Skip to main content

“พี่ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ใครจะฟ้องร้องเอาอะไร ก็ไม่มีให้เขา มันเสียไปหมดแล้ว”

รถโดยสารของความอึดอัดกำลังเคลื่อนขบวน โดยมีเราอยู่ในนั้น ฉัน และเขา “ผู้เช่าบ้าน” และ “ผู้ให้เช่า” ตามภาษาในเอกสารสัญญาของเรา กำลังยืนอยู่ตรงหน้ากัน  ด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไปจากเดิมที่เคยเป็น และอย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อน

..........

จำได้ว่าเมื่อ 1 ปีก่อน ตอนที่ฉันพบเขาครั้งแรก เขาไขกุญแจรั้วบ้านหลังหนึ่งซึ่งมีป้ายติดประกาศว่า “ให้เช่า” ด้วยท่าทีอ่อนโยน ดวงตาเป็นประกาย พาฉันเดินเยี่ยมชมอย่างต้อนรับขับสู้ ริมฝีปากนั้นไม่เคยขาดรอยยิ้ม เขาเล่าว่า ทาวเฮาส์หลังนี้ซื้อไว้เมื่อ 10 ปีก่อนเพื่อให้แม่อาศัย ส่วนเขาซื้ออีกหลังหนึ่งในหมู่บ้านเดียวกัน

“บ้านหลังนี้พี่อยู่กับแม่ จนพี่ตั้งท้อง ก็อาศัยอยู่มาตลอด ซอยนี้เงียบสงบ เหมาะที่จะทำงานส่วนตัว พี่รักบ้านหลังนี้มาก ไม่เคยคิดจะขาย เมื่อไม่มีใครอยู่ ก็คิดว่าให้คนเช่าดีกว่า”

ฉันมองไปยังห้องน้ำ ห้องครัว มุมนั่งเล่น จินตนาการเจิดจ้าว่าจะตกแต่งส่วนไหนเป็นอย่างไร ประตูกระจกเลื่อนได้ มีฟิล์มกรองแสงแล้ว ห้องน้ำแม้จะไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น แต่ห้องนอนก็ดูกว้างขวางดี

“เอาเป็นว่าตกลงเช่าค่ะ” ฉันบอกเขาไปด้วยแววตาดีใจ ได้บ้านถูกใจเสียที ส่วนเขาเอื้อมมือมาแตะไหล่เบาๆ
“พี่รู้แล้วว่าต้องตกลง พี่ถูกชะตาเรานะ เหมือนพระเจ้าส่งเรามาให้ เพราะท่าทางเป็นคนรักบ้านเหมือนพี่”

คนพเนจรอย่างฉัน แม้จะยังไม่มีบ้านของตัวเอง แต่ก็ยังเป็นคนเลือกมาก ปีที่แล้วฉันตระเวนดูบ้านไม่น้อยกว่า 20 แห่ง เพื่อหา “พื้นที่” ที่ดีที่สุดในการใช้ชีวิตและการทำงาน

ใครๆ มักถามว่าทำไมยังไม่ซื้อบ้าน นั่นสินะ ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน การมีบ้านเป็นความฝันสูงสุด แต่การ “ยังไม่มี” ในเวลาหนึ่งก็ยังไม่ควรจะเป็นทุกข์ การซื้อบ้านสำหรับฉันเป็นเรื่องใหญ่ ที่บางครั้งมีเหตุผลอันน้อยนิดเพียงแค่ว่า ฉันยังไม่รู้ว่าจะอยู่ที่นี่ไปตลอดหรือเปล่า และอีกหลายๆ เหตุผลตามมา

การเป็นคนเช่าบ้าน จึงให้ประสบการณ์หลายอย่างในชีวิตว่า แม้บ้านจะไม่ใช่ของเรา แต่เราอาศัยอยู่ทุกวัน เราจึงควรทำบ้านให้สะอาด น่ารัก น่าอยู่ และรักมันในฐานะที่พักพิงของเรา

ฉันเชื่อแบบนั้น ไม่เคยคิดมากกับการปลูกต้นไม้ลงที่บ้านคนอื่น สักวันต้องไป ก็มอบของขวัญไว้แก่ผืนดิน ทาสีบ้านใหม่ให้สวย เราจะได้อยู่สบายใจ ตรงไหนชำรุดก็ต้องซ่อมแซม ฉันทำแบบนั้นตั้งแต่วันที่ย้ายเข้ามา และคิดเสียว่า ทำบ้านไปให้ดีจะได้อยู่นานๆ
อาจนานจนกระทั่งจากจร หรือ นานจนกว่ามีบ้านของตัวเองสักหลัง

บังอาจฝันเอาไว้แบบนั้น  แล้วก็พบกับความจริงที่ว่า ผ่านไปยังไม่ถึง 1 ปี ขณะที่นั่งทำงานอยู่ดีๆ อย่างมีความสุข ฉันก็ต้องกลับไปเป็นคนพเนจรอีกครั้ง

“คุณอยู่บ้านหลังนี้ได้อย่างไรเหรอ” คนแปลกหน้าในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาด ตะโกนเข้ามาจากหน้าบ้าน ฉันออกไปดู เจ้าหน้าที่สามคน ยืนถือเอกสารมากมาย กล้องถ่ายรูป พร้อมรถคันใหญ่ ยืนรอเจรจาอยู่ด้านนอก

ฉันงงกับคำถาม เปิดประตูให้เขา แล้วก็ยืนตอบออกไป “เอ่อ ก็เช่าอยู่อ่ะค่ะ”
“แล้วเช่ากับใคร”
เขาทำเสียงเข้ม สลับกับมองเอกสารในมือ
“ก็เช่ากับเจ้าของค่ะ เขาอยู่ซอยถัดไปนี่เอง” มือก็ชี้นิ้วออกไป เขาทำคิ้วย่น แล้วก็ขอเบอร์โทรศัพท์เจ้าของบ้าน

อีกคนขอตัวไปคุย อีกคนก้าวเข้ามาสำรวจ อีกคนถ่ายรูปหน้าบ้านฉันเอาไว้ ก่อนจะหันมาอธิบาย
“น้อง บ้านหลังนี้ไม่มีสิทธิจะมาเช่าหรืออยู่นะ ธนาคารยึดไว้ตั้งนานแล้ว เป็นทรัพย์สินของธนาคาร น้องคงต้องย้ายออกไป”
“อ้าว ก็นี่เช่ากับเขา ทำสัญญาเรียบร้อยค่ะ”
“นั่นสิ ถึงได้ถามว่าเข้ามาอยู่ได้ยังไง ตอนนี้ธนาคารจัดงานแกรนเซลล์ขายทอดตลาดนะ เดี๋ยวคงมีคนมาดูเรื่อยๆ พี่เคยติดป้ายไว้แล้ว แต่มีคนรื้อออก ตอนนี้จะมาติดใหม่”

ฉันนิ่งอึ้งไป เขาขออนุญาตประทับป้ายสีเหลืองขนาดใหญ่ ที่มีตัวโตๆ เขียนไว้ว่า “ขาย” แปะที่รั้วสีขาวหน้าทางเข้า ต้นจำปีในกระถางถูกเขยิบออก สองสามแรงช่วยกัน โดยมีฉันยืนมองอย่างไม่รู้จะทำตัวอย่างไร

“เรียบร้อยละ อย่าเอาป้ายออกนะ พี่คุยกับคนที่ให้น้องเช่าแล้ว เขาไม่มีสิทธิที่จะให้ใครเช่า เขาไม่ใช่เจ้าของบ้าน นี่จ่ายเงินไปบ้างหรือยัง”
“จ่ายตลอดค่ะ ทุกเดือน ทำสัญญารายปี”
ฉันตอบ
“สัญญาพวกนี้ใช้อะไรไม่ได้นะในทางกฎหมาย ถือเป็นโมฆะ เพราะผู้ทำสัญญากับน้องเขาไม่มีกรรมสิทธิ์อยู่ จะว่าไปก็เป็นสัญญาปลอม และยังผิดกฎหมายอีกด้วยเพราะเอาทรัพย์สินผู้อื่นมาให้เช่า”
เขาอธิบายได้ชัดเจนดี จากนั้นก็ขอตัวอำลาพร้อมให้นามบัตรเอาไว้

“เผื่ออยากซื้อติดต่อได้เลยนะครับ ราคาพิเศษ”
เขาว่าแบบนั้น  ฉันรับเอาไว้พร้อมถอนหายใจ เกิดอะไรขึ้นหรือนี่ จะมีใครอธิบายได้บ้าง ก็คงจะต้องเป็นเขา พี่เจ้าของบ้านคนนั้น

ทันที่ที่เราเจอกัน  เจ้าของบ้านถอนหายใจเล็กน้อย เหมือนพิจารณาวันคืนที่ผ่านมาของตัวเอง เขาไม่มีรอยยิ้มเหมือนเดิมแล้ว ไม่มีคำขอโทษ และราวกับไม่มีความเสียใจ
“อย่าไปตกใจนะน้อง อยู่ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องไปกลัวหรอก พวกธนาคารน่ะ”
“เอ่อ แต่มันเป็นทรัพย์ของเขานี่คะ คงจะขายวันไหนก็ได้ หากอยู่ต่อมันก็คงจะเสี่ยง”

ฉันค่อยๆ เริ่มเล่าความคิดในมุมของฉัน เขาส่ายหน้าไม่เห็นด้วย

“โอ้ย อยู่ไปเหอะ ร้อยวันพันปีขายไม่ได้หรอก บ้านแถวนี้โทรมจะตาย ปลวกก็มีเยอะ ใครจะมาซื้อ อยู่ไปเรื่อยๆ ได้เลย อีก 10 ปี” ในมุมของเขาก็สวนกลับมา
“ดูแล้วก็คงจะจริง น่าจะขายยาก แต่คิดว่าคงจะย้ายค่ะ เพราะรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง”
ฉันพูดออกไป เขาชะงักไปเล็กน้อย แววตานั้นแสดงความเฉยเมยและแปลกหน้าต่อกันอย่างเห็นได้ชัด เขาถอนหายใจอีก

“พี่จะบอกอะไรให้นะ พูดอย่างน่าไม่อายเลย บ้านที่พี่อยู่อีกหลัง นั่นก็โดนยึดแล้วเหมือนกันแต่เราไม่ไปเสียอย่าง ใครจะทำอะไรเราได้”
“แล้วไม่มีปัญหากับธนาคารเหรอคะ”
ฉันถามอย่างฉงน อดสงสัยไม่ได้

“ก็มีแหละ เขาก็ฟ้องนะ ส่งหมายศาลอะไรมา เราก็ไป อยากยึดไปก็ยึด ยึดไปจนไม่มีอะไรให้ยึดแล้ว เขาก็เลิกไปเอง บอกจะขายบ้านก็ไม่เห็นใครมาซื้อซะที เราก็อยู่ไปเรื่อยๆ”
เขาพูดราวกับเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ ฉันจ้องลึกไปในดวงตาเขา ชีวิตในอดีตเขาเป็นอย่างไรก็สุดคาดเดาได้ เราเพิ่งรู้จักกัน ดวงหน้าที่มีริ้วรอยความสวยงาม ภาษาที่ใช้ การแต่งตัวที่บอกให้เห็นว่าเขาน่าจะเคยมีชีวิตที่ดีกว่านี้ มีอะไรเปลี่ยนไปในชีวิตคนเรามากมาย แต่ท้ายที่สุด เราก็รู้จักเพียงแค่ปัจจุบันของเขา

“เขาไม่มาไล่เหรอคะ” ฉันถามออกไป

“ไล่สิ ก็มาบอกแบบบอกน้องไง ว่าให้ย้ายออก เนี่ยหลังอื่นๆ ก็ชะตากรรมเดียวกัน บางคนทนไม่ไหวก็ย้ายออกไปเอง แต่พี่เป็นคนที่ยืนหยัด เราไม่กลัว เรายืนหยัดแล้วเราก็จะอยู่ได้”

ฉันรู้สึกว่า ฉันไม่เคยรู้จักเขามาก่อน 1 ปีที่ไปมาหาสู่ ช่วยสอนคอมพิวเตอร์ ช่วยซ่อมแซมของเสียหาย อาหารที่แบ่งปันกันกิน เขามีความลับมากมายที่เก็บซ่อนเอาไว้ แม้กระทั่งคำว่า “พี่รักบ้านนี้มาก” ก็ยังไม่จางออกจากปาก ฉันยืนอยู่ตรงนั้น หน้าบ้านที่ไม่ใช่ของฉันและไม่ใช่ของเขา กลิ่นดินกระทบฝนบอกลาเอาไว้แล้วอย่างเงียบๆ

ลาจากทั้งเขา และลาจากทั้งบ้านหลังนี้

“พี่น่าจะบอกกันสักคำ คือจะได้รู้ตัวว่าอยู่ได้ไม่นาน ไม่ได้เตรียมใจจะย้ายเลย เรื่องโทรศัพท์ อินเตอร์เน็ตที่จะต้องย้าย ข้าวของมากมาย คงใช้เวลาอยู่เหมือนกัน”
ฉันรำพึงออกมาตามแบบของฉัน เสียงที่ตอบกลับมาก็เป็นอีกเสียงในแบบของเขา
“ถึงได้บอกไงว่าไม่ต้องย้าย อยู่ไปแหละนะ เดี๋ยวพี่จะเอาป้ายออก”

และเขาก็ทำอย่างนั้นจริงๆ เขาขยับป้ายออกไป ซุกซ่อนเอาไว้หลังต้นไม้ ให้ดูคลุมเครือและมองเห็นได้ยาก

“ตกลงจะเอายังไง” เขาถามฉันอีกครั้ง ราวกับฉันเป็นคนเดียวที่ต้องตัดสินใจ
“ก็คงจะย้ายค่ะ” ฉันตอบไปอย่างชัดเจน วูบนั้นฉันเห็นเขาส่ายหน้า ตามด้วยถอนหายใจ
“ก็ไม่เป็นไรนะ พี่เข้าใจ คนกลัวน่ะอยู่ไม่ได้หรอก พี่จะอยู่ต่อไป ให้เช่าต่อไป ใครจะมาฟ้องมาอะไรก็เชิญ พี่ไม่มีอะไรจะเสียหรอก”

..........

แดดยามบ่ายไม่มี ลมไม่พัด ใบไม้ไม่เคลื่อนไหว ฝนกำลังจะตก ยามบ่ายของทุกวันที่ฉันจะนั่งมองต้นไม้พร้อมจิบชา จากนี้ไปก็คงไม่ได้ทำแบบนั้นที่นี่ การมองหาบ้านใหม่อีกครั้ง การเตรียมตัวเพื่อจัดการสิ่งต่างๆ อย่างที่ต้องทำ แต่ก็คงไม่เป็นไร ไม่มีอะไรหนักหนาหรอกก็แค่การย้ายบ้าน

สิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจของฉันวันนี้ ไม่ใช่เรื่องธุรกรรมเอกสาร ไม่ใช่การฉีกสัญญาหรือความรู้สึกที่โดนหลอก แต่แววตาคู่นั้น และสิ่งที่เขาพูดมาทั้งหมด ทำให้ฉันนึกถึงความลับของจักรวาลที่ว่าด้วยความซับซ้อนของมนุษย์

“ยามสุขนั้นมองกันไม่เห็น ยามมนุษย์ตกต่ำนั้นต่างหาก ที่จะวัดคุณค่าของตัวเขาได้มากที่สุด”

pic

pic

pic

pic

pic

pic

pic

pic

pic

pic

pic

pic

pic

pic

pic

บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
1.อากาศยามเช้าหนาวไอเย็นแผ่วเบา พัดมาจากภูเขาสูงผ่านทางไกล ใกล้รุ่งฝ่าหมอกคลุ้งสีเทา-เทา
วาดวลี
ฉันกับเพื่อนหย่อนก้นบนเก้าอี้ไม้ริมถนนของเมืองเชียงของ เราสั่งชานม ชามะนาว และกาแฟมากินให้สดชื่นหลังจากนั่งรถมาเป็นชั่วโมง มองดูผู้คนมาเยือนสวนทางกับเจ้าของท้องถิ่นไปมาในวันหยุด"เรากำลังจะไปที่ไหนต่อ"เพื่อนร่วมทางถามฉัน ฉันเหลือบมองเขา ไม่ตอบ แล้วคว้าหนังสืออ่านเล่นในร้านกาแฟมาเปิดอ่าน เราเพิ่งมาถึง แล้วจะไปไหน เธอถามแปลกจัง ฉันอยากตอบเล่นๆ ว่า เดี๋ยวจะพาเธอไปลงว่ายน้ำโขงเล่นก็แล้วกัน"เราต้องไปกินปลาบึกไหม?"เพื่อนถาม ฉันเกือบสำลักชามะนาว “เธออยากกินเหรอ”ฉันถามกลับ เขาทำหน้าไม่ถูก แต่แววตาลังเล “ก็มีคนบอกว่ามาเชียงของต้องกินปลาบึก”ฉันอมยิ้ม ฉันก็ได้ยินแบบนั้นเหมือนกัน แต่เท่าที่รู้…
วาดวลี
กระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่า กำลังถูกประทับด้วยตราปั๊มสีแดงเพื่อบอก “อนุญาต” ให้ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองไปยังพม่า ผู้คนจำนวนนับร้อยนับพัน ต่อแถวกันอยู่ที่ท่าขี้เหล็กในเขตแม่สายด้วยใบหน้ารอคอย ตั้งแต่ขั้นตอนการทำบัตร ชำระเงิน ตรวจเอกสาร จนกระทั่งพวกเขาจะได้ข้ามพ้นประตูด่านของเจ้าหน้าที่เมื่อนั้น ใบหน้าที่บึ้งตึงก็จะเปลี่ยนเป็น “โล่งอก”ฉันและเพื่อนยืนรออยู่ที่ทำบัตรเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ขณะที่เพื่อนกำลังวาดฝันว่าเขาจะซื้ออะไรบ้างจากฝั่งพม่า ไม่ทันที่จะอ้าปากพูดว่า “เกาะกันไว้นะเดี๋ยวหลง” เพราะคนเยอะขนาดจนมีประกาศหาคนตลอดเวลา ไม่ทันไรฉันก็ถูกดันจากคนข้างหลังให้ขยับเข้าไปข้างหน้า ทั้งที่แถวมันเต็มแล้ว…
วาดวลี
1ฤดูหนาวไม่ได้มาเยือนอย่างเงียบเชียบอีกแล้ว มันแสดงตัวตน ชัดเจน ผ่านอากาศ ต้นไม้ใบหญ้า รอยน้ำค้าง ประทับตรงนั้นตรงนี้  แม้กระทั่งบนขนตาของเธอ  หญิงวัยกลางคนที่ตื่นแต่เช้า ปั่นจักรยานไปตลาด กลับมาพร้อมกับข้าวของในมือที่มากจนจักรยานแทบเสียหลัก เธอจอดรถไว้ข้างๆ รั้ว หิ้วของ วางลง และยกมือเช็ดน้ำค้างบนขนตา2“หนาวมากไหม”เธอเอ่ยถามอย่างอาทร ฉันพยักหน้า อดคิดถึงแม่จริงๆ ของตัวเองไม่ได้ ฉันคงต้องใช้เวลาเป็นวันๆ หากจะคิดถึงฤดูหนาวและการอยู่ร่วมกัน  แค่คิดถึงการซุกตัวใน “ผ้าห่มขี้งา” ร่วมกับแม่ แค่นั้นก็เป็นสุขแล้ว หน้าหนาวพ่อจะให้ฉันนอนตรงกลาง เพื่อให้อุ่นมากพอ …
วาดวลี
1. ผืนดินปกคลุมไปด้วยต้นหญ้า และเป็นต้นหญ้าชนิดที่มีดอกสีขาว ฉันชะงักจอบเสียบที่เตรียมมา ด้วยความอาลัยอาวรณ์ต่อดอกหญ้าที่พากันบานสะพรั่งอวดสายลมหนาว ก็มันสวยขนาดนี้ ฉันจะขุด ตัดมันไปได้อย่างไรกันวางจอบลง แล้วนั่งยองๆ ฉันคว้ากล้องถ่ายรูปมาถ่ายเก็บเอาไว้ นอกจากดอกหญ้าที่บานเต็มที่แล้ว ยังมีต้นกล้าที่เพิ่งถือกำเนิด มันน่ารักดีจัง ฉันยิ้มให้กับต้นหญ้า แม้จะเคาะเขินคนข้างๆ อยู่บ้างที่ทำตัวอ่อนหัดแบบนี้ แต่เขาคงเข้าใจ คนโหยหาผืนดินอย่างฉัน“หญ้าก็คือหญ้า ถ้าไม่ตัดมันทิ้ง เราจะปลูกผักได้ยังไง”เธอช่วยเตือนสติ ฉันกลับมาโลกความจริง นั่นสินะ ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องถางมันทิ้ง “รกจะตาย” เธอว่า…
วาดวลี
ฤดูหนาวยามสาย แสงตะวันทอดผ่านเรือนร่างของผู้คนและตกกระทบเป็นผืนเงา อยู่ตรงนั้นตรงนี้บนถนน ชักชวนให้นักท่องเที่ยวบางคนอดไม่ได้ที่จะถ่ายรูปเงาตัวเองเอาไว้ดูเล่น ฉันเองก็เช่นกัน ย้ายระดับสายตาไปอยู่บนผืนดิน แสงเงาจากผู้คนมากมาย มุ่งหน้าไปยังพระธาตุดอยสุเทพ นักท่องเที่ยวกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย ยิ้มสรวลหยอกล้อ ขอถ่ายรูปคู่กับบันได ประตู ป้าย และร้านค้า ดูเหมือนจะมีแต่เสียงหัวเราะ ตื่นเต้นและความสุข ปนเปื้อนเศษเสี้ยวของความหงุดหงิดรำคาญเล็กน้อย รอยยิ้มกว้างๆ ปรากฏบนใบหน้าของแม่ค้าหลายคน เงินสดถูกเก็บเข้ากระเป๋า ถุงพลาสติกถูกดึงขึ้น ใส่ของ ดึงขึ้นและใส่ของ…
วาดวลี
“หนาวไหมครับ”ชายแปลกหน้าเอ่ยถาม ขณะหย่อนตัวลงนั่งบนแคร่ไม้ เราสองคนอยู่ในที่รกร้างว่างเปล่าของใครสักคนหนึ่ง ฉันอยากเรียกแบบนั้น ทั้งๆ ที่มันคือสถานีรถโดยสารที่จะเดินทางจากตัวเมืองลำปางไปยังแจ้ซ้อนขณะรถเข็นคันหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาหาเรา ฉันตอบผู้ชายคนนั้นสั้นๆว่า “หนาวนะ” เขาอมยิ้ม กระชับเสื้อให้แน่นขึ้นแล้วหยิบขวดน้ำขึ้นมาดื่ม ฉันไม่สนใจเขานัก เอาแต่ควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋า เพื่อจะหยิบมาดูนาฬิกาว่าตอนนี้คือกี่โมงแล้ว แต่ยังหาโทรศัพท์ไม่เจอ ก็เหลือบไปเห็นนาฬิกาขนาดใหญ่เกาะติดอยู่บนต้นไม้ ดูเหมือนจะเป็นต้นมะขาม มันสูงใหญ่ให้ร่มเงาเป็นอย่างดีแก่ท่ารถแห่งนี้…
วาดวลี
ท่ามกลางความมืดของผืนฟ้า  พระจันทร์ดวงกลมโตอวดแสงนวลอยู่บนนั้น แม้คืนนี้มองไม่เห็นดาว  แต่พระจันทร์คงไม่เหงา  ก็บนท้องฟ้า เต็มไปด้วยดวงไฟสีส้มนับร้อย นับพันดวง วาววับ จนไม่อาจนับจำนวนได้ โคมไฟ หรือ ว่าวไฟ ในเทศกาลลอยกระทง ต่างลอยขึ้นไปตามแรงลม และความร้อนจากเปลวไฟเล็กๆ ที่ห้อยอยู่ข้างท้าย แม้คนจุดจะมีทั้งชาวเมืองเชียงใหม่ หรือนักท่องเที่ยวจากเมืองอื่น แต่สิ่งที่ฉันได้รู้ในวันนี้ก็คือ สำหรับคนบางคนแล้ว ดาวสีส้มบางดวงนั้นขึ้นไปตามแรงศรัทธาและความเชื่อที่สั่งสมมาตลอดชีวิต“ได้เวลาจุดไฟกันแล้วนะ” ชายชราคนหนึ่งคนตะโกนบอกหลานชาย หลังจากเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้…
วาดวลี
“พ่อเคยคิดจะย้ายไปอยู่ที่อื่นไหม?”ฉันเคยเอ่ยถามชายชราไว้นานแล้ว ไม่จริงจังในคำพูด และไม่มีประเด็นอะไรมากนัก ฉันเพียงแต่อยากรู้ว่าเขาคิดอย่างไร ในวันรื้อถอนบ้านเก่าที่ผุพังเพราะน้ำท่วม จำเป็นต้องสร้างหลังใหม่มาแทนที่ ............ที่ดินของเราเป็นผืนยาวติดแม่น้ำเล็กๆ ซื้อมาด้วยเงินก้อนใหญ่ที่สุดในชีวิตของแม่ ราคาไม่กี่พันบาท ฉันย้ายมาอยู่ในตอนที่อายุ 7 ขวบ  เวลาต่อมา คืนหนึ่งแม่ก็เสียชีวิตในบ้านหลังนี้ ตายจากไปเหลือเพียงเถ้าถ่าน ร่างกายถูกเผากลางแดดด้วยฟืนกองโต จำได้ว่าหลังจากคืนเผาศพแม่ไม่นานนัก บ้านทั้งหลังเงียบสงบ…
วาดวลี
ผู้หญิงคนนั้นกำลังฉุน ส่วนหญิงสาวอีกคนในชุดกระโปรงสีชมพู มีท่าทางไม่สบายใจอารมณ์ขุ่นเคืองปะทุในแดดระอุของยามบ่าย  ขณะนั้น  ฉันฝ่าไอร้อนมาจอดรถหน้าร้านค้าของนวลเมื่อวานนี้ฉันขอให้เธอช่วยรื้อลังเก่าๆ ใบใหญ่ๆ ไว้ให้  เพื่อซื้อไปใส่ของขนย้ายบ้านนวลกำลังยุ่ง ยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก แต่ก็ยังมีแก่ใจกระซิบบอกด้วยเสียงอ่อนโยนเช่นเคย“รอหน่อยนะ แม่กำลังหาลังใบใหญ่ให้ ไม่ได้ลืม เดี๋ยวคงเอาลงมา”“แม่เหรอ?”ฉันทวนคำ นวลกำลังพูดถึงใครกันนะ ก็เธอจากบ้านมาไกลจากพม่า มาทำงานในร้านขายของชำ ทุกทีนวลเรียกเจ้าของร้านผู้ชายว่า เฮีย และเรียกพี่ผู้หญิงว่า เจ๊ ฉันยังไม่ได้ถาม แต่เธอคงจะดูแววตาออก…
วาดวลี
เพิงผักสดหน้าวัดในตอนเช้า กำลังแปรสภาพเป็นร้านเหล้าในยามค่ำ ตะวันยังไม่แตะดินดี เคาน์เตอร์ไม้เล็กๆ ก็มีลูกค้ามารอแล้วเกือบเต็มร้านชายวัยกลางคนกระดกเหล้าขาวจากแก้วทรงเหลี่ยมอยู่หน้าเพิงป้าแดง  ไม่ยี่หระต่อสายตาเมียที่ยืนค้อนอยู่ด้านหลังเธอยืนเท้าสะเอวเหมือนแม่บ้านในการ์ตูน มองสามีเงียบๆ แล้วก็เอ่ยด้วยเสียงห้วนสั้น“กระดกเข้าไป บอกว่าให้กินข้าวรองท้องก่อน ป้าแดงเอาแกงอ่อมมาถ้วยหนึ่ง”เธอไม่ได้สั่งกลับบ้าน แต่สั่งให้สามี ป้าแดงตักแกงจากหม้อใส่ชาม วางไว้บนเคาน์เตอร์ไม้ แล้วรับเงินจากผู้เป็นภรรยา เธอจากไปพร้อมผักกาดกำใหญ่ในมือ“เดี๋ยวข้ากลับไปกินข้าว” “อือ”สามีภรรยาตอบกันห้วนสั้น…
วาดวลี
๑.ฤดูมาเร็ว ราวกระพริบตารู้สึกดังว่า เพิ่งผ่านเมื่อวานฝนหมาดถนน เพิ่งโดนแดดทักลมหนาวก็พัดมาจุมพิตผ่านแม่น้ำสีเหลืองลำเลียงเศษไม้เผลอมองวูบไหวหัวใจสะท้านฝนพอหรือยัง? หรือคั่งค้างอยู่รอการพรั่งพรู ไหลมาท่วมบ้าน  ๒.ต้นข้าวสีเขียว เคยซีดเซียวยับนิ่งงันสดับ กับทางน้ำผ่านเจ้าชูช่อใหม่ ในตุลาฤดูไม่อาจหยั่งรู้ หรือไม่คิดสะท้าน?ผีเสื้อกลัวไหม ไอหนาวจะมาหอบหมอกห่มฟ้า พัดป่าแห้งกร้านควันคลุ้งคลุมเมือง กลายเป็นเรื่องเล่าไฟฟอนแผดเผา เราไม่อาจต้าน  ๓.ไปหมดแล้วหรือ ที่คือฝันร้ายปัดกวาดบ้านใหม่ ไว้รอเพื่อนบ้านกลางคืนสงบ รอพบวันพรุ่งหวังเห็นสายรุ้ง ลา-วสันต์กาลรอยฝนกันยา ตุลารำลึกลบความคิดนึก…