Skip to main content

 

ฉันนั่งมองกลีบดอกไม้สีชมพูที่หน้าตาเหมือนๆ กัน ผ่านทางกระจกรถ ขณะคิดในใจว่า เดือนกุมภาพันธ์ที่ฉันรักได้เปลี่ยนไปหมดแล้ว เดือนที่อากาศเย็นแสนทรมานจะค่อยๆ คลายตัวลงเป็นเย็นสบายกำลังดี ดอกไม้สีเหลือง สีขาว สีส้ม และสีชมพูจะบานสะพรั่งเต็มต้น เรียงรายตลอดถนน แสงแดดเช้าและบ่ายนั้นสวยงาม เช่นเดียวกับท้องฟ้าที่โปร่งใส มีก้อนเมฆสีขาวฟูฟ่องลอยไปมา


แต่ความเป็นจริงเวลานี้คือวิทยุกำลังประกาศซ้ำๆ เรื่องมลภาวะเป็นพิษเพราะหมอกควัน และเน้นย้ำให้เราป้องกันตัวเองด้วยการสวมหน้ากากป้องกันฝุ่น


ฉันเงยหน้ามองผ่านดอกไม้ที่มีใบหรอมแรมและกลีบบางๆ ซึ่งบานไม่ตรงฤดูกาล บางต้นบานไปแล้วและร่วงไปแล้ว บางต้นยังไม่มีวี่แววจะอวดกลีบสวย เหนือขึ้นไปท้องฟ้ามีแต่ความหม่นมัว และนอกกระจกมีแต่อากาศสีเทาๆ และแดดที่ร้อนระอุ ภายในรถมีเครื่องปรับอากาศที่ทำงานหนัก และตัวเลขอัตราน้ำมันซึ่งบอกเราว่าแม้จะอยากประหยัดเพียงใด แต่การขี่มอเตอร์ไซต์ในระยะนี้ไม่ปลอดภัยต่อระบบทางเดินหายใจ


นั่นคือหนึ่งในหลายๆ สิ่งที่หาทางเลือกได้น้อย และลงท้ายด้วยเสียงบ่นพึมพำของฉันสลับกับเสียงถามของเพื่อน ที่เธอพยายามจะแยกให้ออกระหว่าง ดอกตะแบก ชงโค เสลา และกัลปพฤกษ์ ซึ่งมีหน้าตาคล้ายๆ กัน

....


เรากำลังมุ่งหน้าไปยังถนนคนเดิน สถานที่ซึ่งฉันไม่ได้ไปมานานแล้ว ทั้งที่สมัยที่ฉันย้ายมาอยู่เชียงใหม่แรกๆ มีแต่คนแซวว่าฉันไปทำอะไรได้ทุกอาทิตย์ที่ถนนคนเดิน ฉันบอกเพื่อนว่า ฉันชอบถนนเส้นนี้ มีอะไรมากมายอยู่ในนั้น ทั้งงานศิลปะ ของทำมือ ดนตรี การแสดง ชีวิตของผู้คน และความหวังมากมายบนนั้น ไปทีไรแล้วฉันได้ไอเดียดีๆ กลับมาบ้าน พร้อมความรู้สึกดีๆ อยู่เสมอ


แต่หลายเดือนที่เว้นว่างไป เพราะภาวะ "ความแออัดยัดเยียด" จากฝูงชนที่มากเกินไป ทำให้การเดินเล่นเพลินๆ นั้นไม่ใช่เรื่องผ่อนคลายอีกต่อไปแล้ว เราต้องเตรียมสุขภาพให้ดี ห้ามเป็นหวัด ห้ามเป็นไข้ ถึงจะเหมาะกับการไปเดินเบียดเสียด พร้อมที่จะชน ปะทะ แทรกตัว หลบหลีก รอคอยและแก่งแย่งในการซื้อของ เดินตามกันดีๆ งั้นจะพลัดหลงกับเพื่อน และยังต้องดูแลกระเป๋าให้ดีๆ ไม่งั้นอาจจะโดนล้วงหรือทำหายได้ง่าย


เหตุผลเหล่านี้กระมังทำให้ฉันห่างจากถนนคนเดินไปช่วงใหญ่ๆ แต่วันนี้ ธุระจำเป็นทำให้ฉันต้องไปที่นั่นทั้งที่เป็นเวลาบ่ายและแดดกำลังร้อนจัด ผู้คนยังไม่หนาตามากนัก เพื่อนฉันแปลกใจที่เห็นความกระตือรือร้นของฉันกลับมาใหม่ ฉันเดินละลิ่ว มองสินค้ามากมาย มีงานศิลปะใหม่ๆ มีโปสการ์ดสวยๆ เสื้อยืดลายแปลกๆ ฉันเดินเหงื่อออกเต็มตัวแต่ใจยังสู้ เดินผ่านแม่ค้าที่กำลังวางข้าวของ รถเข็นคันเล็ก คันใหญ่ เสื่อที่เพิ่งปู และเจ้าของแผงที่กำลังเนรมิตพื้นที่ของใครของมันให้มีชีวีตชีวา


พวกเขาใช้ชีวิตในนั้น พื้นที่ไม่กี่ตารางเมตรที่จับจองไว้ทั้งโดยถูกต้อง หรือแบบชั่วคราวรอเจ้าของตัวจริงมาขาย


 

แล้วฉันก็สะดุดอยู่บนถนนเส้นหนึ่งหน้าวัด ยืนนิ่งๆ เมื่อได้ยินเสียงดนตรีพื้นบ้านบรรเลงโดยชายชราสองคน ที่ใส่เสื้อม่อฮ่อม คนหนึ่งกำลังดีดนิ้วลงบนเส้นลวดของ "ซึง" เครื่องดนตรีพื้นเมืองภาคเหนือ อีกคนแตะมือลงบนหนังสีน้ำตาลของ "กลอง" เป็นจังหวะที่อ่อนหวานและไพเราะ ที่คุณลุงสองคนประสานท่วงทำนองต่อกันได้อย่างลงตัว


เพลงนั้น เป็นเพลงที่ฉันได้ยินอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็นึกชื่อไม่ออกเมื่อไม่มีเสียงร้อง เพลงที่มีท่วงทำนองไม่เร็วไม่ช้าเกินไป หากแต่มีทำนองหม่นเศร้าบางอย่างปะปนในเมโลดี้ ฉันหยุดมองสักครู่จึงเห็นกล่องกระดาษใบหนึ่งที่คุณลุงตั้งเอาไว้เพื่อรับบริจาค กล่องกระดาษใบนั้นเขียนไว้ว่า วงดนตรีนั้นชื่อ "วงดาวที่ไร้แสง"


สมาชิกของวงพยายามอย่างสุดฝีมือที่จะเล่นดนตรีให้ดังและเป็นที่พอใจของผู้พบเห็น แกยิ้มน้อยๆ เมื่อได้ยินเสียงของเหรียญกระทบกันอยู่ในกล่อง และโน้มศีรษะคำนับขอบคุณแก่ผู้เอื้อเฟื้อทุกคนที่บังเอิญผ่านมา


ฉันอมยิ้ม แต่เป็นยิ้มที่ไม่ได้เกิดจากความขบขัน เป็นยิ้มที่ฉันให้เขาจากใจ และอยากบอกลุงว่าเขาเล่นดนตรีได้เพราะมาก แต่น่าเสียดายที่มันเป็นยิ้มที่ลุงไม่มีโอกาสได้เห็น เพราะลุงทั้งสองคนตาบอด ดาวที่ไร้แสงของคุณลุง คงหมายถึงดาวดวงหนึ่งที่ไม่อาจมีแสงใดๆ มากระทบให้เกิดภาพ เป็นดาวที่มืดมิดอยู่นิรันดร์กาล บางครั้งมันอาจเป็นดาวที่ไม่มีใครจะเข้าได้ถึงจริงๆ ด้วยซ้ำ และเดาไม่ได้เลยว่าดนตรีจากดาวที่มืดมิดของคุณลุงนั้นสื่อสารอะไรออกมาจากใจได้บ้าง

 

ฉันมีเวลายืนอยู่ตรงนั้นได้ไม่นานนัก แล้วเดินตามเพื่อนไปทำธุระต่อ ขณะที่ก้าวเท้าออกมา เสียงเพลงยังแว่วอยู่ในหู และกังวานอยู่ในใจ


ถัดจากคุณลุงมาไม่กี่ก้าว ฉันยังได้พบกับพี่สาวอีกคนที่นั่งขอทานอยู่กลางถนน และเด็กพิการอีกสองคนที่รอคอยการแบ่งปันจากผู้มาจับจ่ายใช้สอย เธออาจเล่นดนตรีไม่ได้ หรือไม่สามารถแม้แต่จะสื่อสารกับคนอื่น แต่ที่แน่ๆ เธอไม่เคยย่อท้อต่อชีวิต อยู่ที่ตรงนั้น ตอนฉันย่อตัวแบ่งเงินให้เธอ ฉันยังรู้สึกได้ว่าเธอกำลังเงี่ยหูฟังดนตรีจากคุณลุงสองคนเช่นเดียวกัน


ฉันรู้ ภาพที่ชินตาแบบนี้ เราเห็นได้จากถนนหลายสาย แล้วฉันก็จมอยู่ในโลกส่วนตัว มองภาพโปสการ์ดที่แตะลงบนพื้น ผ้าทอที่ถูกคลี่มาแสดง ตุ๊กตาแขวนโตงเตงอยู่บนก้านลวดและเสาไม้ น้ำปั่นและผลไม้ดองบนรถเข็นค่อยๆ เคลื่อนไหวไปมา ทุกอย่างกลายเป็นส่วนประกอบของจังหวะเชื่องช้าในโลกของฉัน


ฉันใช้เวลานั้น สังเกตดวงตาของผู้คนที่ผ่านไปมา ไม่ทุกคนที่จะมองเห็นวงดนตรีดวงดาวที่ไร้แสง แต่ฉันเชื่อว่าทุกคนคงได้ยิน บทเพลงซ้ำซากที่อาจเป็นแค่ส่วนหนึ่งของท้องถนนกว้างใหญ่ แต่ใครจะคิดอย่างฉันไหมหนอ ว่าดวงดาวไร้แสงดวงนั้นกำลังส่องแสงที่มองไม่เห็นไปยังชีวิตอีกหลายชีวิตบนถนนสายเดียวกัน


ดวงดาวไร้แสงที่บอกกับเราว่า โลกที่มืดมิดอาจไม่ได้เป็นสีดำเสมอไป ดาวที่ไม่มีแสงในตัวเอง แต่บางครั้งเมื่อมีแสงอื่นมากระทบ กลับสะท้อนแสงที่สวยที่สุดออกไปให้คนอื่นพบเห็น และเป็นแรงบันดาลใจให้หลายสิ่งหลายอย่างได้งอกงามขึ้นมา

 

ชั่วเวลานั้น ฉันรู้สึกได้ว่าแสงแดดที่ว่าร้อนที่สุดก็กลับเป็นเรื่องธรรมดาไปเสีย เมื่อลองจินตนาการว่า หากฉันอยู่ในโลกมิดมิดแบบนั้นบ้าง ฉันจะทำได้แบบเขาไหม อาจไม่ได้เป็นเรื่องง่ายที่จะดำรงชีวิตประจำวันให้อยู่รอดไปเท่านั้น แต่ยากกว่านั้น คือเรายังจะมองโลกได้สวยงามเหมือนเดิมไหม จะก่นด่าชะตากรรมไปเท่าไหร่ แล้วกลับมาถือซึงและกลองบรรเลงดนตรีให้ความสุขกับคนฟังแบบฟรีๆ อยู่ตรงนี้ทุกๆ อาทิตย์ ตลอดฤดูฝน ฤดูหนาว หรือฤดูร้อน โดยไม่พร่ำบ่นได้หรือไม่


หรือยามที่หมอกและมลพิษคลุมเมืองมากมายก็ยังไม่มีโอกาสได้เห็นหรือเดินหนี

...........



ฉันกลับมาอยู่ในรถอีกครั้ง ระหว่างทางกลับบ้าน แสงตะวันสุดท้ายยังไม่ลับไปจากฟ้า ยังพอให้มองเห็นกลีบดอกไม้ที่บานหรอมแหรมอยู่บนต้นและร่วงอยู่บนพื้น ฉันหันไปอธิบายเพื่อนอีกครั้ง ว่าดอกไม้หลายชนิดที่สีเหมือนกันนั้นต่างกันอย่างไร และมีชื่ออะไรบ้าง และหากมันจะบานผิดฤดูไปบ้าง ก็อย่าได้ผิดหวัง


โลกเป็นแบบนี้ การเปลี่ยนแปลงเป็นแบบนี้ คงมีอีกหลายวิธีที่เราจะช่วยกันแก้ปัญหาต่างๆ ได้ ตราบที่ดวงตาและใจเราไม่ได้มืดบอด


ฉันอมยิ้ม เมื่อเพื่อนถามว่า ไปถนนคนเดินได้อะไรติดมือมาบ้าง แน่นอนฉันไม่ได้ซื้ออะไรเลย แต่ฉันรู้สึกว่าสิ่งที่ได้ติดมือกลับมามีค่ามาก


มากกว่าที่ฉันเองจะคิดถึงด้วยซ้ำ.

บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
เมื่อหลายสิบปีก่อน เมื่อชายวัยกลางคนคนหนึ่งมาปลูกบ้านอยู่ริมแม่น้ำ เขายิ้มให้กับชีวิตพลางบอกลูกเมียว่า อยากกินปลามื้อไหนขอให้บอก จะเอาตัวเล็กตัวใหญ่ แค่คว้าแห คว้าไซ เบ็ดตกปลา หรือเดินดุ่มลงไปยกยอ ไม่เกิน 15 เท่านั้น ก็จะมีปลามาแกงได้ทั้งหม้อน้ำแม่โก๋นข้างบ้านพ่อชุม
วาดวลี
๑.นอนพักเถิด มวลมิตร ที่ชิดใกล้เก็บแรงไว้คุ้ยหาเศษอาหารฟ้าสวยสวย พื้นที่กว้าง ที่กลางลานคือสวรรค์สถาน ของผองเราอย่าไปเครียด จริงจัง เลยวันพรุ่งเดี๋ยวก็รุ่ง เดี๋ยวก็ค่ำ เหมือนวันเก่ารู้วิถี ตัวตน บนทางเราอย่าเกะกะใครเขาก็เท่านั้นเราเป็นชนกลุ่มน้อยด้อยในโลกจะส่งซึ่ง ภาษาโศก ภาษาขันก็หามีใครฟังเจ้าทั้งนั้นคนอื่นล้วน สื่อสารกัน ภาษาเขา
วาดวลี
“เขาขนทรายกันตรงไหนคะ”ฉันเอ่ยถามเสียงเบาๆ หากจะให้เดาก็คงเป็นที่วัด แต่วัดในบริเวณนี้มีตั้งหลายแห่ง และก็ไม่ได้อยู่ติดกับแม่น้ำแบบวัดใหญ่ของอีกฝั่งฟากถนน วัดใหญ่นั้น ตีเขตไปเป็นอีกตำบล อีกอำเภอหนึ่ง ซึ่งเดาได้ว่า คนในหมู่บ้านฉัน คงไม่ได้ไปทำบุญกันที่นั่น พี่สาวใจดีข้างบ้าน บอกฉันทุกเรื่อง ในสิ่งที่ฉันสงสัย จะว่าไป มีเพียงครอบครัวเดียวที่ฉันรู้จักมักคุ้น แม้จะย้ายบ้านมาได้หลายเดือนแล้ว คนอื่นๆ ส่วนใหญ่ ออกไปใช้ชีวิตประจำวันนอกบ้าน เราเจอกันยามค่ำ ก็ยิ้มให้กันไปมา แล้วต่างแยกย้ายกันไป แค่เวลา 2 ทุ่มกว่า ทั้งหมู่บ้านก็เงียบสนิท มีเพียงฉันที่เปิดไฟทำงานจนถึงดึกดื่นจะสงกรานต์แล้ว…
วาดวลี
“ฝนกำลังตกซิๆ”เสียงตามสายโทรศัพท์จากเพื่อนหนุ่มที่ฉันเคยเขียนถึงเมื่อตอนที่แล้ว เอ่ยบอกเล่าเบาๆ ถึงสิ่งที่กำลังอยู่ในชีวิตเขาของในเช้าวันนี้คนทางนี้เรียกสายฝนด้วยคำนั้น “ฝนตกซิๆ” บางครั้ง ฉันก็ชอบลักษณะฝนอย่างว่า ด้วยเป็นคนที่ชอบอยู่บ้าน จะมีอะไรสุขใจไปกว่าการได้นั่งดูสายฝนที่ไม่มีลมแรงๆ ให้ต้องหวาดกลัว อากาศเย็นสบาย จิบชาอุ่นๆ แล้วนั่งทำงาน แต่ก็อดเห็นใจไม่ได้ ถึงคนที่กำลังเดินทาง หรือคนทำมาค้าขาย  อาการฝนตกซิๆ นั่นคือเรื่องรำคาญใจ และรบกวนการทำงานอย่างยิ่ง วูบนั้น ฉันก็นึกไปถึง ป้ายสุภาษิตหน้าวัดต้นปิน ซึ่งเขียนไว้บนแผ่นไม้ติดผนังวัดว่า “ฝนตกซิๆ นานเอื้อน หมาขี้เรื้อน นานต๋าย”…
วาดวลี
“ผมจะย้ายกลับบ้านเกิดแล้วนะ” อีกครั้ง ที่เพื่อนชายคนเดิม คนที่ฉันเคยช่วยเก็บข้าวของเมื่อปีก่อน บอกกับฉันในต้นปลายเดือนมีนาคมของปีนี้ถึงเรื่องการย้ายกลับภูมิลำเนาเกิดไปยังอำเภอฝาง บ่ายที่แดดจัดจ้านนั้น ฉันจำได้ดีถึงประกายนัยน์ตามุ่งมั่นของเขา เมื่อหกเดือนที่แล้ว ................  
วาดวลี
อาจด้วยความเมตตาของผืนฟ้า และความปราณีของผืนดิน ที่ยังคงให้เราได้หายใจหายคอได้อยู่  ทั้งที่ “อะไรที่มองไม่เห็นในอากาศ” นั้น กำลังมาบอกอย่างโต้งๆ ว่า โลกไม่ใช่แค่กำลังร้อน แต่มันกำลังเสื่อมสลายและผุกร่อน“ขี่รถไปไหนแสบตามากเลย หายใจไม่ค่อยออก”คนรู้จักของฉันเล่าให้ฟัง ฉันได้แต่พยักหน้าเห็นด้วย เพราะอาการก็ไม่ต่างกัน เมื่อวานนี้ ฉันซ้อนมอเตอร์ไซค์คนที่บ้านขี่เลียบน้ำปิงไปยังเขตเมือง ใบไม้ร่วงกราวจากพายุที่ก่อตัวตั้งเค้ามาในช่วงบ่าย ใบไม้แห้งสีน้ำตาลกรอบกระจายไปถ้วนทั่วท้องถนนและผืนหญ้าบนสวนสาธารณะ บางแห่งพัดปลิวเอาเศษกระดาษ ถุงพลาสติก วนอยู่ในอากาศ ก่อนจะร่วงไปตกลงในลำน้ำปิง…
วาดวลี
หลายปีก่อน หญิงสาวรูปร่างบางตาคมคนหนึ่ง ซึ่งเป็นรุ่นน้อง เอ่ยกับฉันว่าการหอบสัมภาระเพื่อย้ายจาก “บ้านเช่า” ไป “บ้านใหม่” ที่เธอเป็นเจ้าของนั้น ต้องเก็บไปให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้กลายเป็นภาระของคนมาทีหลัง “อะไรเอาไปได้ก็เอาไป ยกเว้นก็แต่ต้นไม้ มันโตจนเกินกว่าที่จะขุดขึ้นมา”ฉันไม่มีโอกาสไปเยี่ยมเธอเลยในหลายปีมานี้ แต่พอจะรับรู้ได้ว่า คนรักต้นไม้แบบเธอนั้นเพียรพยายามปลูกสารพัดต้นไม้เท่าที่ผืนดินจะอำนวย นอกจากต้นโมก ดอกแก้ว หรือพลูด่างแล้วเธอยังมีพืชสวนครัว เช่น ตะไคร้ พริก โหระพา เพื่อเอาไว้ทำกับข้าว แต่ฉันเดาเอาว่าเธอคงปลูกทั้งต้นมะม่วง จำปี กระทั่งฝรั่งหรือขนุน…
วาดวลี
"มีลูกแมวเพิ่งออกลูกตั้งหลายตัวแน่ะ""มันอยู่ตรงไหนคะ" "นั่นไง หลบอยู่หลังป้ายหาเสียงน่ะ"คนบอกชี้นิ้วไปยังบริเวณริมรั้วที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ฉันอดไม่ได้ ที่จะจำใจมองไปยังป้ายโฆษณาหาเสียงขนาดใหญ่ สูงท่วมหัวตั้งโด่เด่อยู่เพียงอันเดียวในหมู่บ้าน  ป้ายอันนั้นทำด้วยไม้อัดเรียงต่อกัน แปะทับเข้าไปด้วยไวนิลพิมพ์ภาพ 4 สีสดใส ใบหน้าผุดผ่อง ขาวนวลและริมฝีปากแดงระเรื่อ ดูมีอำนาจวาสนาและความรู้ แต่ในเมื่อไม่มีป้ายหาเสียงของใครอื่นมาเทียบเคียงอีกเลย ฉันจึงคิดเล่นๆว่า  ดูท่าทางเขาไม่ใช่ผู้ลงสมัครระดับธรรมดา และบ้านหลังนั้นที่มีรถหาเสียงหลายๆ คันทยอยกันมาจอดชุมนุม…
วาดวลี
“เธอดูโน่นสิ แดดออกแล้ว แต่ฝนยังตกอยู่เลย”ฉันเอ่ยเสียงดัง แล้วละสายตาจากคอมพิวเตอร์ ออกมายืนยังประตูบ้าน กลิ่นไอฝนกระทบกับผืนดินแตะปลายจมูก  สูดกลิ่นเข้าไปเต็มปอด พลางพิจารณาแสงแดดที่ค่อยๆ มาแทนที่อย่างเชื่องช้าคนข้างกายลุกขึ้นบ้าง เราสองคนออกมายืนดูสายฝน ที่มีเม็ดเล็กลงเรื่อยๆ ตกช้าลง ช้าลง จนกระทั่งหยุดตก เหลือไว้เพียงก็รอยหมาดฝนบนผืนดิน ใบไม้ และทางเดิน “แบบนี้ต้องมีรุ้งกินน้ำแน่ๆ หิวข้าวหรือยัง”
“อ้าว เกี่ยวกันยังไง” ฉันทำหน้าเบ๋อ พุ่งตัวเข้าไปใกล้เธอในระยะประชิด“แปลว่าเราออกไปหาอะไรกิน แล้วไปดูรุ้งกินน้ำด้วยไง”ฉันยิ้มกริ่ม ถ้าเธอมีเวลาอยู่กับฉันทุกวันก็คงจะดี นานๆ หน…
วาดวลี
ก่อนหน้านี้หลายสัปดาห์แล้วล่ะ  ที่ฉันไปยืนอยู่ตรงนั้นแล้วพยายามจะนับดูว่า ดอกทิวลิปที่ก้านอวบ กลีบสวย ในสวนตรงนี้ มีจำนวนกี่สีกันแน่มวลหมู่ไม้มากมาย พืชพันธุ์ทั้งไทยและฝรั่ง ผลิบานแสดงความแข็งแรงต่ออากาศหนาวยามเช้า และแดดจัดยามบ่ายในบริเวณสวนสาธารณะของหาดเชียงราย แม้มันจะไม่ได้เกิดและเติบโตที่นั่น แต่ถูกเพาะปลูกเลี้ยงดูด้วยการทดลอง กระทั่งเมื่อสำเร็จผล ก็ถูกขนย้าย มาลงบนผืนดินชั่วคราวเพื่อแสดงงานดอกไม้ดอกทิวลิป ลิลลี่ บานชื่อพันธุ์ใหม่ และดอกไม้ชื่อแปลกหูอีกหลายชนิด เบ่งบานอวดสีสันอยู่ไม่ไกลนักจากลำน้ำกกที่พากันไหลอ้อยสร้อย เชื่องช้าไม่เพียงแต่ทดสอบความทนทานของดอกไม้ต่ออากาศเท่านั้น…
วาดวลี
อากาศขมุกขมัว เริ่มต้นมาได้หลายวันแล้ว ขณะที่หมอกบางเพิ่งจางลงไปในตอนเช้า ตอนสายๆ ของฤดูหนาวกลับมีเม็ดฝนมาเยือน คนในครอบครัวต้องปรับตัวในการออกไปทำงาน  ด้วยการใส่ทั้งเสื้อกันหนาวและเสื้อกันฝน ส่วนฉัน ขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปติดอยู่ที่แผงขายผักเล็กๆ ในหมู่บ้าน คุณยายมองดูสายฝนที่หนาหนักลงมา แล้วก็ถอนหายใจ"อย่าเพิ่งกลับเลยหนู รอให้ฝนซาก่อน"เขาบอกฉันอย่างมีไมตรี แล้วชวนให้เข้าไปหลบฝนด้านในร้าน เหลือบไปมองถนน บางคนฝ่าเม็ดฝนไปไม่กลัวเปียก บางคนทำท่าเก้ๆ กังๆแล้วบทสนทนาของฝนหลงฤดูก็เกิดขึ้น"มันแปลกจริงๆ ฝนจะมาช่วงนี้ได้ยังไง""อากาศวิปริต""จะเข้าหน้าร้อนแล้วก็แบบนี้แหละ ฝนหัวปี""เฮ้ย ยังไม่ถึง"…
วาดวลี
ผู้ชายคนนั้นเหมือนไม่สนใจใครเลยเขาย่ำเท้าหนักๆ ลงบนผืนทราย บุ๋มเป็นรอยเท้าทับซ้อนกันไปมา เขาง่วนอยู่กับข้าวของบางอย่างตรงหน้า แต่ฉันไม่คิดว่าเขาจะลืม ว่าเวลาที่ตะวันยามเช้าสะท้อนแม่น้ำจนเป็นสีเหลืองนวลนั้นสวยงามเพียงใดหาดทรายริมแม่น้ำโขงที่ฉันมาเยือน อยู่ในความสนใจของนักเดินทาง โลกนัดเวลาให้เราไว้แล้ว สำหรับการตื่นในที่แปลกถิ่นและออกมาสูดอากาศ หากตื่นเช้ากว่าใครเพื่อน เราจะมองเห็น ผู้คนทยอยโผล่หน้าออกจากเกสเฮาส์ที่เรียงรายกันตลอดริมฝั่ง บ้างก็ลงมาเดินเล่น บ้างก็กางขาตั้งกล้องรอเอาไว้ เพื่อจะได้กดชัตเตอร์เมื่อดวงตะวันกลมโตสีแดงโผล่พ้นทิวเขาหลังแม่น้ำขึ้นมา…