อยู่อย่างเรียบง่าย ตายอย่างสงบ
มนุษย์เกิดมาแล้วต้องแก่เจ็บตายเป็นสิ่งปกติธรรมดา
การที่ทุกคนเกิดมาแล้ว ก็ย่อมปรารถนาที่จะพบกับความสุขสมหวัง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว ครอบครัว ความรัก การงาน ฯลฯ
และย่อมต้องการให้สิ่งที่เป็นความสุขนั้นเกิดขึ้นอยู่เสมอๆ
แต่การใช้ชีวิตของคนเราทุกวันนี้
ไม่ได้ง่ายอย่างที่คาดคิดไว้
เพราะมันมีความซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงาน ผู้คน และสังคมที่แปรเปลี่ยน
ยิ่งในยุคสมัยโลกาภิวัตน์สะบัดช่อเช่นนี้แล้ว
การใช้ชีวิตที่เรียบง่ายย่อมเป็นความท้าทายยิ่งนัก
สังคมที่เจริญก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว
ทว่าจิตใจของคนกลับไม่ได้พัฒนาไปไหนเลย
ความแก่งแย่งชิงดี ความอิจฉาริษยา ความโกรธ เกลียด ยังปรากฏ
น้อยนักที่จะพบเห็นความเมตตา กรุณา ไมตรีจิตต่อผู้คนที่มีให้กัน
ยิ่งโลกพัฒนาก้าวกระโดดไปมากเท่าไหร่
ความเรียบง่ายของชีวิตก็เป็นเรื่องห่างไกลมากเท่านั้น
ไม่แปลกที่พอถึงจุดหนึ่ง ผู้คนในเมืองใหญ่จะหันหน้าไปต่างจังหวัด
ไปอยู่กับธรรมชาติ ความสงบวิเวก ความเรียบง่าย ไม่วุ่นวายซับซ้อน
ไปใช้ชีวิตให้ช้าลง อยู่กับตัวเองให้มากขึ้น
นั้นเพราะว่า ท้ายที่สุดแล้ว ทุกชีวิตก็ล้วนปรารถนาความสงบวิเวก
ที่เป็นดังการเติมเต็มให้กับจิตวิญญาณแห่งอิสรภาพอย่างแท้จริง
ไม่เว้นแม้แต่พระภิกษุที่บวชแล้วเข้าป่าเขาลำเนาไพร
ไปอยู่ห่างไกลผู้คน ปลีกวิเวกไปแสวงหาความจริงของชีวิต
ความสุขสงบจากกระแสโลกอันแปรปรวน
เพราะในท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพร มีสิ่งที่กระตุ้นความปรุงแต่งน้อยกว่าในเมือง
การที่เข้าป่าไปเจริญธรรมะ พิจารณาจิตใจ ค้นหาความหมายของสัจธรรม
จึงมีส่วนช่วยและอื่นให้เกิดความเข้าใจความจริงของชีวิตอย่างสุดซึ้ง
ที่กล่าวมาก็ควรที่เราจะตั้งคำถามต่อตนเอง
ว่าเมื่อต้องตายจากโลกนี้ไป จะถือเอาความสงบไปเป็นคตินิมิตได้อย่างไร?
นั่นคือการอยู่อย่างเรียบง่ายและเตรียมตัวตายอย่างสงบ
ดังเช่นการจากไปของ หลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ
หลวงพ่อคำเขียน ท่านทำให้เห็นมาโดยตลอดว่า
"จิตที่ฝึกดีแล้ว ประเสริฐเช่นไร"
การที่ท่านบำเพ็ญเพียรในสมถะสารูปมาตลอดระยะเวลาทั้งชีวิต
เป็นสิ่งที่สอนให้พวกเราได้ประจักษ์แก่การนำธรรมะมาฝึกตน
สอนให้รู้สึกตัว ไม่มัวเพลินไปกับความโลภ โกรธ หลง
และท่านยังสอนให้พวกเราเห็นว่า
การมีชีวิตอยู่ที่เรียบง่าย เป็นอย่างไร?
และเมื่อต้องตายไป จะต้องเตรียมตัวอย่างไร?
นั้นคือสัจธรรมความจริง ที่ท่านได้บอกเห็นฟัง ทำให้เห็น เย็นให้สัมผัสมาโดยตลอด
ผ่านหน้าที่ผู้เป็นพระวิปัสสนาจารย์ผู้สั่งสอนธรรมะที่มีเมตตาเปี่ยมล้น
ท่านยังเน้นย้ำก่อนสิ้นว่า "ให้จัดงานศพอย่างพระที่จน อย่าฟุ่มเฟือย"
และเมตตา กล่าวเตือนสติลูกศิษย์ว่า
"ให้ใช้สติปัญญาในชีวิต มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่เสมอ
พวกเราทุกคนสามารถเข้าถึงที่สุดแห่งกองทุกข์ได้จริง"
ดังนั้น
เราควรน้อมนำเรื่องราวต่างๆ ของท่านมาสอนตัวเองว่า
ไม่ว่าใครเกิดมาทุกคนก็ต้องตายจากโลกนี้ไป
และเราจะเตรียมตัวตายอย่างไร เมื่อวันหนึ่งมาถึง?
น่าเสียดายที่ใช้ชีวิตโดยหายใจทิ้งไปเฉยๆ
ไม่ใส่ใจ ไม่สนใจ ดูแลตัวเอง
ไม่ศึกษากายใจของตน
ไม่ใช่มัวหลงไหลไปกับอารมณ์คิดนึกปรุงแต่ง
ไม่ใช่หลงไหลไปกับกระแสความเจริญของสังคมโลกาภิวัฒน์
วันคืนล่วงไป เรามัวทำอะไรกันอยู่?
เหตุนั้น จึงควรแก่การพิจารณาอย่างยิ่งว่าจะใช้ชีวิตกันอย่างไร
ให้อยู่อย่างเรียบง่ายและตายอย่างสงบจริงๆ ?
เพราะชีวิตคือความไม่แน่นอน....