Skip to main content

ว่ากันว่า บนหน้าผาสูงใหญ่แห่งนี้ในอดีตกาล

ชายหญิงคู่หนึ่ง เดินทางมาหยุดมองหุบเหวกว้างใหญ่ในเวลาดึกสงัด  เบื้องลึกเป็นผืนน้ำ ด้านข้างเป็นโขดหินกัดเซาะขรุขระน่ากลัว พวกเขาคงรู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบและเวิ้งว้างไปจนสุดขั้วหัวใจ
ถ้าเผลอตกลงไป อย่าหวังว่าชีวิตจะเหลือรอดให้กลับบ้าน

หากแต่บางที การมีชีวิตอยู่โดยปราศจากความรักนั้น  บางทีอาจเวิ้งว้างยิ่งกว่า
หรือมีรักแต่ไม่สมหวัง อาจเจ็บปวดกว่าการจากโลกนี้ไป


แล้วชายหญิงคู่นั้นก็ตัดสินใจกระโดดลงไปเบื้องล่าง  ทิ้งปริศนา ตำนานเล่าขานในหลายร้อยปีที่ผ่านมา ไว้เตือนสติว่า การดันทุรังคบหาผู้ที่แตกต่างกันมากเกินไป ทั้งชนชั้น วรรณะ ฐานันดร อาจมีจุดจบไม่สวยงามนัก ขณะเดียวกัน บางคนกลับรู้สึกว่า รักต้องห้ามบางรักนั้น คือความภาคภูมิใจในฐานะที่ไม่ทรยศต่อหัวใจของตัวเอง
เหมือนที่ชายชราผู้เล่าขานบอกกับฉันด้วยรอยยิ้มอิ่มเอิบว่า
"ที่ตรงนี้เขาเคยมีถ่ายทำภาพยนตร์ด้วยนะ เป็นตำนานรักที่ถูกซ่อนเอาไว้นานเหลือเกิน"


ฉันมายืนอยู่บนหุบเขานี้ด้วยความรู้สึกกล้าๆ กลัวๆ มองลงไปข้างล่างช่างลึกเหลือเกิน ทั้งลำน้ำแม่ปิงในอำเภอฮอด หรือชื่อ พิสดารนครในอดีต เป็นสีแดงข้นขลั่ก พลางคิดถึงตำนานที่เล่าขานกันมา

หญิงสาวที่ว่า คือ "พระนางแอ่นฟ้า" เป็นลูกสาวสุดที่รักของพระเจ้าแสนโท ผู้ครองเมืองพิสดารนครตามคำสั่งของพระนางจามเทวีผู้สร้างเมือง  ผู้เป็นพ่อเฝ้ามองหาชายหนุ่มที่เหมาะสมคู่ควรแก่นาง แต่เธอกลับมีใจให้กับชายหนุ่มธรรมดาสามัญเป็นเพียงลูกชายของเสนา ชื่อ "น้อยคำสิงห์"

โทษของกฎมณเฑียรบาลในขณะนั้นคือ ประหารชีวิตสถานเดียว หากรักกันต่อไปก็ไม่อาจอยู่เป็นคู่รักได้อย่างเปิดเผย เป็นรักที่ต้องซ่อนเร้น ซ่อนแอบแบบเดียวกับที่เรียกกันว่า "ชู้รัก"

อยู่ต่อไปก็ตาย รักกันต่อไปก็ตาย สู้หนีไปพร้อมกันเสียดีกว่า

พระนางคงคิดแบบนี้กระมัง กลางดึกจึงนัดแนะกับชายคนรักขี่ม้าออกจากวัง เมื่อทหารกราบทูลบิดาให้ทราบ ความกริ้วโกรธได้กลายเป็นคำสั่งที่ว่า "ถ้าพบทั้งสองคนก็ประหารชีวิตเสีย"

ม้าสีขาวที่วิ่งกุบๆ กลางดึก หนีไปหยุดยืนอยู่ที่หน้าผาแห่งนี้ เมื่อทหารตามมาทันไม่อาจหนีไปไหนได้อีก ก็ตัดสินจะขี่ม้าลงเหวไปเสีย แต่เจ้าม้าไม่ยอมเพราะกลัวความสูง สองคนตัดสินใจหยิบผ้าออกมา 3 สี สามผืน คือ ขาว ดำ และแดง

ผ้าสีขาว
ผูกไว้ที่ตาของม้า ผ้าผืนสีดำและแดงผูกตาคู่รักทั้งสอง จากนั้นก็เฆี่ยนม้าอย่างแรงให้กระโจนลงไป

ชั่วเวลาที่ร่างของม้าและคนกระโจนล่อยลองในอากาศ ผ้าปิดตาทั้งสามหลุดออกจากการมัด ปลิวกระจายตามแรงลมไปตกอยู่คนละแห่ง

ผ้าสีแดง
ปลิวไปตกยังบ้านแพะ (หมู่บ้านริมเชิงเขา) จึงเรียกที่แห่งนั้นว่า "บ้านแพะแดง" ส่วนผ้าสีดำ ปลิวตกไปในหมู่บ้านในป่าลึก ซึ่งเรียกต่อมาว่า "หมู่บ้านดงดำ" ส่วนผ้าสีขาวจากม้า ปลิวไปทางทิศเหนือ กลายเป็นชุมชน "วังผ้าขาว" ส่วนร่างของม้าลอยไปทางทิศใต้กลายเป็น "ชุมชนท่าม้า"


แสงของเงาไม้ในหมู่บ้านดงดำ

สำหรับร่างของพระนางแอ่นฟ้า เมื่อเสียชีวิต ศพก็ลอยไปติดฝั่งแห่งหนึ่ง จึงขนานนามหมู่บ้านนั้นว่า "บ้านแอ่น" อีกฝั่งหนึ่งเป็นที่พบศพร่างของชู้รัก "น้อยคำสิงห์" ก็ถูกตั้งเป็นชื่อหมู่บ้านว่า "บ้านน้อย"

เมื่อบิดาของพระนางแอ่นฟ้ามาพบศพก็เสียใจมาก จึงทำบุญโดยทิ้งของต่างๆ ลงแม่น้ำให้ลอยไปกับดวงวิญญาณ อาหาร ดอกไม้ เครื่องทำบุญมากมายที่ไปลอยติดยังที่ต่างๆ ริมแม่น้ำ ถูกนำไปตั้งเป็นชื่อชุมชน เช่น บ้านผาแตนที่เล่ากันว่ามาจาก "ข้าวแต๋น" ขนมชนิดหนึ่งที่ไหลทวนน้ำไม่ยอมตามกระแสเป็นปาฏิหาริย์ ส่วนหม้อสลุงเงิน ที่ไปตกอยู่ก็กลายเป็นหมู่บ้านวังสลุง และเพี้ยนมาเป็น วังลุงในที่สุด


ส่วนสำหรับหน้าผาตำนานรักแห่งนี้ มีผู้ตั้งชื่อเอาไว้ว่า "ผาวิ่งชู้"  ซึ่งในเวบบอร์ดอินเตอร์เน็ตบางแห่งเรียกชื่อให้เข้ากับยุคสมัยว่า "ผาวิ่งกิ๊ก" เป็นผาที่มีความยาว 250 เมตร สูง 25 เมตร บางคนเรียกที่แห่งนี้ว่า "แกรนด์แคนยอน ของเชียงใหม่" มีโขดหินแข็งตั้งตระหง่าน ยืนอยู่ตรงนี้จะมองเห็นลำน้ำทอดยาวไปตลอดแนวจรดภูเขา เบื้องล่างเป็นที่ราบริมฝั่งน้ำปิง เงยหน้าขึ้นไปจะเห็นเทือกเขาดอยปุยอยู่ไกลๆ


เป็นที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง ซึ่งไม่มีพ่อค้า แม่ค้า มาขายของ ไม่มีป้ายบอกทางเข้า ไม่มีโบร์ชัวร์แนะนำ ไม่มีจุดอำนวยความสะดวกใดใด มีเพียงต้นไม้ ดอกหญ้า สายลมหนาว และความเงียบสงัด กับเสียงน้ำที่ไหลเอื่อยอยู่ไกลๆ เบื้องล่าง และชาวบ้านที่ดำรงวิถีในภาคเกษตรกรรม

ลำน้ำสีแดงที่ทอดตัวหล่อเลี้ยงผู้คนของเมืองไปอย่างเงียบๆ รอเวลาตะวันขึ้นและตกอย่างสวยงามที่สุด เหมือนจะบอกกับคนที่หลงเข้ามายืนตรงนี้ว่า จงพิจารณาความโดดเดี่ยวในใจให้ลึกซึ้ง และจงค้นหารักแท้ในหัวใจให้เจอ

ฉันรู้สึกว่าหุบผากระซิบไว้แบบนั้น.




ดอกหญ้าเล็กๆ บนหุบเขา ผาวิ่งชู้

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับตำนานได้ที่เว็บไซต์ คนเมืองดอทคอม http://www.khonmuang.com/

บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
1.อากาศยามเช้าหนาวไอเย็นแผ่วเบา พัดมาจากภูเขาสูงผ่านทางไกล ใกล้รุ่งฝ่าหมอกคลุ้งสีเทา-เทา
วาดวลี
ฉันกับเพื่อนหย่อนก้นบนเก้าอี้ไม้ริมถนนของเมืองเชียงของ เราสั่งชานม ชามะนาว และกาแฟมากินให้สดชื่นหลังจากนั่งรถมาเป็นชั่วโมง มองดูผู้คนมาเยือนสวนทางกับเจ้าของท้องถิ่นไปมาในวันหยุด"เรากำลังจะไปที่ไหนต่อ"เพื่อนร่วมทางถามฉัน ฉันเหลือบมองเขา ไม่ตอบ แล้วคว้าหนังสืออ่านเล่นในร้านกาแฟมาเปิดอ่าน เราเพิ่งมาถึง แล้วจะไปไหน เธอถามแปลกจัง ฉันอยากตอบเล่นๆ ว่า เดี๋ยวจะพาเธอไปลงว่ายน้ำโขงเล่นก็แล้วกัน"เราต้องไปกินปลาบึกไหม?"เพื่อนถาม ฉันเกือบสำลักชามะนาว “เธออยากกินเหรอ”ฉันถามกลับ เขาทำหน้าไม่ถูก แต่แววตาลังเล “ก็มีคนบอกว่ามาเชียงของต้องกินปลาบึก”ฉันอมยิ้ม ฉันก็ได้ยินแบบนั้นเหมือนกัน แต่เท่าที่รู้…
วาดวลี
กระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่า กำลังถูกประทับด้วยตราปั๊มสีแดงเพื่อบอก “อนุญาต” ให้ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองไปยังพม่า ผู้คนจำนวนนับร้อยนับพัน ต่อแถวกันอยู่ที่ท่าขี้เหล็กในเขตแม่สายด้วยใบหน้ารอคอย ตั้งแต่ขั้นตอนการทำบัตร ชำระเงิน ตรวจเอกสาร จนกระทั่งพวกเขาจะได้ข้ามพ้นประตูด่านของเจ้าหน้าที่เมื่อนั้น ใบหน้าที่บึ้งตึงก็จะเปลี่ยนเป็น “โล่งอก”ฉันและเพื่อนยืนรออยู่ที่ทำบัตรเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ขณะที่เพื่อนกำลังวาดฝันว่าเขาจะซื้ออะไรบ้างจากฝั่งพม่า ไม่ทันที่จะอ้าปากพูดว่า “เกาะกันไว้นะเดี๋ยวหลง” เพราะคนเยอะขนาดจนมีประกาศหาคนตลอดเวลา ไม่ทันไรฉันก็ถูกดันจากคนข้างหลังให้ขยับเข้าไปข้างหน้า ทั้งที่แถวมันเต็มแล้ว…
วาดวลี
1ฤดูหนาวไม่ได้มาเยือนอย่างเงียบเชียบอีกแล้ว มันแสดงตัวตน ชัดเจน ผ่านอากาศ ต้นไม้ใบหญ้า รอยน้ำค้าง ประทับตรงนั้นตรงนี้  แม้กระทั่งบนขนตาของเธอ  หญิงวัยกลางคนที่ตื่นแต่เช้า ปั่นจักรยานไปตลาด กลับมาพร้อมกับข้าวของในมือที่มากจนจักรยานแทบเสียหลัก เธอจอดรถไว้ข้างๆ รั้ว หิ้วของ วางลง และยกมือเช็ดน้ำค้างบนขนตา2“หนาวมากไหม”เธอเอ่ยถามอย่างอาทร ฉันพยักหน้า อดคิดถึงแม่จริงๆ ของตัวเองไม่ได้ ฉันคงต้องใช้เวลาเป็นวันๆ หากจะคิดถึงฤดูหนาวและการอยู่ร่วมกัน  แค่คิดถึงการซุกตัวใน “ผ้าห่มขี้งา” ร่วมกับแม่ แค่นั้นก็เป็นสุขแล้ว หน้าหนาวพ่อจะให้ฉันนอนตรงกลาง เพื่อให้อุ่นมากพอ …
วาดวลี
1. ผืนดินปกคลุมไปด้วยต้นหญ้า และเป็นต้นหญ้าชนิดที่มีดอกสีขาว ฉันชะงักจอบเสียบที่เตรียมมา ด้วยความอาลัยอาวรณ์ต่อดอกหญ้าที่พากันบานสะพรั่งอวดสายลมหนาว ก็มันสวยขนาดนี้ ฉันจะขุด ตัดมันไปได้อย่างไรกันวางจอบลง แล้วนั่งยองๆ ฉันคว้ากล้องถ่ายรูปมาถ่ายเก็บเอาไว้ นอกจากดอกหญ้าที่บานเต็มที่แล้ว ยังมีต้นกล้าที่เพิ่งถือกำเนิด มันน่ารักดีจัง ฉันยิ้มให้กับต้นหญ้า แม้จะเคาะเขินคนข้างๆ อยู่บ้างที่ทำตัวอ่อนหัดแบบนี้ แต่เขาคงเข้าใจ คนโหยหาผืนดินอย่างฉัน“หญ้าก็คือหญ้า ถ้าไม่ตัดมันทิ้ง เราจะปลูกผักได้ยังไง”เธอช่วยเตือนสติ ฉันกลับมาโลกความจริง นั่นสินะ ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องถางมันทิ้ง “รกจะตาย” เธอว่า…
วาดวลี
ฤดูหนาวยามสาย แสงตะวันทอดผ่านเรือนร่างของผู้คนและตกกระทบเป็นผืนเงา อยู่ตรงนั้นตรงนี้บนถนน ชักชวนให้นักท่องเที่ยวบางคนอดไม่ได้ที่จะถ่ายรูปเงาตัวเองเอาไว้ดูเล่น ฉันเองก็เช่นกัน ย้ายระดับสายตาไปอยู่บนผืนดิน แสงเงาจากผู้คนมากมาย มุ่งหน้าไปยังพระธาตุดอยสุเทพ นักท่องเที่ยวกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย ยิ้มสรวลหยอกล้อ ขอถ่ายรูปคู่กับบันได ประตู ป้าย และร้านค้า ดูเหมือนจะมีแต่เสียงหัวเราะ ตื่นเต้นและความสุข ปนเปื้อนเศษเสี้ยวของความหงุดหงิดรำคาญเล็กน้อย รอยยิ้มกว้างๆ ปรากฏบนใบหน้าของแม่ค้าหลายคน เงินสดถูกเก็บเข้ากระเป๋า ถุงพลาสติกถูกดึงขึ้น ใส่ของ ดึงขึ้นและใส่ของ…
วาดวลี
“หนาวไหมครับ”ชายแปลกหน้าเอ่ยถาม ขณะหย่อนตัวลงนั่งบนแคร่ไม้ เราสองคนอยู่ในที่รกร้างว่างเปล่าของใครสักคนหนึ่ง ฉันอยากเรียกแบบนั้น ทั้งๆ ที่มันคือสถานีรถโดยสารที่จะเดินทางจากตัวเมืองลำปางไปยังแจ้ซ้อนขณะรถเข็นคันหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาหาเรา ฉันตอบผู้ชายคนนั้นสั้นๆว่า “หนาวนะ” เขาอมยิ้ม กระชับเสื้อให้แน่นขึ้นแล้วหยิบขวดน้ำขึ้นมาดื่ม ฉันไม่สนใจเขานัก เอาแต่ควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋า เพื่อจะหยิบมาดูนาฬิกาว่าตอนนี้คือกี่โมงแล้ว แต่ยังหาโทรศัพท์ไม่เจอ ก็เหลือบไปเห็นนาฬิกาขนาดใหญ่เกาะติดอยู่บนต้นไม้ ดูเหมือนจะเป็นต้นมะขาม มันสูงใหญ่ให้ร่มเงาเป็นอย่างดีแก่ท่ารถแห่งนี้…
วาดวลี
ท่ามกลางความมืดของผืนฟ้า  พระจันทร์ดวงกลมโตอวดแสงนวลอยู่บนนั้น แม้คืนนี้มองไม่เห็นดาว  แต่พระจันทร์คงไม่เหงา  ก็บนท้องฟ้า เต็มไปด้วยดวงไฟสีส้มนับร้อย นับพันดวง วาววับ จนไม่อาจนับจำนวนได้ โคมไฟ หรือ ว่าวไฟ ในเทศกาลลอยกระทง ต่างลอยขึ้นไปตามแรงลม และความร้อนจากเปลวไฟเล็กๆ ที่ห้อยอยู่ข้างท้าย แม้คนจุดจะมีทั้งชาวเมืองเชียงใหม่ หรือนักท่องเที่ยวจากเมืองอื่น แต่สิ่งที่ฉันได้รู้ในวันนี้ก็คือ สำหรับคนบางคนแล้ว ดาวสีส้มบางดวงนั้นขึ้นไปตามแรงศรัทธาและความเชื่อที่สั่งสมมาตลอดชีวิต“ได้เวลาจุดไฟกันแล้วนะ” ชายชราคนหนึ่งคนตะโกนบอกหลานชาย หลังจากเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้…
วาดวลี
“พ่อเคยคิดจะย้ายไปอยู่ที่อื่นไหม?”ฉันเคยเอ่ยถามชายชราไว้นานแล้ว ไม่จริงจังในคำพูด และไม่มีประเด็นอะไรมากนัก ฉันเพียงแต่อยากรู้ว่าเขาคิดอย่างไร ในวันรื้อถอนบ้านเก่าที่ผุพังเพราะน้ำท่วม จำเป็นต้องสร้างหลังใหม่มาแทนที่ ............ที่ดินของเราเป็นผืนยาวติดแม่น้ำเล็กๆ ซื้อมาด้วยเงินก้อนใหญ่ที่สุดในชีวิตของแม่ ราคาไม่กี่พันบาท ฉันย้ายมาอยู่ในตอนที่อายุ 7 ขวบ  เวลาต่อมา คืนหนึ่งแม่ก็เสียชีวิตในบ้านหลังนี้ ตายจากไปเหลือเพียงเถ้าถ่าน ร่างกายถูกเผากลางแดดด้วยฟืนกองโต จำได้ว่าหลังจากคืนเผาศพแม่ไม่นานนัก บ้านทั้งหลังเงียบสงบ…
วาดวลี
ผู้หญิงคนนั้นกำลังฉุน ส่วนหญิงสาวอีกคนในชุดกระโปรงสีชมพู มีท่าทางไม่สบายใจอารมณ์ขุ่นเคืองปะทุในแดดระอุของยามบ่าย  ขณะนั้น  ฉันฝ่าไอร้อนมาจอดรถหน้าร้านค้าของนวลเมื่อวานนี้ฉันขอให้เธอช่วยรื้อลังเก่าๆ ใบใหญ่ๆ ไว้ให้  เพื่อซื้อไปใส่ของขนย้ายบ้านนวลกำลังยุ่ง ยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก แต่ก็ยังมีแก่ใจกระซิบบอกด้วยเสียงอ่อนโยนเช่นเคย“รอหน่อยนะ แม่กำลังหาลังใบใหญ่ให้ ไม่ได้ลืม เดี๋ยวคงเอาลงมา”“แม่เหรอ?”ฉันทวนคำ นวลกำลังพูดถึงใครกันนะ ก็เธอจากบ้านมาไกลจากพม่า มาทำงานในร้านขายของชำ ทุกทีนวลเรียกเจ้าของร้านผู้ชายว่า เฮีย และเรียกพี่ผู้หญิงว่า เจ๊ ฉันยังไม่ได้ถาม แต่เธอคงจะดูแววตาออก…
วาดวลี
เพิงผักสดหน้าวัดในตอนเช้า กำลังแปรสภาพเป็นร้านเหล้าในยามค่ำ ตะวันยังไม่แตะดินดี เคาน์เตอร์ไม้เล็กๆ ก็มีลูกค้ามารอแล้วเกือบเต็มร้านชายวัยกลางคนกระดกเหล้าขาวจากแก้วทรงเหลี่ยมอยู่หน้าเพิงป้าแดง  ไม่ยี่หระต่อสายตาเมียที่ยืนค้อนอยู่ด้านหลังเธอยืนเท้าสะเอวเหมือนแม่บ้านในการ์ตูน มองสามีเงียบๆ แล้วก็เอ่ยด้วยเสียงห้วนสั้น“กระดกเข้าไป บอกว่าให้กินข้าวรองท้องก่อน ป้าแดงเอาแกงอ่อมมาถ้วยหนึ่ง”เธอไม่ได้สั่งกลับบ้าน แต่สั่งให้สามี ป้าแดงตักแกงจากหม้อใส่ชาม วางไว้บนเคาน์เตอร์ไม้ แล้วรับเงินจากผู้เป็นภรรยา เธอจากไปพร้อมผักกาดกำใหญ่ในมือ“เดี๋ยวข้ากลับไปกินข้าว” “อือ”สามีภรรยาตอบกันห้วนสั้น…
วาดวลี
๑.ฤดูมาเร็ว ราวกระพริบตารู้สึกดังว่า เพิ่งผ่านเมื่อวานฝนหมาดถนน เพิ่งโดนแดดทักลมหนาวก็พัดมาจุมพิตผ่านแม่น้ำสีเหลืองลำเลียงเศษไม้เผลอมองวูบไหวหัวใจสะท้านฝนพอหรือยัง? หรือคั่งค้างอยู่รอการพรั่งพรู ไหลมาท่วมบ้าน  ๒.ต้นข้าวสีเขียว เคยซีดเซียวยับนิ่งงันสดับ กับทางน้ำผ่านเจ้าชูช่อใหม่ ในตุลาฤดูไม่อาจหยั่งรู้ หรือไม่คิดสะท้าน?ผีเสื้อกลัวไหม ไอหนาวจะมาหอบหมอกห่มฟ้า พัดป่าแห้งกร้านควันคลุ้งคลุมเมือง กลายเป็นเรื่องเล่าไฟฟอนแผดเผา เราไม่อาจต้าน  ๓.ไปหมดแล้วหรือ ที่คือฝันร้ายปัดกวาดบ้านใหม่ ไว้รอเพื่อนบ้านกลางคืนสงบ รอพบวันพรุ่งหวังเห็นสายรุ้ง ลา-วสันต์กาลรอยฝนกันยา ตุลารำลึกลบความคิดนึก…