Skip to main content

ในฐานะที่ต้นพืชต้นนี้ถูกฉันเรียกว่าเป็น “ถั่ววิเศษ”

หากมันพูดได้ มันคงสงสัยในตัวฉันว่า จะคอยจับจ้องมันไปถึงไหน ทั้งเช้าทั้งเย็น นอกจากวนเวียนรดน้ำแล้วก็ยังแอบถ่ายรูป สังเกตสังกา พาเพื่อนมาชมแปลงถั่ว เฝ้าจับจ้องแมลงตัวน้อยนิดที่บินมาเกาะ มากัดกิน พลางครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรไม่ให้กิ่งใบของมันเสียหายก่อนเวลาอันสมควร


ถั่ววิเศษอาจกำลังสอนฉันว่า อย่าคาดหวังในตัวมันมากเกินไปกระมัง ในแปลงผักแปลงเดียว เมล็ดพันธุ์ที่หยอดหว่านลงไปนั้น กำลังเติบโตได้อย่างแตกต่างกัน


บางต้น อวบอิ่ม สีเขียวสด ยืดลำต้นตั้งตรง สูงประมาณ 10 เซนติเมตรได้ ขยายใบเล็กๆ นั้นกลายเป็นใบกว้าง เติบใหญ่อย่างมีสุขภาพดี


หากแต่บางต้น โผล่พ้นดินมาได้เพียง 3-4 เซนติเมตรเท่านั้น ใบไม่ขยายออก แต่งอเข้าม้วนเป็นวงกลม อยู่ในสภาพแคระแกรนไม่สมบูรณ์ จ้องดูมันนานๆ ก็เหมือนมันจะบอกว่า อีกนานเลยนะที่ฉันจะออกดอกออกผลให้เธอ แล้วไม่รู้ว่าฉันจะมีชีวิตอยู่ได้เท่าไหร่


ที่ร้ายกว่านั้น ในหลุมบางหลุม มีเพียงดินว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดโผล่พ้นจากดินมาได้ ฉันใช้มือคุ้ยเบาๆ ดูเมล็ด มันยังแน่นิ่งอยู่ในสภาพเดิม เมล็ดนั้นอาจตายแล้วจริงๆ หรือตายไปตั้งนานแล้วก่อนจะปลูกเสียด้วยซ้ำ

ฉันกลับมาคิดถึงตอนเด็กอีกครั้ง



จำไม่ได้ว่าใครในบ้านชอบกินถั่วมากที่สุด รู้แต่ว่าบ้านของเรามีอาหารว่างที่เป็นเมล็ดถั่วอยู่หลายช่วงในแต่ละปี


ตั้งแต่ถั่วลิสงนึ่ง สุกใหม่ๆ จากเตา มีความร้อนคุกรุ่น เวลาแกะจะรู้สึกได้ถึงความอุ่นตั้งแต่เปลือกไปถึงเมล็ดที่เปิดออก ถั่วลิสงสดๆ ที่เก็บจากไร่มีรสนุ่มละมุน มีความมัน มีกลิ่นหอม และมีรสหวาน หวานแบบไม่ต้องใส่น้ำตาลอะไรเลย หวานติดปลายลิ้นก็ว่าได้ ซึ่งพอโตมาฉันก็ยังจำรสชาตินั้นได้ และหากินถั่วลิสงที่หวานโดยธรรมชาติแบบนั้นไม่ค่อยเจอแล้ว


ถั่วลิสงที่ว่านี้บ้านเราไม่ได้ปลูกเองหรอก มีเพื่อนบ้านเอามาให้ แลกกับการผัก เก็บตำลึงข้างรั้วที่แม่ปลูกไว้ ตอนเด็กๆ นั้นไม่มีใครขายถั่วกันเลย บางบ้านที่ปลูกเยอะๆ ก็หอบมาให้เป็นกะละมัง เวลาแม่นึ่งสุกแล้วก็นั่งกินด้วยกัน คุยกันไปอย่างเพลิดเพลิน บางครั้งแม่จะแบ่งถั่วที่ยังไม่ได้ต้มเก็บไว้ก่อน รอให้เมล็ดแห้งสักหน่อย จากนั้นก็ตากให้แห้ง แล้วแกะเมล็ดออกมาเก็บไว้




นั่นแหละ ฉันถึงได้เข้าใจไปว่า เมล็ดถั่วพวกนั้นคือสิ่งที่ตายแล้ว มันมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรไม่รู้ โดยไม่มีน้ำ ไม่มีดิน เปลือยล่อนจ่อนอยู่ในถุงพลาสติก แต่แล้วก็ต้องแปลกใจว่า แม้จะทิ้งไว้นานหลายสัปดาห์ แต่พอหยอดลงไปในหลุมดิน รดน้ำไม่กี่วัน มันก็มีชีวิตขึ้นมาอีก เหมือนอะไรที่ตายแล้วฟื้นชีพได้ แม่หัวเราะทุกครั้งที่ฉันบอกว่า นี่ไง ถั่ววิเศษ


นอกจากนี้ ยังมีถั่วเหลืองที่นิยมปลูกกันมากตามภาคเหนือ ถั่วเหลืองนั้นแม่จะใช้วิธีต้มในหม้อใบใหญ่ ก่อนจะต้มก็ทำการมัดเป็นพวงด้วยตอก จะได้ตักง่าย แบ่งกันกินง่าย พอต้มสุกร้อนๆ ก็แบ่งกันไปคนละมัดสองมัด บางวันก็ห่อให้ฉันไปกินที่โรงเรียนด้วย ขณะที่เพื่อนๆ กินฮานามิซองละหลายบาท ฉันก็กินถั่วเหลืองต้มอย่างเพลิดเพลิน แต่แม้ว่าเพื่อนจะมีขนมอร่อยๆ แค่ไหน ทุกคนก็ชอบมาแย่งกันกินไปเสียทุกครั้ง


ถั่วเหลืองที่ไม่ได้ต้ม แม่ก็แบ่งเก็บไว้เช่นเดิม ตากให้แห้งแล้วแกะเมล็ดออก เมล็ดแห้งๆ ของถั่วเหลืองนั้นเอามาคั่วไฟร้อนๆ ในกระทะแห้งๆ ไม่ใส่น้ำมัน ก็อร่อยอย่าบอกใคร กัดกินกรุบกรับเพลิดเพลินไปทั้งวัน หากกินเหลือ แม่ก็ยังเอาไปโขลกหรือตำให้ละเอียดจนเป็นผง ชงกินเหมือนน้ำเต้าหู้ที่สมัยนี้มีขายทั่วไป เป็นอาหารเช้าของคนในครอบครัว


ยังมีถั่วอีกหลายชนิด เช่นถั่วแระธรรมดาเม็ดเล็ก ถั่วแรกญี่ปุ่น ถั่วฝักยาว ถั่วแป๋ฝักสั้นๆ ที่มีกินแค่ปีละครั้งในฤดูหนาว ทั้งหมดนี้วนเวียนอยู่ในความทรงจำของฉัน ทั้งๆ ที่ครอบครัวไม่ได้มีพื้นที่ไร่นาพอที่จะปลูกถั่วขายได้เหมือนบ้านอื่นๆ มีบ้างที่แม่ไปรับจ้างเก็บถั่วเขาจึงแบ่งมาให้กิน หรือ บางคนที่ขายได้ราคาไม่ดีก็ตัดมาแบ่งกันไป ดังนั้นแม้ฉันจะชอบถั่วมากแค่ไหน แต่ก็ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องการปลูกและดูแลมากนัก ความรู้สึกที่แอบคิดก็คือสักวันฉันคงจะได้ลองปลูกถั่ววิเศษนั้นด้วยมือของฉันเอง


.....


ต้องพ่นยาซะหน่อยไหม นั่น แมลงมากินแล้ว”

ฉันกลับมามองต้นถั่วในปัจจุบันของฉัน ที่บางใบกำลังเว้าแหว่งจากแมลงบางชนิด ฉันนั่งดูมันใกล้ๆ หน้าตามันคล้ายแมลงวันแต่ตัวเล็กกว่ามาก ท่าทางไม่เหมือนสัตว์ที่ชอบกินใบถั่วสักเท่าไหร่เลย แต่ฉันก็มองหาแมลงตัวอื่นไม่เจอ


เพื่อนบ้านมายืนส่องๆ หัวเราะขำๆ ให้กับความเห่อที่ฉันมี พลางแนะนำวิธีการดูแล ฉันตอบเธอไปเบาๆ ว่า อยากลองปลูกให้มันเติบโตตามธรรมชาติดู หรือไม่ก็ผลิตปุ๋ยชีวภาพให้เติบโต ส่วนสูตรกันแมลงยังไม่ได้ศึกษาดูเลย เธอไม่ได้ว่าอะไร เอาแต่ยิ้มให้กำลังใจ ก่อนที่จะเดินกลับบ้านเธอไป ได้ยินเธอเอ่ยเบาๆ ปนเสียงหัวเราะว่า

ระวังถั่ววิเศษจะไม่มีฝัก”

 

 

 

บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
เมื่อหลายสิบปีก่อน เมื่อชายวัยกลางคนคนหนึ่งมาปลูกบ้านอยู่ริมแม่น้ำ เขายิ้มให้กับชีวิตพลางบอกลูกเมียว่า อยากกินปลามื้อไหนขอให้บอก จะเอาตัวเล็กตัวใหญ่ แค่คว้าแห คว้าไซ เบ็ดตกปลา หรือเดินดุ่มลงไปยกยอ ไม่เกิน 15 เท่านั้น ก็จะมีปลามาแกงได้ทั้งหม้อน้ำแม่โก๋นข้างบ้านพ่อชุม
วาดวลี
๑.นอนพักเถิด มวลมิตร ที่ชิดใกล้เก็บแรงไว้คุ้ยหาเศษอาหารฟ้าสวยสวย พื้นที่กว้าง ที่กลางลานคือสวรรค์สถาน ของผองเราอย่าไปเครียด จริงจัง เลยวันพรุ่งเดี๋ยวก็รุ่ง เดี๋ยวก็ค่ำ เหมือนวันเก่ารู้วิถี ตัวตน บนทางเราอย่าเกะกะใครเขาก็เท่านั้นเราเป็นชนกลุ่มน้อยด้อยในโลกจะส่งซึ่ง ภาษาโศก ภาษาขันก็หามีใครฟังเจ้าทั้งนั้นคนอื่นล้วน สื่อสารกัน ภาษาเขา
วาดวลี
“เขาขนทรายกันตรงไหนคะ”ฉันเอ่ยถามเสียงเบาๆ หากจะให้เดาก็คงเป็นที่วัด แต่วัดในบริเวณนี้มีตั้งหลายแห่ง และก็ไม่ได้อยู่ติดกับแม่น้ำแบบวัดใหญ่ของอีกฝั่งฟากถนน วัดใหญ่นั้น ตีเขตไปเป็นอีกตำบล อีกอำเภอหนึ่ง ซึ่งเดาได้ว่า คนในหมู่บ้านฉัน คงไม่ได้ไปทำบุญกันที่นั่น พี่สาวใจดีข้างบ้าน บอกฉันทุกเรื่อง ในสิ่งที่ฉันสงสัย จะว่าไป มีเพียงครอบครัวเดียวที่ฉันรู้จักมักคุ้น แม้จะย้ายบ้านมาได้หลายเดือนแล้ว คนอื่นๆ ส่วนใหญ่ ออกไปใช้ชีวิตประจำวันนอกบ้าน เราเจอกันยามค่ำ ก็ยิ้มให้กันไปมา แล้วต่างแยกย้ายกันไป แค่เวลา 2 ทุ่มกว่า ทั้งหมู่บ้านก็เงียบสนิท มีเพียงฉันที่เปิดไฟทำงานจนถึงดึกดื่นจะสงกรานต์แล้ว…
วาดวลี
“ฝนกำลังตกซิๆ”เสียงตามสายโทรศัพท์จากเพื่อนหนุ่มที่ฉันเคยเขียนถึงเมื่อตอนที่แล้ว เอ่ยบอกเล่าเบาๆ ถึงสิ่งที่กำลังอยู่ในชีวิตเขาของในเช้าวันนี้คนทางนี้เรียกสายฝนด้วยคำนั้น “ฝนตกซิๆ” บางครั้ง ฉันก็ชอบลักษณะฝนอย่างว่า ด้วยเป็นคนที่ชอบอยู่บ้าน จะมีอะไรสุขใจไปกว่าการได้นั่งดูสายฝนที่ไม่มีลมแรงๆ ให้ต้องหวาดกลัว อากาศเย็นสบาย จิบชาอุ่นๆ แล้วนั่งทำงาน แต่ก็อดเห็นใจไม่ได้ ถึงคนที่กำลังเดินทาง หรือคนทำมาค้าขาย  อาการฝนตกซิๆ นั่นคือเรื่องรำคาญใจ และรบกวนการทำงานอย่างยิ่ง วูบนั้น ฉันก็นึกไปถึง ป้ายสุภาษิตหน้าวัดต้นปิน ซึ่งเขียนไว้บนแผ่นไม้ติดผนังวัดว่า “ฝนตกซิๆ นานเอื้อน หมาขี้เรื้อน นานต๋าย”…
วาดวลี
“ผมจะย้ายกลับบ้านเกิดแล้วนะ” อีกครั้ง ที่เพื่อนชายคนเดิม คนที่ฉันเคยช่วยเก็บข้าวของเมื่อปีก่อน บอกกับฉันในต้นปลายเดือนมีนาคมของปีนี้ถึงเรื่องการย้ายกลับภูมิลำเนาเกิดไปยังอำเภอฝาง บ่ายที่แดดจัดจ้านนั้น ฉันจำได้ดีถึงประกายนัยน์ตามุ่งมั่นของเขา เมื่อหกเดือนที่แล้ว ................  
วาดวลี
อาจด้วยความเมตตาของผืนฟ้า และความปราณีของผืนดิน ที่ยังคงให้เราได้หายใจหายคอได้อยู่  ทั้งที่ “อะไรที่มองไม่เห็นในอากาศ” นั้น กำลังมาบอกอย่างโต้งๆ ว่า โลกไม่ใช่แค่กำลังร้อน แต่มันกำลังเสื่อมสลายและผุกร่อน“ขี่รถไปไหนแสบตามากเลย หายใจไม่ค่อยออก”คนรู้จักของฉันเล่าให้ฟัง ฉันได้แต่พยักหน้าเห็นด้วย เพราะอาการก็ไม่ต่างกัน เมื่อวานนี้ ฉันซ้อนมอเตอร์ไซค์คนที่บ้านขี่เลียบน้ำปิงไปยังเขตเมือง ใบไม้ร่วงกราวจากพายุที่ก่อตัวตั้งเค้ามาในช่วงบ่าย ใบไม้แห้งสีน้ำตาลกรอบกระจายไปถ้วนทั่วท้องถนนและผืนหญ้าบนสวนสาธารณะ บางแห่งพัดปลิวเอาเศษกระดาษ ถุงพลาสติก วนอยู่ในอากาศ ก่อนจะร่วงไปตกลงในลำน้ำปิง…
วาดวลี
หลายปีก่อน หญิงสาวรูปร่างบางตาคมคนหนึ่ง ซึ่งเป็นรุ่นน้อง เอ่ยกับฉันว่าการหอบสัมภาระเพื่อย้ายจาก “บ้านเช่า” ไป “บ้านใหม่” ที่เธอเป็นเจ้าของนั้น ต้องเก็บไปให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้กลายเป็นภาระของคนมาทีหลัง “อะไรเอาไปได้ก็เอาไป ยกเว้นก็แต่ต้นไม้ มันโตจนเกินกว่าที่จะขุดขึ้นมา”ฉันไม่มีโอกาสไปเยี่ยมเธอเลยในหลายปีมานี้ แต่พอจะรับรู้ได้ว่า คนรักต้นไม้แบบเธอนั้นเพียรพยายามปลูกสารพัดต้นไม้เท่าที่ผืนดินจะอำนวย นอกจากต้นโมก ดอกแก้ว หรือพลูด่างแล้วเธอยังมีพืชสวนครัว เช่น ตะไคร้ พริก โหระพา เพื่อเอาไว้ทำกับข้าว แต่ฉันเดาเอาว่าเธอคงปลูกทั้งต้นมะม่วง จำปี กระทั่งฝรั่งหรือขนุน…
วาดวลี
"มีลูกแมวเพิ่งออกลูกตั้งหลายตัวแน่ะ""มันอยู่ตรงไหนคะ" "นั่นไง หลบอยู่หลังป้ายหาเสียงน่ะ"คนบอกชี้นิ้วไปยังบริเวณริมรั้วที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ฉันอดไม่ได้ ที่จะจำใจมองไปยังป้ายโฆษณาหาเสียงขนาดใหญ่ สูงท่วมหัวตั้งโด่เด่อยู่เพียงอันเดียวในหมู่บ้าน  ป้ายอันนั้นทำด้วยไม้อัดเรียงต่อกัน แปะทับเข้าไปด้วยไวนิลพิมพ์ภาพ 4 สีสดใส ใบหน้าผุดผ่อง ขาวนวลและริมฝีปากแดงระเรื่อ ดูมีอำนาจวาสนาและความรู้ แต่ในเมื่อไม่มีป้ายหาเสียงของใครอื่นมาเทียบเคียงอีกเลย ฉันจึงคิดเล่นๆว่า  ดูท่าทางเขาไม่ใช่ผู้ลงสมัครระดับธรรมดา และบ้านหลังนั้นที่มีรถหาเสียงหลายๆ คันทยอยกันมาจอดชุมนุม…
วาดวลี
“เธอดูโน่นสิ แดดออกแล้ว แต่ฝนยังตกอยู่เลย”ฉันเอ่ยเสียงดัง แล้วละสายตาจากคอมพิวเตอร์ ออกมายืนยังประตูบ้าน กลิ่นไอฝนกระทบกับผืนดินแตะปลายจมูก  สูดกลิ่นเข้าไปเต็มปอด พลางพิจารณาแสงแดดที่ค่อยๆ มาแทนที่อย่างเชื่องช้าคนข้างกายลุกขึ้นบ้าง เราสองคนออกมายืนดูสายฝน ที่มีเม็ดเล็กลงเรื่อยๆ ตกช้าลง ช้าลง จนกระทั่งหยุดตก เหลือไว้เพียงก็รอยหมาดฝนบนผืนดิน ใบไม้ และทางเดิน “แบบนี้ต้องมีรุ้งกินน้ำแน่ๆ หิวข้าวหรือยัง”
“อ้าว เกี่ยวกันยังไง” ฉันทำหน้าเบ๋อ พุ่งตัวเข้าไปใกล้เธอในระยะประชิด“แปลว่าเราออกไปหาอะไรกิน แล้วไปดูรุ้งกินน้ำด้วยไง”ฉันยิ้มกริ่ม ถ้าเธอมีเวลาอยู่กับฉันทุกวันก็คงจะดี นานๆ หน…
วาดวลี
ก่อนหน้านี้หลายสัปดาห์แล้วล่ะ  ที่ฉันไปยืนอยู่ตรงนั้นแล้วพยายามจะนับดูว่า ดอกทิวลิปที่ก้านอวบ กลีบสวย ในสวนตรงนี้ มีจำนวนกี่สีกันแน่มวลหมู่ไม้มากมาย พืชพันธุ์ทั้งไทยและฝรั่ง ผลิบานแสดงความแข็งแรงต่ออากาศหนาวยามเช้า และแดดจัดยามบ่ายในบริเวณสวนสาธารณะของหาดเชียงราย แม้มันจะไม่ได้เกิดและเติบโตที่นั่น แต่ถูกเพาะปลูกเลี้ยงดูด้วยการทดลอง กระทั่งเมื่อสำเร็จผล ก็ถูกขนย้าย มาลงบนผืนดินชั่วคราวเพื่อแสดงงานดอกไม้ดอกทิวลิป ลิลลี่ บานชื่อพันธุ์ใหม่ และดอกไม้ชื่อแปลกหูอีกหลายชนิด เบ่งบานอวดสีสันอยู่ไม่ไกลนักจากลำน้ำกกที่พากันไหลอ้อยสร้อย เชื่องช้าไม่เพียงแต่ทดสอบความทนทานของดอกไม้ต่ออากาศเท่านั้น…
วาดวลี
อากาศขมุกขมัว เริ่มต้นมาได้หลายวันแล้ว ขณะที่หมอกบางเพิ่งจางลงไปในตอนเช้า ตอนสายๆ ของฤดูหนาวกลับมีเม็ดฝนมาเยือน คนในครอบครัวต้องปรับตัวในการออกไปทำงาน  ด้วยการใส่ทั้งเสื้อกันหนาวและเสื้อกันฝน ส่วนฉัน ขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปติดอยู่ที่แผงขายผักเล็กๆ ในหมู่บ้าน คุณยายมองดูสายฝนที่หนาหนักลงมา แล้วก็ถอนหายใจ"อย่าเพิ่งกลับเลยหนู รอให้ฝนซาก่อน"เขาบอกฉันอย่างมีไมตรี แล้วชวนให้เข้าไปหลบฝนด้านในร้าน เหลือบไปมองถนน บางคนฝ่าเม็ดฝนไปไม่กลัวเปียก บางคนทำท่าเก้ๆ กังๆแล้วบทสนทนาของฝนหลงฤดูก็เกิดขึ้น"มันแปลกจริงๆ ฝนจะมาช่วงนี้ได้ยังไง""อากาศวิปริต""จะเข้าหน้าร้อนแล้วก็แบบนี้แหละ ฝนหัวปี""เฮ้ย ยังไม่ถึง"…
วาดวลี
ผู้ชายคนนั้นเหมือนไม่สนใจใครเลยเขาย่ำเท้าหนักๆ ลงบนผืนทราย บุ๋มเป็นรอยเท้าทับซ้อนกันไปมา เขาง่วนอยู่กับข้าวของบางอย่างตรงหน้า แต่ฉันไม่คิดว่าเขาจะลืม ว่าเวลาที่ตะวันยามเช้าสะท้อนแม่น้ำจนเป็นสีเหลืองนวลนั้นสวยงามเพียงใดหาดทรายริมแม่น้ำโขงที่ฉันมาเยือน อยู่ในความสนใจของนักเดินทาง โลกนัดเวลาให้เราไว้แล้ว สำหรับการตื่นในที่แปลกถิ่นและออกมาสูดอากาศ หากตื่นเช้ากว่าใครเพื่อน เราจะมองเห็น ผู้คนทยอยโผล่หน้าออกจากเกสเฮาส์ที่เรียงรายกันตลอดริมฝั่ง บ้างก็ลงมาเดินเล่น บ้างก็กางขาตั้งกล้องรอเอาไว้ เพื่อจะได้กดชัตเตอร์เมื่อดวงตะวันกลมโตสีแดงโผล่พ้นทิวเขาหลังแม่น้ำขึ้นมา…