรู้สึกประหลาด ประหลาดเพราะรู้ว่านี่คือความฝัน แต่ทั้งรู้ว่าฝันผมกลับตื่นตื่นโพลงอยู่ในความฝัน ผมเดินไปตามทางด้วยความตื่นโพลง และรู้สึกราวกับกำลังเดินอยู่ในภาพวาดซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างหยุดนิ่ง แม้แต่ใบไม้แห้งก็แทบจะไม่ไหวติง ผมรู้จักสถานที่แห่งนั้นดี มันคือทางเดินเชื่อมระหว่างอาคารพักอาศัยไปยังอาคารปฏิบัติรวมของศูนย์วิปัสสนาธรรมอาภา สถานที่ที่ผมไปอบรมวิปัสสนาเป็นเวลาสิบวันผมพยายามหาเหตุผลว่า ทำไมผมจึงฝันถึงสถานที่แห่งนั้น…
ฐาปนา
หากได้รับตั๋วเครื่องบินไป-กลับยุโรป พร้อมเงินติดกระเป๋าไปเที่ยวฟรีๆ 10 วัน เป็นใครย่อมไม่รอช้า ทั้งพร้อมจะเลื่อน – ลา – หยุด ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อไป มันคงเป็นประสบการณ์ครั้งสำคัญในชีวิตที่น้อยคนจะมีโอกาส แต่ด้วยเงื่อนไขเดียวกันนี้ หากเปลี่ยนจากไปเที่ยวยุโรป 10 วัน เป็นการไป ‘วิปัสสนา’ 10 วันแทน หลายคนคงต้องคิดหนัก เราหมายใจจะท่องเที่ยวไปให้ทั่วประเทศ ทั่วทวีป ทั่วโลก จากทะเลลึกถึงภูเขาที่สูงที่สุด จากมหานครสู่ป่าดิบ จากกลางตลาดที่คราคร่ำด้วยผู้คนสู่ทะเลทรายเวิ้งว้าง แต่เรากลับไม่สนใจที่จะท่องเที่ยวสำรวจ ‘จิต’ ของเราเอง ... แปลกมั้ย ?ในฐานะชาวพุทธ ไม่ว่าจะกล่าวด้วยความภาคภูมิ…
ฐาปนา
ผมสมัครเข้าร่วมโครงการหนึ่งปี “ชุมชนทดลอง # 2” ของมูลนิธิที่นา [1] ด้วยความไม่รู้ กล่าวคือ ไม่รู้เรื่องวิปัสสนา ไม่รู้เรื่องศิลปะ และไม่รู้เรื่องเกษตรกรรมธรรมชาติ  ความไม่รู้นี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพราะถ้ารู้แล้วคงไม่ต้องมาเมื่อได้คุยกับทีมงานหลายท่านก่อนเริ่มโครงการ ก็ได้รับความห่วงใยเกรงว่า ผู้เข้าร่วมโครงการจะคาดหวังมากเกินไป เนื่องจาก the land ไม่ใช่ utopia ซึ่งผมก็เข้าใจ ขณะเดียวกันผมเองก็ห่วงใยเกรงว่า ทีมงานจะคาดหวังกับผู้เข้าร่วมโครงการมากเกินไปเช่นเดียวกันเพราะในความต่างของปัจเจกที่มาอยู่ร่วมกันภายใต้เงื่อนไขหลวมๆ นี้ หากผู้เข้าร่วมไม่มีความชัดเจนในจุดประสงค์ของตนเอง…