“รักของพี่กับเขาเริ่มตรงนี้”
ตรงที่พี่ชายพูด มันคือถนนเส้นหนึ่ง ที่ตัดผ่านกลางระหว่างคูเมืองด้านในของเชียงใหม่ ไปยังชุมชนเก่าแก่แห่งหนึ่ง รอบๆ ถนนมีอาหารพื้นเมืองขาย มีส้มตำ ไก่ย่าง ร้านรวง บริษัท รวมทั้งวัดเก่าแก่สวยงาม
ฉันก้มลงไปมองตามนิ้วชี้ของเขา ที่ตรงนั้น คือฝาท่อกลมๆ เก่าๆ ปิดรอยโหว่ขี้เหร่ของถนนเอาไว้
“ตรงนี้น่ะหรือ จุดเริ่มต้นของความรัก”
ฉันทำหน้าไม่อยากเชื่อ พี่ชายยิ้มที่มุมปาก แล้วพยักหน้า
“มีอยู่วันหนึ่ง พี่มาก้มๆ เงยๆ ผูกเชือกรองเท้าตรงนี้ ว่าจะเดินไปเยี่ยมเพื่อนที่ร้านซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าข้างหน้านั่น ก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินมา ผมยาว ผิวขาว หน้าตาก็ไม่สวยมาก แต่ก็น่ารักดี”
“ฮื่อ”
ฉันจ้องมองไปในแววตานั้น การที่ผู้ชายเล่าถึงผู้หญิงสักคน อาจจะใช่ หรือไม่ใช่คนที่เขารัก มีทัศนคติบางอย่างที่เราสามารถวัดได้ว่า เขาน่าคบหาหรือไม่ ฉันถามต่อไปอีกว่า
“แล้วปิ๊งกันเลยเหรอ”
“โอ้ยเปล่าหรอก ก็ไม่ได้สนใจอะไรเลย แต่เขาน่ะสิ เดินมาเพื่อนที่ร้านซ่อมเหมือนกัน ปรากฏว่าเขาขอเบอร์โทรศัพท์พี่ไป”
“โห ถูกจู่โจมนี่”
ฉันพูดทีเล่นทีจริง ในคำแซวนั้นไม่ได้มีการตัดสินใจอะไรทั้งสิ้น ฉันเชื่อว่าในยุคสมัยนี้ ทั้งหญิงและชาย สามารถเป็นฝ่ายผูกมิตรได้ก่อน ไม่ใช่เฝ้ารอให้ใครเดินมาสะดุดขา แล้วถึงจะเปิดโลกให้รู้จักใครสักคน แต่ฉันก็เชื่อว่า ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อนก็ตาม ทุกอย่างที่ดำเนินต่อหลังจากนั้น ควรจะเป็นการเรียนรู้กันด้วยความจริงใจทั้งสองฝ่าย
“ก็รู้สึกดีนะ ไงล่ะ เราก็คนซื่อๆ นะ ให้แซวผู้หญิงก็แซวได้ แต่ให้จีบจริงๆ ไม่กล้า ทำไม่เป็น อาย”
พี่ชายสารภาพ และฉันก็เชื่อตามนั้น ทรงผมรองทรงและหน้าตาธรรมดาสามัญ เสื้อเชิ้ตสีฟ้าแขนสั้นของบริษัทที่สวมเหมือนกันทุกๆ วัน ผู้ชายที่ไม่ค่อยหวีผม ไม่สนใจน้ำหอม ไม่รู้จักชื่อดอกไม้ และทำกับข้าวไม่เป็น เขาอยู่คนเดียวจนชิน และจนเชื่อ ว่าเขาเกิดมาเพื่ออยู่เพียงลำพังเท่านั้น
“เขาทำให้พี่ลืมตัวเองนะ ลืมไปหมดเลยว่าเราตั้งใจเอาไว้ยังไง เขาโทรมาหาบ่อย เป็นห่วง ชวนไปกินข้าว”
“เขาเป็นฝ่ายชวน หรือโทรหาเราเรื่อยๆ เลยเหรอ เราล่ะโทรหาเขาไหม”
“แรกๆ ไม่มีเลย เราก็มองแค่ว่า ก็ดี หายเหงา มีเพื่อนคนหนึ่ง แต่เขาก็โทรมาเรื่อยๆ เราไม่คิดไงว่า ใครจะมาสนใจผู้ชายอย่างเรา บางวันก็เมา กลับไปนอนในห้องเช่าเล็กๆ บ้านก็ไม่มี รถยนต์ก็ไม่มี ผู้ชายแบบนี้ผู้หญิงไม่สนใจ”
พี่ชายตัดพ้อ ฉันหัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่าเขาคิดผิด เหมือนผู้ชายอีกหลายคนหรือเปล่านะ ที่เข้าใจไปว่าผู้หญิงต้องการสิ่งเหล่านี้มากมายนัก แล้วก็ขาดความมั่นใจในตัวเอง
“สุดท้าย พี่ก็ยอมรับว่ามีใจกับเขา”
ทุกอย่างเป็นไปด้วยความสวยงาม พี่ชายบอกแบบนั้น จากวันที่เริ่มคบหา พากันไปกินข้าว ทั้งคู่เริ่มเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน
วันเวลาผ่านไปได้รวดเร็ว ราว 4 สัปดาห์ ชายหนุ่มวัย 32 ปี และหญิงสาวในวัย 38 ปี ตัดสินใจขนเสื้อผ้ามาอยู่ด้วยกัน ทั้งคู่เขินอายที่จะบอกเราว่า นี่คือการทดลองอยู่ก่อนแต่ง เรายินดีกับบ้านใหม่ของเขาสองคนและดีใจที่พี่ชายไม่ต้องอยู่คนเดียวอีกต่อไปแล้ว
“คืนนั้นเองที่เขาบอกพี่ว่า เขาแต่งงานกับพี่ไม่ได้หรอกนะ เพราะเขาเคยแต่งมาแล้ว และยังไม่ได้หย่า”
ทะเบียนสมรสเก่าๆ ถูกงัดออกจากซองกระดาษสีน้ำตาลออกมา พี่ชายดูแล้วบอกกับหญิงคนรักของเขาว่า
“ช่างมันเถอะ สักวันค่อยจัดการมันก็ได้ ไม่มีอะไรต้องรีบร้อน”
ทั้งคู่ดูรักกัน ท่ามกลางสายตายินดีของเพื่อนๆ ไปไหนไม่เคยห่างกันแม้แต่ก้าวเดียว เดินเกาะไหล่ จูงมือ หอมแก้ม ลูบผม ความรักอบอวลไปถ้วนทั่วที่ทั้งคู่เดินทางไป ใครๆ ก็ต่างอิจฉา พี่ชายบอกฉันว่า นี่คือบทพิสูจน์อย่างหนึ่งของความรัก ที่ว่า อดีตของผู้หญิงไม่มีความหมายอีกต่อไปแล้ว เธอจะเป็นใคร มาจากไหน แต่งงานหรือยัง หรือต่อให้มีลูก ก็ไม่มีความหมาย เพราะเขาทั้งคู่กำลังเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้กันและกัน
“อยู่กันมาเกือบปีนะ เขาถึงบอกว่า เขามีลูกมาแล้ว 3 คน แล้วแฟนเขาก็ยังไม่ได้ตายไปไหน ยังเลี้ยงลูกอยู่บ้าน แถมยังรอเขาอยู่อีกด้วย”
“อา...แล้วพี่ชายทำยังไง”
ชายหนุ่มถอนหายใจ แววตาทอดยาวไปยังเบื้องหน้าที่ยาวไกล หากแต่ครุ่นคิดถึงอดีตและการตอบคำถามเหล่านั้น
“ก็มันรักไปแล้วนี่ จะให้ทำยังไงได้ล่ะ ก็เลยตอบไปว่า ตราบใดที่ไม่ตายจากกัน ฉันก็จะไม่หยุดรักเธอ”
“ตอบแบบนั้นเลยเหรอ โรแมนติกจัง” ฉันอุทาน
“เขาถามว่า จะเชื่อได้ยังไง เราก็เลยบอกเขาว่า จากวันนี้ไปจะตื่นไปส่งเขาทำงานทุกวัน ไม่ว่าจะต้องตื่นเช้าแค่ไหน เงินเดือนที่มีก็จะให้เขาไว้ใช้จ่าย เหลือไว้พอกินข้าวกลางวันของเราก็พอ ให้เขาเก็บ เผื่ออนาคต จะทำอะไรร่วมกัน”
“ทุกสิ่งที่พี่ทำได้ในชีวิต พี่จะทำให้เขาหมดน่ะแหละ เสียดายที่ทำได้แค่นี้”
อีกครั้งที่เขาตอบพร้อมกับมีรอยน้ำตาอยู่ในประโยคนั้น