Skip to main content

 

ฉันนั่งมองกลีบดอกไม้สีชมพูที่หน้าตาเหมือนๆ กัน ผ่านทางกระจกรถ ขณะคิดในใจว่า เดือนกุมภาพันธ์ที่ฉันรักได้เปลี่ยนไปหมดแล้ว เดือนที่อากาศเย็นแสนทรมานจะค่อยๆ คลายตัวลงเป็นเย็นสบายกำลังดี ดอกไม้สีเหลือง สีขาว สีส้ม และสีชมพูจะบานสะพรั่งเต็มต้น เรียงรายตลอดถนน แสงแดดเช้าและบ่ายนั้นสวยงาม เช่นเดียวกับท้องฟ้าที่โปร่งใส มีก้อนเมฆสีขาวฟูฟ่องลอยไปมา


แต่ความเป็นจริงเวลานี้คือวิทยุกำลังประกาศซ้ำๆ เรื่องมลภาวะเป็นพิษเพราะหมอกควัน และเน้นย้ำให้เราป้องกันตัวเองด้วยการสวมหน้ากากป้องกันฝุ่น


ฉันเงยหน้ามองผ่านดอกไม้ที่มีใบหรอมแรมและกลีบบางๆ ซึ่งบานไม่ตรงฤดูกาล บางต้นบานไปแล้วและร่วงไปแล้ว บางต้นยังไม่มีวี่แววจะอวดกลีบสวย เหนือขึ้นไปท้องฟ้ามีแต่ความหม่นมัว และนอกกระจกมีแต่อากาศสีเทาๆ และแดดที่ร้อนระอุ ภายในรถมีเครื่องปรับอากาศที่ทำงานหนัก และตัวเลขอัตราน้ำมันซึ่งบอกเราว่าแม้จะอยากประหยัดเพียงใด แต่การขี่มอเตอร์ไซต์ในระยะนี้ไม่ปลอดภัยต่อระบบทางเดินหายใจ


นั่นคือหนึ่งในหลายๆ สิ่งที่หาทางเลือกได้น้อย และลงท้ายด้วยเสียงบ่นพึมพำของฉันสลับกับเสียงถามของเพื่อน ที่เธอพยายามจะแยกให้ออกระหว่าง ดอกตะแบก ชงโค เสลา และกัลปพฤกษ์ ซึ่งมีหน้าตาคล้ายๆ กัน

....


เรากำลังมุ่งหน้าไปยังถนนคนเดิน สถานที่ซึ่งฉันไม่ได้ไปมานานแล้ว ทั้งที่สมัยที่ฉันย้ายมาอยู่เชียงใหม่แรกๆ มีแต่คนแซวว่าฉันไปทำอะไรได้ทุกอาทิตย์ที่ถนนคนเดิน ฉันบอกเพื่อนว่า ฉันชอบถนนเส้นนี้ มีอะไรมากมายอยู่ในนั้น ทั้งงานศิลปะ ของทำมือ ดนตรี การแสดง ชีวิตของผู้คน และความหวังมากมายบนนั้น ไปทีไรแล้วฉันได้ไอเดียดีๆ กลับมาบ้าน พร้อมความรู้สึกดีๆ อยู่เสมอ


แต่หลายเดือนที่เว้นว่างไป เพราะภาวะ "ความแออัดยัดเยียด" จากฝูงชนที่มากเกินไป ทำให้การเดินเล่นเพลินๆ นั้นไม่ใช่เรื่องผ่อนคลายอีกต่อไปแล้ว เราต้องเตรียมสุขภาพให้ดี ห้ามเป็นหวัด ห้ามเป็นไข้ ถึงจะเหมาะกับการไปเดินเบียดเสียด พร้อมที่จะชน ปะทะ แทรกตัว หลบหลีก รอคอยและแก่งแย่งในการซื้อของ เดินตามกันดีๆ งั้นจะพลัดหลงกับเพื่อน และยังต้องดูแลกระเป๋าให้ดีๆ ไม่งั้นอาจจะโดนล้วงหรือทำหายได้ง่าย


เหตุผลเหล่านี้กระมังทำให้ฉันห่างจากถนนคนเดินไปช่วงใหญ่ๆ แต่วันนี้ ธุระจำเป็นทำให้ฉันต้องไปที่นั่นทั้งที่เป็นเวลาบ่ายและแดดกำลังร้อนจัด ผู้คนยังไม่หนาตามากนัก เพื่อนฉันแปลกใจที่เห็นความกระตือรือร้นของฉันกลับมาใหม่ ฉันเดินละลิ่ว มองสินค้ามากมาย มีงานศิลปะใหม่ๆ มีโปสการ์ดสวยๆ เสื้อยืดลายแปลกๆ ฉันเดินเหงื่อออกเต็มตัวแต่ใจยังสู้ เดินผ่านแม่ค้าที่กำลังวางข้าวของ รถเข็นคันเล็ก คันใหญ่ เสื่อที่เพิ่งปู และเจ้าของแผงที่กำลังเนรมิตพื้นที่ของใครของมันให้มีชีวีตชีวา


พวกเขาใช้ชีวิตในนั้น พื้นที่ไม่กี่ตารางเมตรที่จับจองไว้ทั้งโดยถูกต้อง หรือแบบชั่วคราวรอเจ้าของตัวจริงมาขาย


 

แล้วฉันก็สะดุดอยู่บนถนนเส้นหนึ่งหน้าวัด ยืนนิ่งๆ เมื่อได้ยินเสียงดนตรีพื้นบ้านบรรเลงโดยชายชราสองคน ที่ใส่เสื้อม่อฮ่อม คนหนึ่งกำลังดีดนิ้วลงบนเส้นลวดของ "ซึง" เครื่องดนตรีพื้นเมืองภาคเหนือ อีกคนแตะมือลงบนหนังสีน้ำตาลของ "กลอง" เป็นจังหวะที่อ่อนหวานและไพเราะ ที่คุณลุงสองคนประสานท่วงทำนองต่อกันได้อย่างลงตัว


เพลงนั้น เป็นเพลงที่ฉันได้ยินอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็นึกชื่อไม่ออกเมื่อไม่มีเสียงร้อง เพลงที่มีท่วงทำนองไม่เร็วไม่ช้าเกินไป หากแต่มีทำนองหม่นเศร้าบางอย่างปะปนในเมโลดี้ ฉันหยุดมองสักครู่จึงเห็นกล่องกระดาษใบหนึ่งที่คุณลุงตั้งเอาไว้เพื่อรับบริจาค กล่องกระดาษใบนั้นเขียนไว้ว่า วงดนตรีนั้นชื่อ "วงดาวที่ไร้แสง"


สมาชิกของวงพยายามอย่างสุดฝีมือที่จะเล่นดนตรีให้ดังและเป็นที่พอใจของผู้พบเห็น แกยิ้มน้อยๆ เมื่อได้ยินเสียงของเหรียญกระทบกันอยู่ในกล่อง และโน้มศีรษะคำนับขอบคุณแก่ผู้เอื้อเฟื้อทุกคนที่บังเอิญผ่านมา


ฉันอมยิ้ม แต่เป็นยิ้มที่ไม่ได้เกิดจากความขบขัน เป็นยิ้มที่ฉันให้เขาจากใจ และอยากบอกลุงว่าเขาเล่นดนตรีได้เพราะมาก แต่น่าเสียดายที่มันเป็นยิ้มที่ลุงไม่มีโอกาสได้เห็น เพราะลุงทั้งสองคนตาบอด ดาวที่ไร้แสงของคุณลุง คงหมายถึงดาวดวงหนึ่งที่ไม่อาจมีแสงใดๆ มากระทบให้เกิดภาพ เป็นดาวที่มืดมิดอยู่นิรันดร์กาล บางครั้งมันอาจเป็นดาวที่ไม่มีใครจะเข้าได้ถึงจริงๆ ด้วยซ้ำ และเดาไม่ได้เลยว่าดนตรีจากดาวที่มืดมิดของคุณลุงนั้นสื่อสารอะไรออกมาจากใจได้บ้าง

 

ฉันมีเวลายืนอยู่ตรงนั้นได้ไม่นานนัก แล้วเดินตามเพื่อนไปทำธุระต่อ ขณะที่ก้าวเท้าออกมา เสียงเพลงยังแว่วอยู่ในหู และกังวานอยู่ในใจ


ถัดจากคุณลุงมาไม่กี่ก้าว ฉันยังได้พบกับพี่สาวอีกคนที่นั่งขอทานอยู่กลางถนน และเด็กพิการอีกสองคนที่รอคอยการแบ่งปันจากผู้มาจับจ่ายใช้สอย เธออาจเล่นดนตรีไม่ได้ หรือไม่สามารถแม้แต่จะสื่อสารกับคนอื่น แต่ที่แน่ๆ เธอไม่เคยย่อท้อต่อชีวิต อยู่ที่ตรงนั้น ตอนฉันย่อตัวแบ่งเงินให้เธอ ฉันยังรู้สึกได้ว่าเธอกำลังเงี่ยหูฟังดนตรีจากคุณลุงสองคนเช่นเดียวกัน


ฉันรู้ ภาพที่ชินตาแบบนี้ เราเห็นได้จากถนนหลายสาย แล้วฉันก็จมอยู่ในโลกส่วนตัว มองภาพโปสการ์ดที่แตะลงบนพื้น ผ้าทอที่ถูกคลี่มาแสดง ตุ๊กตาแขวนโตงเตงอยู่บนก้านลวดและเสาไม้ น้ำปั่นและผลไม้ดองบนรถเข็นค่อยๆ เคลื่อนไหวไปมา ทุกอย่างกลายเป็นส่วนประกอบของจังหวะเชื่องช้าในโลกของฉัน


ฉันใช้เวลานั้น สังเกตดวงตาของผู้คนที่ผ่านไปมา ไม่ทุกคนที่จะมองเห็นวงดนตรีดวงดาวที่ไร้แสง แต่ฉันเชื่อว่าทุกคนคงได้ยิน บทเพลงซ้ำซากที่อาจเป็นแค่ส่วนหนึ่งของท้องถนนกว้างใหญ่ แต่ใครจะคิดอย่างฉันไหมหนอ ว่าดวงดาวไร้แสงดวงนั้นกำลังส่องแสงที่มองไม่เห็นไปยังชีวิตอีกหลายชีวิตบนถนนสายเดียวกัน


ดวงดาวไร้แสงที่บอกกับเราว่า โลกที่มืดมิดอาจไม่ได้เป็นสีดำเสมอไป ดาวที่ไม่มีแสงในตัวเอง แต่บางครั้งเมื่อมีแสงอื่นมากระทบ กลับสะท้อนแสงที่สวยที่สุดออกไปให้คนอื่นพบเห็น และเป็นแรงบันดาลใจให้หลายสิ่งหลายอย่างได้งอกงามขึ้นมา

 

ชั่วเวลานั้น ฉันรู้สึกได้ว่าแสงแดดที่ว่าร้อนที่สุดก็กลับเป็นเรื่องธรรมดาไปเสีย เมื่อลองจินตนาการว่า หากฉันอยู่ในโลกมิดมิดแบบนั้นบ้าง ฉันจะทำได้แบบเขาไหม อาจไม่ได้เป็นเรื่องง่ายที่จะดำรงชีวิตประจำวันให้อยู่รอดไปเท่านั้น แต่ยากกว่านั้น คือเรายังจะมองโลกได้สวยงามเหมือนเดิมไหม จะก่นด่าชะตากรรมไปเท่าไหร่ แล้วกลับมาถือซึงและกลองบรรเลงดนตรีให้ความสุขกับคนฟังแบบฟรีๆ อยู่ตรงนี้ทุกๆ อาทิตย์ ตลอดฤดูฝน ฤดูหนาว หรือฤดูร้อน โดยไม่พร่ำบ่นได้หรือไม่


หรือยามที่หมอกและมลพิษคลุมเมืองมากมายก็ยังไม่มีโอกาสได้เห็นหรือเดินหนี

...........



ฉันกลับมาอยู่ในรถอีกครั้ง ระหว่างทางกลับบ้าน แสงตะวันสุดท้ายยังไม่ลับไปจากฟ้า ยังพอให้มองเห็นกลีบดอกไม้ที่บานหรอมแหรมอยู่บนต้นและร่วงอยู่บนพื้น ฉันหันไปอธิบายเพื่อนอีกครั้ง ว่าดอกไม้หลายชนิดที่สีเหมือนกันนั้นต่างกันอย่างไร และมีชื่ออะไรบ้าง และหากมันจะบานผิดฤดูไปบ้าง ก็อย่าได้ผิดหวัง


โลกเป็นแบบนี้ การเปลี่ยนแปลงเป็นแบบนี้ คงมีอีกหลายวิธีที่เราจะช่วยกันแก้ปัญหาต่างๆ ได้ ตราบที่ดวงตาและใจเราไม่ได้มืดบอด


ฉันอมยิ้ม เมื่อเพื่อนถามว่า ไปถนนคนเดินได้อะไรติดมือมาบ้าง แน่นอนฉันไม่ได้ซื้ออะไรเลย แต่ฉันรู้สึกว่าสิ่งที่ได้ติดมือกลับมามีค่ามาก


มากกว่าที่ฉันเองจะคิดถึงด้วยซ้ำ.

บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
1.อากาศยามเช้าหนาวไอเย็นแผ่วเบา พัดมาจากภูเขาสูงผ่านทางไกล ใกล้รุ่งฝ่าหมอกคลุ้งสีเทา-เทา
วาดวลี
ฉันกับเพื่อนหย่อนก้นบนเก้าอี้ไม้ริมถนนของเมืองเชียงของ เราสั่งชานม ชามะนาว และกาแฟมากินให้สดชื่นหลังจากนั่งรถมาเป็นชั่วโมง มองดูผู้คนมาเยือนสวนทางกับเจ้าของท้องถิ่นไปมาในวันหยุด"เรากำลังจะไปที่ไหนต่อ"เพื่อนร่วมทางถามฉัน ฉันเหลือบมองเขา ไม่ตอบ แล้วคว้าหนังสืออ่านเล่นในร้านกาแฟมาเปิดอ่าน เราเพิ่งมาถึง แล้วจะไปไหน เธอถามแปลกจัง ฉันอยากตอบเล่นๆ ว่า เดี๋ยวจะพาเธอไปลงว่ายน้ำโขงเล่นก็แล้วกัน"เราต้องไปกินปลาบึกไหม?"เพื่อนถาม ฉันเกือบสำลักชามะนาว “เธออยากกินเหรอ”ฉันถามกลับ เขาทำหน้าไม่ถูก แต่แววตาลังเล “ก็มีคนบอกว่ามาเชียงของต้องกินปลาบึก”ฉันอมยิ้ม ฉันก็ได้ยินแบบนั้นเหมือนกัน แต่เท่าที่รู้…
วาดวลี
กระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่า กำลังถูกประทับด้วยตราปั๊มสีแดงเพื่อบอก “อนุญาต” ให้ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองไปยังพม่า ผู้คนจำนวนนับร้อยนับพัน ต่อแถวกันอยู่ที่ท่าขี้เหล็กในเขตแม่สายด้วยใบหน้ารอคอย ตั้งแต่ขั้นตอนการทำบัตร ชำระเงิน ตรวจเอกสาร จนกระทั่งพวกเขาจะได้ข้ามพ้นประตูด่านของเจ้าหน้าที่เมื่อนั้น ใบหน้าที่บึ้งตึงก็จะเปลี่ยนเป็น “โล่งอก”ฉันและเพื่อนยืนรออยู่ที่ทำบัตรเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ขณะที่เพื่อนกำลังวาดฝันว่าเขาจะซื้ออะไรบ้างจากฝั่งพม่า ไม่ทันที่จะอ้าปากพูดว่า “เกาะกันไว้นะเดี๋ยวหลง” เพราะคนเยอะขนาดจนมีประกาศหาคนตลอดเวลา ไม่ทันไรฉันก็ถูกดันจากคนข้างหลังให้ขยับเข้าไปข้างหน้า ทั้งที่แถวมันเต็มแล้ว…
วาดวลี
1ฤดูหนาวไม่ได้มาเยือนอย่างเงียบเชียบอีกแล้ว มันแสดงตัวตน ชัดเจน ผ่านอากาศ ต้นไม้ใบหญ้า รอยน้ำค้าง ประทับตรงนั้นตรงนี้  แม้กระทั่งบนขนตาของเธอ  หญิงวัยกลางคนที่ตื่นแต่เช้า ปั่นจักรยานไปตลาด กลับมาพร้อมกับข้าวของในมือที่มากจนจักรยานแทบเสียหลัก เธอจอดรถไว้ข้างๆ รั้ว หิ้วของ วางลง และยกมือเช็ดน้ำค้างบนขนตา2“หนาวมากไหม”เธอเอ่ยถามอย่างอาทร ฉันพยักหน้า อดคิดถึงแม่จริงๆ ของตัวเองไม่ได้ ฉันคงต้องใช้เวลาเป็นวันๆ หากจะคิดถึงฤดูหนาวและการอยู่ร่วมกัน  แค่คิดถึงการซุกตัวใน “ผ้าห่มขี้งา” ร่วมกับแม่ แค่นั้นก็เป็นสุขแล้ว หน้าหนาวพ่อจะให้ฉันนอนตรงกลาง เพื่อให้อุ่นมากพอ …
วาดวลี
1. ผืนดินปกคลุมไปด้วยต้นหญ้า และเป็นต้นหญ้าชนิดที่มีดอกสีขาว ฉันชะงักจอบเสียบที่เตรียมมา ด้วยความอาลัยอาวรณ์ต่อดอกหญ้าที่พากันบานสะพรั่งอวดสายลมหนาว ก็มันสวยขนาดนี้ ฉันจะขุด ตัดมันไปได้อย่างไรกันวางจอบลง แล้วนั่งยองๆ ฉันคว้ากล้องถ่ายรูปมาถ่ายเก็บเอาไว้ นอกจากดอกหญ้าที่บานเต็มที่แล้ว ยังมีต้นกล้าที่เพิ่งถือกำเนิด มันน่ารักดีจัง ฉันยิ้มให้กับต้นหญ้า แม้จะเคาะเขินคนข้างๆ อยู่บ้างที่ทำตัวอ่อนหัดแบบนี้ แต่เขาคงเข้าใจ คนโหยหาผืนดินอย่างฉัน“หญ้าก็คือหญ้า ถ้าไม่ตัดมันทิ้ง เราจะปลูกผักได้ยังไง”เธอช่วยเตือนสติ ฉันกลับมาโลกความจริง นั่นสินะ ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องถางมันทิ้ง “รกจะตาย” เธอว่า…
วาดวลี
ฤดูหนาวยามสาย แสงตะวันทอดผ่านเรือนร่างของผู้คนและตกกระทบเป็นผืนเงา อยู่ตรงนั้นตรงนี้บนถนน ชักชวนให้นักท่องเที่ยวบางคนอดไม่ได้ที่จะถ่ายรูปเงาตัวเองเอาไว้ดูเล่น ฉันเองก็เช่นกัน ย้ายระดับสายตาไปอยู่บนผืนดิน แสงเงาจากผู้คนมากมาย มุ่งหน้าไปยังพระธาตุดอยสุเทพ นักท่องเที่ยวกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย ยิ้มสรวลหยอกล้อ ขอถ่ายรูปคู่กับบันได ประตู ป้าย และร้านค้า ดูเหมือนจะมีแต่เสียงหัวเราะ ตื่นเต้นและความสุข ปนเปื้อนเศษเสี้ยวของความหงุดหงิดรำคาญเล็กน้อย รอยยิ้มกว้างๆ ปรากฏบนใบหน้าของแม่ค้าหลายคน เงินสดถูกเก็บเข้ากระเป๋า ถุงพลาสติกถูกดึงขึ้น ใส่ของ ดึงขึ้นและใส่ของ…
วาดวลี
“หนาวไหมครับ”ชายแปลกหน้าเอ่ยถาม ขณะหย่อนตัวลงนั่งบนแคร่ไม้ เราสองคนอยู่ในที่รกร้างว่างเปล่าของใครสักคนหนึ่ง ฉันอยากเรียกแบบนั้น ทั้งๆ ที่มันคือสถานีรถโดยสารที่จะเดินทางจากตัวเมืองลำปางไปยังแจ้ซ้อนขณะรถเข็นคันหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาหาเรา ฉันตอบผู้ชายคนนั้นสั้นๆว่า “หนาวนะ” เขาอมยิ้ม กระชับเสื้อให้แน่นขึ้นแล้วหยิบขวดน้ำขึ้นมาดื่ม ฉันไม่สนใจเขานัก เอาแต่ควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋า เพื่อจะหยิบมาดูนาฬิกาว่าตอนนี้คือกี่โมงแล้ว แต่ยังหาโทรศัพท์ไม่เจอ ก็เหลือบไปเห็นนาฬิกาขนาดใหญ่เกาะติดอยู่บนต้นไม้ ดูเหมือนจะเป็นต้นมะขาม มันสูงใหญ่ให้ร่มเงาเป็นอย่างดีแก่ท่ารถแห่งนี้…
วาดวลี
ท่ามกลางความมืดของผืนฟ้า  พระจันทร์ดวงกลมโตอวดแสงนวลอยู่บนนั้น แม้คืนนี้มองไม่เห็นดาว  แต่พระจันทร์คงไม่เหงา  ก็บนท้องฟ้า เต็มไปด้วยดวงไฟสีส้มนับร้อย นับพันดวง วาววับ จนไม่อาจนับจำนวนได้ โคมไฟ หรือ ว่าวไฟ ในเทศกาลลอยกระทง ต่างลอยขึ้นไปตามแรงลม และความร้อนจากเปลวไฟเล็กๆ ที่ห้อยอยู่ข้างท้าย แม้คนจุดจะมีทั้งชาวเมืองเชียงใหม่ หรือนักท่องเที่ยวจากเมืองอื่น แต่สิ่งที่ฉันได้รู้ในวันนี้ก็คือ สำหรับคนบางคนแล้ว ดาวสีส้มบางดวงนั้นขึ้นไปตามแรงศรัทธาและความเชื่อที่สั่งสมมาตลอดชีวิต“ได้เวลาจุดไฟกันแล้วนะ” ชายชราคนหนึ่งคนตะโกนบอกหลานชาย หลังจากเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้…
วาดวลี
“พ่อเคยคิดจะย้ายไปอยู่ที่อื่นไหม?”ฉันเคยเอ่ยถามชายชราไว้นานแล้ว ไม่จริงจังในคำพูด และไม่มีประเด็นอะไรมากนัก ฉันเพียงแต่อยากรู้ว่าเขาคิดอย่างไร ในวันรื้อถอนบ้านเก่าที่ผุพังเพราะน้ำท่วม จำเป็นต้องสร้างหลังใหม่มาแทนที่ ............ที่ดินของเราเป็นผืนยาวติดแม่น้ำเล็กๆ ซื้อมาด้วยเงินก้อนใหญ่ที่สุดในชีวิตของแม่ ราคาไม่กี่พันบาท ฉันย้ายมาอยู่ในตอนที่อายุ 7 ขวบ  เวลาต่อมา คืนหนึ่งแม่ก็เสียชีวิตในบ้านหลังนี้ ตายจากไปเหลือเพียงเถ้าถ่าน ร่างกายถูกเผากลางแดดด้วยฟืนกองโต จำได้ว่าหลังจากคืนเผาศพแม่ไม่นานนัก บ้านทั้งหลังเงียบสงบ…
วาดวลี
ผู้หญิงคนนั้นกำลังฉุน ส่วนหญิงสาวอีกคนในชุดกระโปรงสีชมพู มีท่าทางไม่สบายใจอารมณ์ขุ่นเคืองปะทุในแดดระอุของยามบ่าย  ขณะนั้น  ฉันฝ่าไอร้อนมาจอดรถหน้าร้านค้าของนวลเมื่อวานนี้ฉันขอให้เธอช่วยรื้อลังเก่าๆ ใบใหญ่ๆ ไว้ให้  เพื่อซื้อไปใส่ของขนย้ายบ้านนวลกำลังยุ่ง ยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก แต่ก็ยังมีแก่ใจกระซิบบอกด้วยเสียงอ่อนโยนเช่นเคย“รอหน่อยนะ แม่กำลังหาลังใบใหญ่ให้ ไม่ได้ลืม เดี๋ยวคงเอาลงมา”“แม่เหรอ?”ฉันทวนคำ นวลกำลังพูดถึงใครกันนะ ก็เธอจากบ้านมาไกลจากพม่า มาทำงานในร้านขายของชำ ทุกทีนวลเรียกเจ้าของร้านผู้ชายว่า เฮีย และเรียกพี่ผู้หญิงว่า เจ๊ ฉันยังไม่ได้ถาม แต่เธอคงจะดูแววตาออก…
วาดวลี
เพิงผักสดหน้าวัดในตอนเช้า กำลังแปรสภาพเป็นร้านเหล้าในยามค่ำ ตะวันยังไม่แตะดินดี เคาน์เตอร์ไม้เล็กๆ ก็มีลูกค้ามารอแล้วเกือบเต็มร้านชายวัยกลางคนกระดกเหล้าขาวจากแก้วทรงเหลี่ยมอยู่หน้าเพิงป้าแดง  ไม่ยี่หระต่อสายตาเมียที่ยืนค้อนอยู่ด้านหลังเธอยืนเท้าสะเอวเหมือนแม่บ้านในการ์ตูน มองสามีเงียบๆ แล้วก็เอ่ยด้วยเสียงห้วนสั้น“กระดกเข้าไป บอกว่าให้กินข้าวรองท้องก่อน ป้าแดงเอาแกงอ่อมมาถ้วยหนึ่ง”เธอไม่ได้สั่งกลับบ้าน แต่สั่งให้สามี ป้าแดงตักแกงจากหม้อใส่ชาม วางไว้บนเคาน์เตอร์ไม้ แล้วรับเงินจากผู้เป็นภรรยา เธอจากไปพร้อมผักกาดกำใหญ่ในมือ“เดี๋ยวข้ากลับไปกินข้าว” “อือ”สามีภรรยาตอบกันห้วนสั้น…
วาดวลี
๑.ฤดูมาเร็ว ราวกระพริบตารู้สึกดังว่า เพิ่งผ่านเมื่อวานฝนหมาดถนน เพิ่งโดนแดดทักลมหนาวก็พัดมาจุมพิตผ่านแม่น้ำสีเหลืองลำเลียงเศษไม้เผลอมองวูบไหวหัวใจสะท้านฝนพอหรือยัง? หรือคั่งค้างอยู่รอการพรั่งพรู ไหลมาท่วมบ้าน  ๒.ต้นข้าวสีเขียว เคยซีดเซียวยับนิ่งงันสดับ กับทางน้ำผ่านเจ้าชูช่อใหม่ ในตุลาฤดูไม่อาจหยั่งรู้ หรือไม่คิดสะท้าน?ผีเสื้อกลัวไหม ไอหนาวจะมาหอบหมอกห่มฟ้า พัดป่าแห้งกร้านควันคลุ้งคลุมเมือง กลายเป็นเรื่องเล่าไฟฟอนแผดเผา เราไม่อาจต้าน  ๓.ไปหมดแล้วหรือ ที่คือฝันร้ายปัดกวาดบ้านใหม่ ไว้รอเพื่อนบ้านกลางคืนสงบ รอพบวันพรุ่งหวังเห็นสายรุ้ง ลา-วสันต์กาลรอยฝนกันยา ตุลารำลึกลบความคิดนึก…