Skip to main content


 

1.

"ผมชอบรถคันนั้นจริงๆ"

เพื่อนชายวัย 33 ปีของฉันบอก หลังจากนั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่นานหลายชั่วโมง ภาพเวบไซต์แห่งหนึ่งปรากฏภาพรถคันเล็กๆ สีขาวทั้งคัน เป็นรถเฟี๊ยสที่ฉันจำปี พ.ศ.และรุ่นไม่ได้ รู้แต่ว่ามันน่าจะมีอายุเกือบเท่าๆ เขาด้วยซ้ำ


เขาทำหน้าพึงพอใจเห็นได้ชัด สารภาพกับฉันว่าไม่ใช่แค่หลายชั่วโมงหรอกที่เขาเฝ้ามองรถคันนี้ แต่เป็นหลายสัปดาห์มาแล้ว

"มันเป็นรถโบราณ หายาก เป็นรถเก่าแบบที่ผมชอบ และที่สำคัญมันราคาถูกมาก แค่สองหมื่นบาทเท่านั้น"

ฉันนั่งฟังเป็นความรู้ใหม่ นอกจากไม่ถนัดเรื่องเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าในตลาดรถเก่านั้น สีไหน ยี่ห้อไหนจะหายากกว่ากัน ฉันถามเขาไปว่า

"แบบนี้มันต้องซ่อมอีกไหม ไหนบอกว่าอยากได้รถเอาไว้เดินทางไกลๆ ข้ามจังหวัด มันจะไหวเหรอ"


ดวงตาเขาเป็นประกาย คำถามนั้นช่วยให้เขาวางแผนระยะไกลได้ชัดมากขึ้น เขาบอกว่าดูสภาพแล้วก็รู้ว่าจะต้องซ่อมอะไรบ้าง ตกแต่งให้ดีหรือลงทุนเสียหน่อย ขายต่ออีกทอดก็ยังได้กำไร แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือมันเป็นรถในฝัน อย่างไรเสียเขาก็คงไม่ขายมันไปง่ายๆ

"อีกอย่าง รถถูกๆ แบบนี้ผมซ่อมเองได้บ้าง ประหยัดเงินกว่าซื้อรถใหม่หลายเท่าตัว เศรษฐกิจแบบนี้ต้องพอเพียง เราก็ต้องไม่ใช้งานมันหนัก มันจะได้อยู่กันไปนานๆ"


นั่นเป็นหตุผลให้ไม่กี่วันต่อมา เพื่อนของฉันวิงวอนให้เราสามสี่คนเดินทางไปกับเขา เพื่อซื้อขายรับรถคันนี้กันที่ภาคกลาง เราตื่นกันแต่เช้า นั่งยัดกันไปในกระบะคันหนึ่งของเพื่อน เตรียมอุปกรณ์ลากรถเผื่อไว้ ทั้งเชือก เหล็ก ไฟฉาย แบตเตอรี่สำรอง และน้ำมัน พากันออกจากเชียงใหม่ตั้งแต่ตีห้า


เด็กสาวเพิ่งจบการศึกษาซึ่งเป็นแฟนเขา ยังมีสีหน้างัวเงียเหมือนเด็กน้อยนอนไม่อิ่ม นั่งหอบตุ๊กตามากอดแล้วหลับอยู่ในรถ ตลอดทางเราคุยถึงรถคันนั้น เพื่อนก็ตอบคำถามได้หมด เรื่องระบบการขับเคลื่อน ขนาดตัวถัง สัญญาเช่าขาย อู่ที่จะนำไปซ่อมปรับปรุง ทุกอย่างอยู่ในหัวเขาหมดแล้วพร้อมเงินจำนวนหนึ่งที่เตรียมไว้


การเดินทางนั้นยาวไกลหลายชั่วโมง เราลากรถคันนั้นกลับมาถึงเชียงใหม่ในเวลาตีสี่ ตลอดทางไม่มีใครได้แวะกินอะไรเพราะกลัวฝนจะตก เพื่อนลากยาวฝ่าความมืดตอนกลางคืนมาด้วยท่าทีคึกคักไม่มีตก ยามดึกที่แล่นผ่านถนนอันเปล่าเปลี่ยว ฉันยังเผลอมองเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าและดวงตาเขาไม่มีคลาย จนนึกได้ว่า ความรักและความฝันของคนนั้นมีแรงผลักมากกว่าที่เราคิด และบางครั้งมันก็ทำให้คนลืมความเหนื่อยอื่นใดไปได้หมด


ไม่มีใครคิดเลยว่า นับจากวันนั้นไป เรากลับไม่ได้เห็นรอยยิ้มนั้นของเขาอีก

..................


 

 

2.

"อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ"

เพื่อนของฉันบอก หลังจากลากรถไปซ่อมยังอู่ไกลๆ แห่งหนึ่ง เราพากันไปส่งเจ้ารถสีขาวด้วยความหวังว่ามันจะแล่นได้เหมือนเดิม

แต่จากวันนั้นนับเดือน มันยังไม่มีทีท่าที่จะวิ่งได้ เพราะไม่มีอะไหล่ซ่อม เพื่อนของฉันเปลี่ยนแผนโดยการมอบรถคันนี้ให้นักศึกษาฝึกซ่อมนำมันไปฝึกหัดทำสี เขาระดมเด็กๆ ที่อยากหาอะไรเล่นมาทำสีรถจนใหม่เอี่ยม วาววับสวยงามดี แต่เพื่อนก็ทำหน้าหงุดหงิดนิดหน่อยที่ฝีมือการทำไม่เนี๊ยบเรียบร้อยอย่างที่คิด


เขาเริ่มต้นชีวิตอันหมกมุ่น ตื่นแต่เช้า ไปเยี่ยมรถที่อู่ นอนสอดตัวเข้าไปช่องท้องสำรวจอะไหล่ เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปทั่วด้วยน้ำมันรถสีดำๆ ไม่มีใครชวนเขาไปไหนได้ นอกจากอู่รถ ส่วนเวลาที่เหลือเขาจะเฝ้านั่งดูรายการสินค้าอะไหล่ทางอินเตอร์เน็ตว่าของที่สั่งจะปรากฏคนขายอยู่ที่ไหนบ้าง เขาวนเวียนขับรถเข้าออกร้านค้าทั่วเชียงใหม่ เริ่มโดดงานเพื่อจัดการธุระด้วยรถคันนั้น และเขาก็เริ่มทะเลาะกับเพื่อน


สายวันหนึ่ง แฟนสาวของเขาขี่มอเตอร์ไซค์มาหาฉันที่บ้าน แววตาเธอแดงๆ เหมือนคนเพิ่งผ่านการร้องไห้มา

"พี่ช่วยพูดกับแฟนหนูหน่อยได้ไหม...เขาไม่สนใจอะไรเลยนอกจากรถ แล้วก็ทะเลาะกับเพื่อนไปสามคน"

"พ่อของเขาโมโหมากที่ไม่ยอมซ่อมรถเก่า แต่เอาเงินมาลงกับรถคันนี้หมด"

"พี่เขาเครียดมาก ไม่ยอมกินข้าว โมโหว่าเมื่อไหร่มันจะแล่นได้สักที เปลี่ยนอู่มาแล้ว 3 รอบ"

ฯลฯ

 

อีกหลายประโยคและเรื่องราวที่สะท้อนปัญหาทั้งการเงิน ความสัมพันธ์ เวลา และหลายอย่างที่ทำให้เพื่อนบางคนจำใจยื่นมือเข้าไปช่วย หลายเดือนนับจากนั้น ฉันจำได้ว่า เขาลากรถไปซ่อมในอู่ต่างๆ อีกไม่ต่ำกว่า 5 แห่ง ไม่มีใครเห็นรอยยิ้มของเขาอีกแล้ว ทุกๆ วันมีแต่ความมึนตึง เพื่อนฝูงช่วยกันระดมคนมาปรับปรุงซ่อมแซมมันจากสภาพรถเก่าๆ เคลื่อนที่ไม่ได้ มาถึงวันแรกที่มันสามารถเดินทางมาเยี่ยมฉันที่บ้านได้


แต่ก็ยังไม่มีรอยยิ้มของเขาอยู่ดี คิ้วของเขาขมวดเป็นปม ตลอดเวลาที่อยู่ที่บ้าน เขาไม่ได้นั่งเลยสักนาที แต่ปูเสื่อสอดตัวไปใต้รถเหมือนเคย เมื่อซ่อมเครื่องยนต์เสร็จ เขาก็คิดจะปรับปรุงสี เมื่อทำเสร็จก็อยากแก้ไขแอร์ ปรับปรุงเครื่องเสียง เปลี่ยนกระจก เปลี่ยนคิ้วขอบหน้าต่าง ฉันได้แต่นิ่งพิจารณาความเป็นไปในการซ่อมแซมรถสักคนหนึ่ง และความเป็นไปในใจเขา ซึ่งให้เหตุผลไว้ว่า

"มันเป็นรถในฝันของผม คันแรก และคันเดียวเท่านั้น"


จริงหรือ ที่มนุษย์มีความฝันแล้วต้องทำให้มันสำเร็จ
?

ฉันตั้งคำถามขึ้นเงียบๆ มองดูแมวที่กระโดดไปฝนเล็บในรถเขาด้วยแววตากังวล อุ้มแมวกลับมาแล้วจำเป็นต้องดุ เพราะเห็นหน้าเพื่อนมึนตึง แฟนสาวของเขาฟุบหลับอยู่ที่เก้าอี้ มือของเธอเปื้อนน้ำมันรถเล็กน้อย และสภาพบอกว่าหมดพลังแล้วที่จะต่อสู้กับการทะเลาะกันอีก


วันนั้นทั้งวันเรานั่งคุยกันโดยเขาอยู่ในรถ กระทั่งแดดบ่ายสาดเข้ามาเต็มแรง เขาจึงท้อถอยด้วยการเดินออกมาแล้วขอลากลับ เพื่อจะไปคุยกับอู่รถต่อ


ฉันได้แต่พยักหน้า แฟนสาวของเขามองฉันอย่างวิงวอน เหมือนจะขอร้องอะไรสักอย่าง ฉันกลับปิดปากเงียบ มันเป็นความฝันของเขามิใช่หรือ ความฝันที่เราต่างมีแตกต่างกัน และแทรกตัวไปอยู่ในนั้นได้ยาก แม้จะมีอยู่เสี้ยววินาทีหนึ่ง ที่ฉันนึกอยากกลายเป็นคนที่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่น พูดอะไรสักคำให้เขาถอยห่างจากรถคันนั้นเสียบ้าง ฉันว่ายังมีรถอีกมากกระมังที่เหมาะสมกับเขา หรือน่าจะมีเรื่องอื่นอีกบ้างกระมัง ที่จะเป็นความฝันของเขา


สุดท้ายฉันก็ไม่ได้พูดอะไร กระทั่งผ่านไปอีกราว 4 เดือน เพื่อนของฉันหายไปจากชีวิต เราแทบไม่ได้ติดต่อหรือพูดคุยกัน ไม่มีใครเห็นเขาหรือพูดถึงเขา เมื่อนั้นฉันจึงหาเวลาวันหยุดแวะไปหาเขาที่บ้าน


3.

มองซ้ายมองขวา หารถคันนั้นไม่เจอแล้ว

มันถูกฝากเอาไว้ที่อู่แห่งหนึ่ง พร้อมถ่ายรูปเพื่อนำกลับไปลงในอินเตอร์เน็ตอีกครั้ง เพื่อนของฉันผมยาวคลอบ่า หนวดเครารกครึ้ม เขายิ้มจางๆ เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน แล้วบอกกับฉันด้วยท่าทางของคนยอมแพ้

"ผมตัดสินใจขายมันแล้วล่ะ"

"ฮื่อ...ไม่เสียดายแล้วใช่ไหม"


เขายิ้มแหยๆ ให้ตัวเอง แต่มีประกายตาสำนึกผิดเกิดขึ้นแทน

"ไม่แล้วล่ะ...ผมว่าที่น่าเสียดายไม่ใช่รถคันนั้นหรอก แต่เป็นอย่างอื่น"

"อะไรบ้างล่ะ"

"ก็เนี่ย ทะเลาะกับเพื่อนหลายคนจะกลับไปขอโทษเขา เงินก็ใกล้หมด สงสัยขายแล้วจะขาดทุน ส่วนเด็กๆ ที่มาช่วยซ่อมมันท้อแท้กลับไปหมดแล้ว สงสัยต้องไปเลี้ยงเหล้าพวกเขาสักมื้อ"

"อ้อ..."

ฉันแอบยิ้ม เพื่อนของฉันวาง "ความล้มเหลว" ไว้ที่โรงจอดรถด้วยการโยนกล่องอุปกรณ์ลงแรงๆ แล้วเช็ดหน้าด้วยผ้าขนหนูเก่าๆ ก่อนจะขอตัวไปอาบน้ำ

"ไปไหนเหรอวันนี้"

"ผมจะไปขอคืนดีกับแฟนน่ะ"


ฉันเผลอหัวเราะเสียงดังออกมาอย่างไม่เกรงใจเขา แล้วถามเขาว่า

"เลิกกันเพราะความฝันกับรถคันนี้น่ะเหรอ"

เขาหัวเราะตาม น้ำเสียงร่าเริงกลับมาแล้ว แววตาเป็นมิตรกว่าที่เห็นก่อนนี้

"ไม่ใช่เลิกกันเพราะเรื่องรถอย่างเดียวหรอก แต่เป็นเพราะผมเองบ้ามากไปหน่อย ไม่รู้เหมือนกันทำไปได้ไง เอาแต่ใจตัวเองจนคนอื่นเค้าเบื่อกันไปหมด เฮ้อ"

ฉันหัวเราะอีกที นึกขำขึ้นมาเหมือนกัน

"ก็ดีนะที่ยังทันนึกได้"

"ใช่ ผมก็ว่ายังดีนะยังทันนึกได้ ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ฝันจนเสียแฟนเสียเพื่อนเนี่ย ทำไปได้ยังไง"


ฉันมองดูเขา เขาก็มองดูฉัน เราหัวเราะกันอีกครั้ง ก่อนที่ปรากฏร่างของเพื่อนคนเดิมกลับคืนมาอีกครั้ง

 

 

 

บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
1.อากาศยามเช้าหนาวไอเย็นแผ่วเบา พัดมาจากภูเขาสูงผ่านทางไกล ใกล้รุ่งฝ่าหมอกคลุ้งสีเทา-เทา
วาดวลี
ฉันกับเพื่อนหย่อนก้นบนเก้าอี้ไม้ริมถนนของเมืองเชียงของ เราสั่งชานม ชามะนาว และกาแฟมากินให้สดชื่นหลังจากนั่งรถมาเป็นชั่วโมง มองดูผู้คนมาเยือนสวนทางกับเจ้าของท้องถิ่นไปมาในวันหยุด"เรากำลังจะไปที่ไหนต่อ"เพื่อนร่วมทางถามฉัน ฉันเหลือบมองเขา ไม่ตอบ แล้วคว้าหนังสืออ่านเล่นในร้านกาแฟมาเปิดอ่าน เราเพิ่งมาถึง แล้วจะไปไหน เธอถามแปลกจัง ฉันอยากตอบเล่นๆ ว่า เดี๋ยวจะพาเธอไปลงว่ายน้ำโขงเล่นก็แล้วกัน"เราต้องไปกินปลาบึกไหม?"เพื่อนถาม ฉันเกือบสำลักชามะนาว “เธออยากกินเหรอ”ฉันถามกลับ เขาทำหน้าไม่ถูก แต่แววตาลังเล “ก็มีคนบอกว่ามาเชียงของต้องกินปลาบึก”ฉันอมยิ้ม ฉันก็ได้ยินแบบนั้นเหมือนกัน แต่เท่าที่รู้…
วาดวลี
กระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่า กำลังถูกประทับด้วยตราปั๊มสีแดงเพื่อบอก “อนุญาต” ให้ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองไปยังพม่า ผู้คนจำนวนนับร้อยนับพัน ต่อแถวกันอยู่ที่ท่าขี้เหล็กในเขตแม่สายด้วยใบหน้ารอคอย ตั้งแต่ขั้นตอนการทำบัตร ชำระเงิน ตรวจเอกสาร จนกระทั่งพวกเขาจะได้ข้ามพ้นประตูด่านของเจ้าหน้าที่เมื่อนั้น ใบหน้าที่บึ้งตึงก็จะเปลี่ยนเป็น “โล่งอก”ฉันและเพื่อนยืนรออยู่ที่ทำบัตรเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ขณะที่เพื่อนกำลังวาดฝันว่าเขาจะซื้ออะไรบ้างจากฝั่งพม่า ไม่ทันที่จะอ้าปากพูดว่า “เกาะกันไว้นะเดี๋ยวหลง” เพราะคนเยอะขนาดจนมีประกาศหาคนตลอดเวลา ไม่ทันไรฉันก็ถูกดันจากคนข้างหลังให้ขยับเข้าไปข้างหน้า ทั้งที่แถวมันเต็มแล้ว…
วาดวลี
1ฤดูหนาวไม่ได้มาเยือนอย่างเงียบเชียบอีกแล้ว มันแสดงตัวตน ชัดเจน ผ่านอากาศ ต้นไม้ใบหญ้า รอยน้ำค้าง ประทับตรงนั้นตรงนี้  แม้กระทั่งบนขนตาของเธอ  หญิงวัยกลางคนที่ตื่นแต่เช้า ปั่นจักรยานไปตลาด กลับมาพร้อมกับข้าวของในมือที่มากจนจักรยานแทบเสียหลัก เธอจอดรถไว้ข้างๆ รั้ว หิ้วของ วางลง และยกมือเช็ดน้ำค้างบนขนตา2“หนาวมากไหม”เธอเอ่ยถามอย่างอาทร ฉันพยักหน้า อดคิดถึงแม่จริงๆ ของตัวเองไม่ได้ ฉันคงต้องใช้เวลาเป็นวันๆ หากจะคิดถึงฤดูหนาวและการอยู่ร่วมกัน  แค่คิดถึงการซุกตัวใน “ผ้าห่มขี้งา” ร่วมกับแม่ แค่นั้นก็เป็นสุขแล้ว หน้าหนาวพ่อจะให้ฉันนอนตรงกลาง เพื่อให้อุ่นมากพอ …
วาดวลี
1. ผืนดินปกคลุมไปด้วยต้นหญ้า และเป็นต้นหญ้าชนิดที่มีดอกสีขาว ฉันชะงักจอบเสียบที่เตรียมมา ด้วยความอาลัยอาวรณ์ต่อดอกหญ้าที่พากันบานสะพรั่งอวดสายลมหนาว ก็มันสวยขนาดนี้ ฉันจะขุด ตัดมันไปได้อย่างไรกันวางจอบลง แล้วนั่งยองๆ ฉันคว้ากล้องถ่ายรูปมาถ่ายเก็บเอาไว้ นอกจากดอกหญ้าที่บานเต็มที่แล้ว ยังมีต้นกล้าที่เพิ่งถือกำเนิด มันน่ารักดีจัง ฉันยิ้มให้กับต้นหญ้า แม้จะเคาะเขินคนข้างๆ อยู่บ้างที่ทำตัวอ่อนหัดแบบนี้ แต่เขาคงเข้าใจ คนโหยหาผืนดินอย่างฉัน“หญ้าก็คือหญ้า ถ้าไม่ตัดมันทิ้ง เราจะปลูกผักได้ยังไง”เธอช่วยเตือนสติ ฉันกลับมาโลกความจริง นั่นสินะ ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องถางมันทิ้ง “รกจะตาย” เธอว่า…
วาดวลี
ฤดูหนาวยามสาย แสงตะวันทอดผ่านเรือนร่างของผู้คนและตกกระทบเป็นผืนเงา อยู่ตรงนั้นตรงนี้บนถนน ชักชวนให้นักท่องเที่ยวบางคนอดไม่ได้ที่จะถ่ายรูปเงาตัวเองเอาไว้ดูเล่น ฉันเองก็เช่นกัน ย้ายระดับสายตาไปอยู่บนผืนดิน แสงเงาจากผู้คนมากมาย มุ่งหน้าไปยังพระธาตุดอยสุเทพ นักท่องเที่ยวกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย ยิ้มสรวลหยอกล้อ ขอถ่ายรูปคู่กับบันได ประตู ป้าย และร้านค้า ดูเหมือนจะมีแต่เสียงหัวเราะ ตื่นเต้นและความสุข ปนเปื้อนเศษเสี้ยวของความหงุดหงิดรำคาญเล็กน้อย รอยยิ้มกว้างๆ ปรากฏบนใบหน้าของแม่ค้าหลายคน เงินสดถูกเก็บเข้ากระเป๋า ถุงพลาสติกถูกดึงขึ้น ใส่ของ ดึงขึ้นและใส่ของ…
วาดวลี
“หนาวไหมครับ”ชายแปลกหน้าเอ่ยถาม ขณะหย่อนตัวลงนั่งบนแคร่ไม้ เราสองคนอยู่ในที่รกร้างว่างเปล่าของใครสักคนหนึ่ง ฉันอยากเรียกแบบนั้น ทั้งๆ ที่มันคือสถานีรถโดยสารที่จะเดินทางจากตัวเมืองลำปางไปยังแจ้ซ้อนขณะรถเข็นคันหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาหาเรา ฉันตอบผู้ชายคนนั้นสั้นๆว่า “หนาวนะ” เขาอมยิ้ม กระชับเสื้อให้แน่นขึ้นแล้วหยิบขวดน้ำขึ้นมาดื่ม ฉันไม่สนใจเขานัก เอาแต่ควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋า เพื่อจะหยิบมาดูนาฬิกาว่าตอนนี้คือกี่โมงแล้ว แต่ยังหาโทรศัพท์ไม่เจอ ก็เหลือบไปเห็นนาฬิกาขนาดใหญ่เกาะติดอยู่บนต้นไม้ ดูเหมือนจะเป็นต้นมะขาม มันสูงใหญ่ให้ร่มเงาเป็นอย่างดีแก่ท่ารถแห่งนี้…
วาดวลี
ท่ามกลางความมืดของผืนฟ้า  พระจันทร์ดวงกลมโตอวดแสงนวลอยู่บนนั้น แม้คืนนี้มองไม่เห็นดาว  แต่พระจันทร์คงไม่เหงา  ก็บนท้องฟ้า เต็มไปด้วยดวงไฟสีส้มนับร้อย นับพันดวง วาววับ จนไม่อาจนับจำนวนได้ โคมไฟ หรือ ว่าวไฟ ในเทศกาลลอยกระทง ต่างลอยขึ้นไปตามแรงลม และความร้อนจากเปลวไฟเล็กๆ ที่ห้อยอยู่ข้างท้าย แม้คนจุดจะมีทั้งชาวเมืองเชียงใหม่ หรือนักท่องเที่ยวจากเมืองอื่น แต่สิ่งที่ฉันได้รู้ในวันนี้ก็คือ สำหรับคนบางคนแล้ว ดาวสีส้มบางดวงนั้นขึ้นไปตามแรงศรัทธาและความเชื่อที่สั่งสมมาตลอดชีวิต“ได้เวลาจุดไฟกันแล้วนะ” ชายชราคนหนึ่งคนตะโกนบอกหลานชาย หลังจากเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้…
วาดวลี
“พ่อเคยคิดจะย้ายไปอยู่ที่อื่นไหม?”ฉันเคยเอ่ยถามชายชราไว้นานแล้ว ไม่จริงจังในคำพูด และไม่มีประเด็นอะไรมากนัก ฉันเพียงแต่อยากรู้ว่าเขาคิดอย่างไร ในวันรื้อถอนบ้านเก่าที่ผุพังเพราะน้ำท่วม จำเป็นต้องสร้างหลังใหม่มาแทนที่ ............ที่ดินของเราเป็นผืนยาวติดแม่น้ำเล็กๆ ซื้อมาด้วยเงินก้อนใหญ่ที่สุดในชีวิตของแม่ ราคาไม่กี่พันบาท ฉันย้ายมาอยู่ในตอนที่อายุ 7 ขวบ  เวลาต่อมา คืนหนึ่งแม่ก็เสียชีวิตในบ้านหลังนี้ ตายจากไปเหลือเพียงเถ้าถ่าน ร่างกายถูกเผากลางแดดด้วยฟืนกองโต จำได้ว่าหลังจากคืนเผาศพแม่ไม่นานนัก บ้านทั้งหลังเงียบสงบ…
วาดวลี
ผู้หญิงคนนั้นกำลังฉุน ส่วนหญิงสาวอีกคนในชุดกระโปรงสีชมพู มีท่าทางไม่สบายใจอารมณ์ขุ่นเคืองปะทุในแดดระอุของยามบ่าย  ขณะนั้น  ฉันฝ่าไอร้อนมาจอดรถหน้าร้านค้าของนวลเมื่อวานนี้ฉันขอให้เธอช่วยรื้อลังเก่าๆ ใบใหญ่ๆ ไว้ให้  เพื่อซื้อไปใส่ของขนย้ายบ้านนวลกำลังยุ่ง ยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก แต่ก็ยังมีแก่ใจกระซิบบอกด้วยเสียงอ่อนโยนเช่นเคย“รอหน่อยนะ แม่กำลังหาลังใบใหญ่ให้ ไม่ได้ลืม เดี๋ยวคงเอาลงมา”“แม่เหรอ?”ฉันทวนคำ นวลกำลังพูดถึงใครกันนะ ก็เธอจากบ้านมาไกลจากพม่า มาทำงานในร้านขายของชำ ทุกทีนวลเรียกเจ้าของร้านผู้ชายว่า เฮีย และเรียกพี่ผู้หญิงว่า เจ๊ ฉันยังไม่ได้ถาม แต่เธอคงจะดูแววตาออก…
วาดวลี
เพิงผักสดหน้าวัดในตอนเช้า กำลังแปรสภาพเป็นร้านเหล้าในยามค่ำ ตะวันยังไม่แตะดินดี เคาน์เตอร์ไม้เล็กๆ ก็มีลูกค้ามารอแล้วเกือบเต็มร้านชายวัยกลางคนกระดกเหล้าขาวจากแก้วทรงเหลี่ยมอยู่หน้าเพิงป้าแดง  ไม่ยี่หระต่อสายตาเมียที่ยืนค้อนอยู่ด้านหลังเธอยืนเท้าสะเอวเหมือนแม่บ้านในการ์ตูน มองสามีเงียบๆ แล้วก็เอ่ยด้วยเสียงห้วนสั้น“กระดกเข้าไป บอกว่าให้กินข้าวรองท้องก่อน ป้าแดงเอาแกงอ่อมมาถ้วยหนึ่ง”เธอไม่ได้สั่งกลับบ้าน แต่สั่งให้สามี ป้าแดงตักแกงจากหม้อใส่ชาม วางไว้บนเคาน์เตอร์ไม้ แล้วรับเงินจากผู้เป็นภรรยา เธอจากไปพร้อมผักกาดกำใหญ่ในมือ“เดี๋ยวข้ากลับไปกินข้าว” “อือ”สามีภรรยาตอบกันห้วนสั้น…
วาดวลี
๑.ฤดูมาเร็ว ราวกระพริบตารู้สึกดังว่า เพิ่งผ่านเมื่อวานฝนหมาดถนน เพิ่งโดนแดดทักลมหนาวก็พัดมาจุมพิตผ่านแม่น้ำสีเหลืองลำเลียงเศษไม้เผลอมองวูบไหวหัวใจสะท้านฝนพอหรือยัง? หรือคั่งค้างอยู่รอการพรั่งพรู ไหลมาท่วมบ้าน  ๒.ต้นข้าวสีเขียว เคยซีดเซียวยับนิ่งงันสดับ กับทางน้ำผ่านเจ้าชูช่อใหม่ ในตุลาฤดูไม่อาจหยั่งรู้ หรือไม่คิดสะท้าน?ผีเสื้อกลัวไหม ไอหนาวจะมาหอบหมอกห่มฟ้า พัดป่าแห้งกร้านควันคลุ้งคลุมเมือง กลายเป็นเรื่องเล่าไฟฟอนแผดเผา เราไม่อาจต้าน  ๓.ไปหมดแล้วหรือ ที่คือฝันร้ายปัดกวาดบ้านใหม่ ไว้รอเพื่อนบ้านกลางคืนสงบ รอพบวันพรุ่งหวังเห็นสายรุ้ง ลา-วสันต์กาลรอยฝนกันยา ตุลารำลึกลบความคิดนึก…