Skip to main content

“หนาวไหมครับ”
ชายแปลกหน้าเอ่ยถาม ขณะหย่อนตัวลงนั่งบนแคร่ไม้

เราสองคนอยู่ในที่รกร้างว่างเปล่าของใครสักคนหนึ่ง ฉันอยากเรียกแบบนั้น ทั้งๆ ที่มันคือสถานีรถโดยสารที่จะเดินทางจากตัวเมืองลำปางไปยังแจ้ซ้อน

ขณะรถเข็นคันหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาหาเรา ฉันตอบผู้ชายคนนั้นสั้นๆว่า “หนาวนะ” เขาอมยิ้ม กระชับเสื้อให้แน่นขึ้นแล้วหยิบขวดน้ำขึ้นมาดื่ม ฉันไม่สนใจเขานัก เอาแต่ควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋า เพื่อจะหยิบมาดูนาฬิกาว่าตอนนี้คือกี่โมงแล้ว

แต่ยังหาโทรศัพท์ไม่เจอ ก็เหลือบไปเห็นนาฬิกาขนาดใหญ่เกาะติดอยู่บนต้นไม้

ดูเหมือนจะเป็นต้นมะขาม มันสูงใหญ่ให้ร่มเงาเป็นอย่างดีแก่ท่ารถแห่งนี้ ผิดก็แต่ว่าเวลานี้ฉันต้องการแสงแดดมากกว่าร่มเงา จึงลุกจากแคร่ไม้ไปยืนผิงแดดอยู่ริมถนน

“ลุงคะ รถจะออกกี่โมง”
ฉันถามโซเฟอร์เจ้าของรถ เขากวาดสายตาไปซ้ายทีขวาที ก็หันมาบอกด้วยแววตาเคร่งขรึม
“ถ้าคนครบ 10 คนเมื่อไหร่เราก็ออกเมื่อนั้น แต่ถ้าไม่มีคนอื่นเลย ลุงจะพาไปตอน 11 โมง”
“อ้อ ค่ะ”

อุทานตอบ แล้วก็เหลือบไปมองนาฬิกาอีกครั้ง ขณะนั้นเพิ่ง 9 โมงกว่า มีผู้โดยสารเพียง 2 คน คือฉันและชายหนุ่มคนนั้น
ฉันคว้ากระเป๋าเตรียมออกเดิน ก็เวลา 2 ชั่วโมงนั้นมีอะไรให้ทำมากกว่าจะนั่งรออยู่ที่เดิม

“จะไปไหนหรือ”
ชายแปลกหน้าถามอีก ฉันตอบสั้นๆ “ไปเดินเล่นค่ะ”
ว่าแล้วก็หอบกล้องถ่ายรูปเดินจากมา เมืองลำปางยามที่ร้านรวงค่อยๆ ทยอยเปิดกิจการ ถนนเลียบแม่น้ำ ทะลุไปยังสะพานสีขาวชื่อรัษฎาภิเศก เป็นถนนเล็กๆ ที่ยังคงสภาพบ้านเรือนไม้แบบโบราณเอาไว้ บางคนก็ออกมานั่งผิงแดด ตะโกนคุยกันข้ามถนน เมื่อไปหยุดขอถ่ายรูป เขาก็ยิ้มแย้มมีไมตรีและทักทายอย่างเป็นกันเอง

จากที่เดินเร็วๆ ฉันก็เดินช้าลง จากที่รอว่าเมื่อไหร่จะถึงเวลารถออก ฉันปล่อยตัวเองเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ กว่าจะรู้สึกตัวอีกที เวลาก็ใกล้ 11 โมงแล้ว

“ชอบถ่ายรูปเหรอ”
ชายแปลกหน้าถามฉันอีก ฉันอมยิ้ม เขาคงเห็นฉันสะพายกล้องเดินไปมา ผู้โดยสารคนอื่นๆ เริ่มทยอยกันมา ลุงโชเฟอร์เรียกพวกเราให้ไปขึ้นรถ ทั้งแปลกใจในความบังเอิญ เมื่อชายแปลกหน้าหย่อนก้นลงอีกครั้งข้างๆ ฉัน

“ไปเที่ยวเหรอครับ” เขาถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ค่ะ” ฉันตอบ แล้วพิจารณาตัวเอง การมีกระเป๋าใบโตมาด้วยคงทำให้เขาเดาไม่ยาก
ฉันเริ่มมองข้าวของของเขาบ้าง เขาก็มีกระเป๋าใบโตๆ มาด้วยเหมือนกัน
“ไปเที่ยวเหมือนกันหรือเปล่าคะ”
“เปล่าฮะ ผมกำลังจะกลับบ้าน”

แววตาขณะตอบเปลี่ยนไปแล้ว เขามองไปยังนอกกระจกขณะรถโดยสารสีฟ้าที่เก่าจวนผุพัง ค่อยๆ แล่นตัวออกจากสถานีแห่งนั้น

“อ่อ เป็นคนลำปางเหรอคะ” ฉันตอบรับการสนทนาของเขาบ้าง
“ครับ แต่ผมจากบ้านไปนานแล้ว นานมาก หลายปี ตั้งแต่เด็ก ไปเรียนหนังสือ ไปทำงาน แล้วก็เพิ่งลาออก”
“อ้อ ค่ะ” ฉันต่อบทสนทนาไม่ถูก ได้แต่พยักหน้า ดูเขาคงรู้สึกได้ จึงเปลี่ยนเรื่องที่จะถาม
“ตะกี้ไปถ่ายรูปอะไรมาเหรอ”
“อ๋อ ก็ภาพทั่วๆไป อยากดูไหม”

ฉันกดเปิดกล้องดิจิตอลให้เขาดูภาพไปด้วย แววตาเป็นประกายกลับมาอีกครั้ง ดูเขาตื่นเต้นที่จะเห็นเมือง ผู้คน สายน้ำ และสะพานในบ้านเกิดของเขาเองมากกว่าที่ฉันเป็นเสียอีก

“สวยดีจัง” เขาว่า
“ใช่ น่ารักมาก ชอบนะ ไม่เคยเดินเล่นเหรอ”
“ก็เคยนะ นานมากๆ ตั้งแต่อายุสัก 10 ขวบได้”
“อืม กลับมาอยู่บ้านแล้วนี่ อีกหน่อยคงเห็นจนชินแหละนะ”

ฉันบอกเขาอย่างที่คิด แต่แล้วก็กลับพบแววตาที่แปลกออกไปอีก

เขาเหม่อมองไปยังนอกกระจกอีกครั้ง เอามือถูกันไปมา ฤดูหนาวคงทำให้เขาเป็นหวัด นอกจากจามฮาดชิ้วๆ ติดๆ กันแล้ว เขาก็ยังขยับตัวหันไปมาตลอดเวลา

“อาทิตย์หน้าผมจะไปอยู่ฝรั่งเศสแล้ว เป็นการไปครั้งแรก ไม่รู้จะเป็นอย่างไร”
เขาเอ่ยขึ้น ไม่มีปี่ ไม่มีขลุ่ย ฉันยิ้มให้เขาแล้วก็นิ่งเงียบ จากที่คิดว่าตัวเองเป็นนักเดินทาง ยังต้องไปอีกไกล และชายตรงหน้ากำลังจะได้กลับบ้าน แท้จริงแล้วการเดินทางของเขาคงยาวไกลกว่าฉันมากมายนัก

เราปล่อยให้รถแล่นไปเรื่อยๆ สลับกันมองข้างทาง ดูผืนฟ้าและต้นไม้สูงใหญ่ ถนนคดเคี้ยวลัดเลาะไปตามถนนหนทาง ที่ห่างออกจากเมืองไปเรื่อยๆ

“เดินทางให้สนุกนะครับ”
เขาบอกฉัน เมื่อเราใกล้ถึงจุดหมายที่ต่างกัน
ฉันพยักหน้าเบาๆ แล้วยิ้มให้ อยากบอกเขาว่า ขอให้เขามีความสุขในการกลับบ้านครั้งนี้ และการเดินทางอีกหลายพันกิโลเมตรของเขา

“โชคดีเช่นกันนะ” เป็นประโยคสุดท้ายที่ฉันบอกเขา ซึ่งเป็นประโยคเดียวกับที่ฉันบอกตัวเองเสมอๆ ในการกลับบ้านและเดินทางไกล
เช่นเดียวกับเขาเวลานี้.

wadwalee

wadwalee

wadwalee

wadwalee

wadwalee

wadwalee

wadwalee

wadwalee

wadwalee

wadwalee

wadwalee

wadwalee

wadwalee

wadwalee

wadwalee

บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
เมื่อหลายสิบปีก่อน เมื่อชายวัยกลางคนคนหนึ่งมาปลูกบ้านอยู่ริมแม่น้ำ เขายิ้มให้กับชีวิตพลางบอกลูกเมียว่า อยากกินปลามื้อไหนขอให้บอก จะเอาตัวเล็กตัวใหญ่ แค่คว้าแห คว้าไซ เบ็ดตกปลา หรือเดินดุ่มลงไปยกยอ ไม่เกิน 15 เท่านั้น ก็จะมีปลามาแกงได้ทั้งหม้อน้ำแม่โก๋นข้างบ้านพ่อชุม
วาดวลี
๑.นอนพักเถิด มวลมิตร ที่ชิดใกล้เก็บแรงไว้คุ้ยหาเศษอาหารฟ้าสวยสวย พื้นที่กว้าง ที่กลางลานคือสวรรค์สถาน ของผองเราอย่าไปเครียด จริงจัง เลยวันพรุ่งเดี๋ยวก็รุ่ง เดี๋ยวก็ค่ำ เหมือนวันเก่ารู้วิถี ตัวตน บนทางเราอย่าเกะกะใครเขาก็เท่านั้นเราเป็นชนกลุ่มน้อยด้อยในโลกจะส่งซึ่ง ภาษาโศก ภาษาขันก็หามีใครฟังเจ้าทั้งนั้นคนอื่นล้วน สื่อสารกัน ภาษาเขา
วาดวลี
“เขาขนทรายกันตรงไหนคะ”ฉันเอ่ยถามเสียงเบาๆ หากจะให้เดาก็คงเป็นที่วัด แต่วัดในบริเวณนี้มีตั้งหลายแห่ง และก็ไม่ได้อยู่ติดกับแม่น้ำแบบวัดใหญ่ของอีกฝั่งฟากถนน วัดใหญ่นั้น ตีเขตไปเป็นอีกตำบล อีกอำเภอหนึ่ง ซึ่งเดาได้ว่า คนในหมู่บ้านฉัน คงไม่ได้ไปทำบุญกันที่นั่น พี่สาวใจดีข้างบ้าน บอกฉันทุกเรื่อง ในสิ่งที่ฉันสงสัย จะว่าไป มีเพียงครอบครัวเดียวที่ฉันรู้จักมักคุ้น แม้จะย้ายบ้านมาได้หลายเดือนแล้ว คนอื่นๆ ส่วนใหญ่ ออกไปใช้ชีวิตประจำวันนอกบ้าน เราเจอกันยามค่ำ ก็ยิ้มให้กันไปมา แล้วต่างแยกย้ายกันไป แค่เวลา 2 ทุ่มกว่า ทั้งหมู่บ้านก็เงียบสนิท มีเพียงฉันที่เปิดไฟทำงานจนถึงดึกดื่นจะสงกรานต์แล้ว…
วาดวลี
“ฝนกำลังตกซิๆ”เสียงตามสายโทรศัพท์จากเพื่อนหนุ่มที่ฉันเคยเขียนถึงเมื่อตอนที่แล้ว เอ่ยบอกเล่าเบาๆ ถึงสิ่งที่กำลังอยู่ในชีวิตเขาของในเช้าวันนี้คนทางนี้เรียกสายฝนด้วยคำนั้น “ฝนตกซิๆ” บางครั้ง ฉันก็ชอบลักษณะฝนอย่างว่า ด้วยเป็นคนที่ชอบอยู่บ้าน จะมีอะไรสุขใจไปกว่าการได้นั่งดูสายฝนที่ไม่มีลมแรงๆ ให้ต้องหวาดกลัว อากาศเย็นสบาย จิบชาอุ่นๆ แล้วนั่งทำงาน แต่ก็อดเห็นใจไม่ได้ ถึงคนที่กำลังเดินทาง หรือคนทำมาค้าขาย  อาการฝนตกซิๆ นั่นคือเรื่องรำคาญใจ และรบกวนการทำงานอย่างยิ่ง วูบนั้น ฉันก็นึกไปถึง ป้ายสุภาษิตหน้าวัดต้นปิน ซึ่งเขียนไว้บนแผ่นไม้ติดผนังวัดว่า “ฝนตกซิๆ นานเอื้อน หมาขี้เรื้อน นานต๋าย”…
วาดวลี
“ผมจะย้ายกลับบ้านเกิดแล้วนะ” อีกครั้ง ที่เพื่อนชายคนเดิม คนที่ฉันเคยช่วยเก็บข้าวของเมื่อปีก่อน บอกกับฉันในต้นปลายเดือนมีนาคมของปีนี้ถึงเรื่องการย้ายกลับภูมิลำเนาเกิดไปยังอำเภอฝาง บ่ายที่แดดจัดจ้านนั้น ฉันจำได้ดีถึงประกายนัยน์ตามุ่งมั่นของเขา เมื่อหกเดือนที่แล้ว ................  
วาดวลี
อาจด้วยความเมตตาของผืนฟ้า และความปราณีของผืนดิน ที่ยังคงให้เราได้หายใจหายคอได้อยู่  ทั้งที่ “อะไรที่มองไม่เห็นในอากาศ” นั้น กำลังมาบอกอย่างโต้งๆ ว่า โลกไม่ใช่แค่กำลังร้อน แต่มันกำลังเสื่อมสลายและผุกร่อน“ขี่รถไปไหนแสบตามากเลย หายใจไม่ค่อยออก”คนรู้จักของฉันเล่าให้ฟัง ฉันได้แต่พยักหน้าเห็นด้วย เพราะอาการก็ไม่ต่างกัน เมื่อวานนี้ ฉันซ้อนมอเตอร์ไซค์คนที่บ้านขี่เลียบน้ำปิงไปยังเขตเมือง ใบไม้ร่วงกราวจากพายุที่ก่อตัวตั้งเค้ามาในช่วงบ่าย ใบไม้แห้งสีน้ำตาลกรอบกระจายไปถ้วนทั่วท้องถนนและผืนหญ้าบนสวนสาธารณะ บางแห่งพัดปลิวเอาเศษกระดาษ ถุงพลาสติก วนอยู่ในอากาศ ก่อนจะร่วงไปตกลงในลำน้ำปิง…
วาดวลี
หลายปีก่อน หญิงสาวรูปร่างบางตาคมคนหนึ่ง ซึ่งเป็นรุ่นน้อง เอ่ยกับฉันว่าการหอบสัมภาระเพื่อย้ายจาก “บ้านเช่า” ไป “บ้านใหม่” ที่เธอเป็นเจ้าของนั้น ต้องเก็บไปให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้กลายเป็นภาระของคนมาทีหลัง “อะไรเอาไปได้ก็เอาไป ยกเว้นก็แต่ต้นไม้ มันโตจนเกินกว่าที่จะขุดขึ้นมา”ฉันไม่มีโอกาสไปเยี่ยมเธอเลยในหลายปีมานี้ แต่พอจะรับรู้ได้ว่า คนรักต้นไม้แบบเธอนั้นเพียรพยายามปลูกสารพัดต้นไม้เท่าที่ผืนดินจะอำนวย นอกจากต้นโมก ดอกแก้ว หรือพลูด่างแล้วเธอยังมีพืชสวนครัว เช่น ตะไคร้ พริก โหระพา เพื่อเอาไว้ทำกับข้าว แต่ฉันเดาเอาว่าเธอคงปลูกทั้งต้นมะม่วง จำปี กระทั่งฝรั่งหรือขนุน…
วาดวลี
"มีลูกแมวเพิ่งออกลูกตั้งหลายตัวแน่ะ""มันอยู่ตรงไหนคะ" "นั่นไง หลบอยู่หลังป้ายหาเสียงน่ะ"คนบอกชี้นิ้วไปยังบริเวณริมรั้วที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ฉันอดไม่ได้ ที่จะจำใจมองไปยังป้ายโฆษณาหาเสียงขนาดใหญ่ สูงท่วมหัวตั้งโด่เด่อยู่เพียงอันเดียวในหมู่บ้าน  ป้ายอันนั้นทำด้วยไม้อัดเรียงต่อกัน แปะทับเข้าไปด้วยไวนิลพิมพ์ภาพ 4 สีสดใส ใบหน้าผุดผ่อง ขาวนวลและริมฝีปากแดงระเรื่อ ดูมีอำนาจวาสนาและความรู้ แต่ในเมื่อไม่มีป้ายหาเสียงของใครอื่นมาเทียบเคียงอีกเลย ฉันจึงคิดเล่นๆว่า  ดูท่าทางเขาไม่ใช่ผู้ลงสมัครระดับธรรมดา และบ้านหลังนั้นที่มีรถหาเสียงหลายๆ คันทยอยกันมาจอดชุมนุม…
วาดวลี
“เธอดูโน่นสิ แดดออกแล้ว แต่ฝนยังตกอยู่เลย”ฉันเอ่ยเสียงดัง แล้วละสายตาจากคอมพิวเตอร์ ออกมายืนยังประตูบ้าน กลิ่นไอฝนกระทบกับผืนดินแตะปลายจมูก  สูดกลิ่นเข้าไปเต็มปอด พลางพิจารณาแสงแดดที่ค่อยๆ มาแทนที่อย่างเชื่องช้าคนข้างกายลุกขึ้นบ้าง เราสองคนออกมายืนดูสายฝน ที่มีเม็ดเล็กลงเรื่อยๆ ตกช้าลง ช้าลง จนกระทั่งหยุดตก เหลือไว้เพียงก็รอยหมาดฝนบนผืนดิน ใบไม้ และทางเดิน “แบบนี้ต้องมีรุ้งกินน้ำแน่ๆ หิวข้าวหรือยัง”
“อ้าว เกี่ยวกันยังไง” ฉันทำหน้าเบ๋อ พุ่งตัวเข้าไปใกล้เธอในระยะประชิด“แปลว่าเราออกไปหาอะไรกิน แล้วไปดูรุ้งกินน้ำด้วยไง”ฉันยิ้มกริ่ม ถ้าเธอมีเวลาอยู่กับฉันทุกวันก็คงจะดี นานๆ หน…
วาดวลี
ก่อนหน้านี้หลายสัปดาห์แล้วล่ะ  ที่ฉันไปยืนอยู่ตรงนั้นแล้วพยายามจะนับดูว่า ดอกทิวลิปที่ก้านอวบ กลีบสวย ในสวนตรงนี้ มีจำนวนกี่สีกันแน่มวลหมู่ไม้มากมาย พืชพันธุ์ทั้งไทยและฝรั่ง ผลิบานแสดงความแข็งแรงต่ออากาศหนาวยามเช้า และแดดจัดยามบ่ายในบริเวณสวนสาธารณะของหาดเชียงราย แม้มันจะไม่ได้เกิดและเติบโตที่นั่น แต่ถูกเพาะปลูกเลี้ยงดูด้วยการทดลอง กระทั่งเมื่อสำเร็จผล ก็ถูกขนย้าย มาลงบนผืนดินชั่วคราวเพื่อแสดงงานดอกไม้ดอกทิวลิป ลิลลี่ บานชื่อพันธุ์ใหม่ และดอกไม้ชื่อแปลกหูอีกหลายชนิด เบ่งบานอวดสีสันอยู่ไม่ไกลนักจากลำน้ำกกที่พากันไหลอ้อยสร้อย เชื่องช้าไม่เพียงแต่ทดสอบความทนทานของดอกไม้ต่ออากาศเท่านั้น…
วาดวลี
อากาศขมุกขมัว เริ่มต้นมาได้หลายวันแล้ว ขณะที่หมอกบางเพิ่งจางลงไปในตอนเช้า ตอนสายๆ ของฤดูหนาวกลับมีเม็ดฝนมาเยือน คนในครอบครัวต้องปรับตัวในการออกไปทำงาน  ด้วยการใส่ทั้งเสื้อกันหนาวและเสื้อกันฝน ส่วนฉัน ขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปติดอยู่ที่แผงขายผักเล็กๆ ในหมู่บ้าน คุณยายมองดูสายฝนที่หนาหนักลงมา แล้วก็ถอนหายใจ"อย่าเพิ่งกลับเลยหนู รอให้ฝนซาก่อน"เขาบอกฉันอย่างมีไมตรี แล้วชวนให้เข้าไปหลบฝนด้านในร้าน เหลือบไปมองถนน บางคนฝ่าเม็ดฝนไปไม่กลัวเปียก บางคนทำท่าเก้ๆ กังๆแล้วบทสนทนาของฝนหลงฤดูก็เกิดขึ้น"มันแปลกจริงๆ ฝนจะมาช่วงนี้ได้ยังไง""อากาศวิปริต""จะเข้าหน้าร้อนแล้วก็แบบนี้แหละ ฝนหัวปี""เฮ้ย ยังไม่ถึง"…
วาดวลี
ผู้ชายคนนั้นเหมือนไม่สนใจใครเลยเขาย่ำเท้าหนักๆ ลงบนผืนทราย บุ๋มเป็นรอยเท้าทับซ้อนกันไปมา เขาง่วนอยู่กับข้าวของบางอย่างตรงหน้า แต่ฉันไม่คิดว่าเขาจะลืม ว่าเวลาที่ตะวันยามเช้าสะท้อนแม่น้ำจนเป็นสีเหลืองนวลนั้นสวยงามเพียงใดหาดทรายริมแม่น้ำโขงที่ฉันมาเยือน อยู่ในความสนใจของนักเดินทาง โลกนัดเวลาให้เราไว้แล้ว สำหรับการตื่นในที่แปลกถิ่นและออกมาสูดอากาศ หากตื่นเช้ากว่าใครเพื่อน เราจะมองเห็น ผู้คนทยอยโผล่หน้าออกจากเกสเฮาส์ที่เรียงรายกันตลอดริมฝั่ง บ้างก็ลงมาเดินเล่น บ้างก็กางขาตั้งกล้องรอเอาไว้ เพื่อจะได้กดชัตเตอร์เมื่อดวงตะวันกลมโตสีแดงโผล่พ้นทิวเขาหลังแม่น้ำขึ้นมา…