Skip to main content

กระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่า กำลังถูกประทับด้วยตราปั๊มสีแดงเพื่อบอก “อนุญาต” ให้ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองไปยังพม่า

ผู้คนจำนวนนับร้อยนับพัน ต่อแถวกันอยู่ที่ท่าขี้เหล็กในเขตแม่สายด้วยใบหน้ารอคอย ตั้งแต่ขั้นตอนการทำบัตร ชำระเงิน ตรวจเอกสาร จนกระทั่งพวกเขาจะได้ข้ามพ้นประตูด่านของเจ้าหน้าที่

เมื่อนั้น ใบหน้าที่บึ้งตึงก็จะเปลี่ยนเป็น “โล่งอก”

ฉันและเพื่อนยืนรออยู่ที่ทำบัตรเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ขณะที่เพื่อนกำลังวาดฝันว่าเขาจะซื้ออะไรบ้างจากฝั่งพม่า ไม่ทันที่จะอ้าปากพูดว่า “เกาะกันไว้นะเดี๋ยวหลง” เพราะคนเยอะขนาดจนมีประกาศหาคนตลอดเวลา ไม่ทันไรฉันก็ถูกดันจากคนข้างหลังให้ขยับเข้าไปข้างหน้า ทั้งที่แถวมันเต็มแล้ว คนที่ดันเข้าไปพูดอย่างอารมณ์เสียว่า
“ทำไมมันช้าแบบนี้ รีบๆ หน่อย จะได้เร็วๆ”

เมื่อการต่อแถวกลายเป็นเรื่องน่ารำคาญ พวกเขาก็เริ่มแตกแถว แทรกมาจากทางซ้ายที ขวาที คนทำดีแต่ต้นเริ่มไม่พอใจ ต่างกระทบกระทั่งกันทั้งด้วยวาจา และร่างกาย เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงขั้นตอนการรับบัตรผ่าน ผู้คนแยกย้ายกันไปกรอกชื่อ เซ็นเอกสาร เราก็จะไปแออัดยัดเยียดกันอีกครั้ง ณ ประตูผ่านข้ามแดน

แรกเริ่มเดิมที ฉันตั้งใจว่า เมื่อมีโอกาสแวะมาฝั่งพม่าแล้ว จะใช้บริการรถโดยสารไปเที่ยวที่วัด และตลาดของชาวบ้าน เพื่อนที่เคยไปแล้วบอกฉันไว้ว่า มองหารถสองแถวก็ได้ สามล้อก็มี หรือจะมอเตอร์ไซค์ ค่าโดยสารไม่เกินคนละ 50 บาท อยากไปที่ไหนก็บอกเขาได้ แต่ไปได้ไม่เกิน 5 กิโลเมตร และต้องกลับออกมาก่อนพลบค่ำ

ฉันใช้เวลาระหว่างยืนต่อแถว ชะเง้อชะแง้หารถโดยสารที่ว่า มองผ่านผู้คนทะลุเข้าไปอีกฝั่ง ด้วยหวังว่า จะได้ไปเที่ยวก่อนกลับมาซื้อของ

“มันมีแต่รถแบบนี้เหรอ” ชายคนหนึ่งส่งเสียงมา ฉันหันขวับไปดู เขาถือเอกสารไว้เป็นกำ เดินนำหน้าคณะญาติมิตรของเขา พลางใช้ร่างกายใหญ่โตนั้นเบียดเสียดคนเพื่อเร่งเร้าเจ้าหน้าที่ ทั้งที่เรายังอยู่ห่างจากด่านอีกตั้งหลายสิบเมตร

“นั่นไงๆๆ ตรงโน้นมีรถแท็กซี่”
อีกคนชี้ชวนให้ดู ชายร่างใหญ่ทำหน้าครุ่นคิด
“เออ น่าสนใจๆ เพราะคนขับแต่งตัวดี น่าจะเป็นคนไทย จำไว้นะอย่าไปกับพม่า!”
อ้าว ทำไมล่ะ ก็เรากำลังข้ามไปพม่าไม่ใช่เหรอ
นี่เป็นเสียงของฉันภายใต้ความคิด สงสัยพลังจิตเราจะสื่อถึงกัน เขาก็พูดออกมาอีก
“พวกพม่าไว้ใจไม่ได้ อย่างมากเราก็ไปกับไทยใหญ่ เผลอๆ มันเอาไปปล่อยแล้วไม่ให้ออก เรียกเงินเพิ่มอีกจะลำบาก”
อ้อ อย่างนี้นี่เองหรือ? ฉันนิ่งงันในความคิด ถามตัวเองว่า มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือ
ย้ายสายตามามองผู้คนที่ต่อแถว ใกล้จะถึงคิวแล้ว ไม่น่าจะเกิน 10 คน
“ผู้ถือบัตรอยู่ชิดซ้ายมือ รวมเอกสารกันได้ คนไม่ถืออยู่ขวามือค่ะ”

เสียงประกาศจากด่านตรวจดังผ่านไมโครโฟน คณะทัวร์ของชายร่างใหญ่หัวเราะคิกคักๆ ในเสียงพูดไม่ชัดของเธอ เขาแอบล้อเลียนเสียงพม่ากันอยู่ในกลุ่ม ขณะที่สังเกตเห็นคนหนึ่งในนั้นมีสีหน้าสุดเซ็ง หัวหน้าทีมโยนคำปลอบใจ
“ไม่ต้องเซ็งน่า รออีกนิดเดี๋ยวก็ได้เข้าแล้ว”
“ถ้ารู้คนเยอะขนาดนี้จะไม่มาเลย”
“อย่าคิดมากน่า เดี๋ยวเข้าได้แล้วก็อารมณ์ดี เพราะของโคตรถูกมาก เดี๋ยวซื้อเหล้าให้ขวดหนึ่งอะ”
“จิงอะ”
“จริ๊งง ซื้อไปแจกยังได้เลย ไม่งั้นไม่ข้ามมาหรอก”
“อ้อ แต่ว่าบุหรี่อย่าซื้อนะ มันของปลอม ที่พวกพม่าหิ้วๆ มาน่ะอย่าซื้อ เดี๋ยวพาไปซื้อร้านคนไทย ส่วนนาฬิกาก็ต่อเยอะๆนะ มันขาย 400 นี่ขอไปเลย 60 ยังไงมันก็ขายให้”

“เดี๋ยวเขาด่าตาย” อีกคนออกความเห็น
“มันด่าเราก็ไม่รู้เรื่อง ช่างมันเถอะ นี่เรานำเงินมาให้เขานะตั้งเท่าไหร่ ดูคนสิ”

อาจจะจริงอย่างเขาว่า เงินจำนวนมากคงสะพัดอยู่ในบริเวณนี้ ในอากาศที่มองไม่เห็นนั้นเต็มไปด้วยความต้องการ เฝ้ารอ ปรารถนา ตื่นเต้น และเบื่อหน่าย ขณะเดียวกัน ในฝั่งที่ห่างออกไปไม่กี่ก้าวนั้น จะมีความคิดใดบ้างอยู่ภายใต้ชุดผ้าถุง กระบุงหาบ

หรือท่าด่านจะมีก็แต่การแลกเปลี่ยนเงิน หรือว่าเราไม่อาจจะแลกเปลี่ยนอย่างอื่นแก่กันได้ ไม่ว่าจะวัฒนธรรมหรือทัศนคติใดใด?

แล้วเราก็ข้ามเข้ามาจนได้ ฉันหายใจยาวๆ เมื่อหลุดพ้นจากความแออัดและความชุลมุน
อดไม่ได้จริงๆ ที่จะเหลือบไปมองชายร่างใหญ่และคณะทัวร์ของเขาคนนั้น คนที่พูดข้างหูอยู่ตลอดเวลาว่าเขาคิดอย่างไรบ้าง

เหลือบไปดู ไม่น่าจะเกินหนึ่งนาทีเขาก็คงเข้ามาได้แล้ว แต่เขาก็ยังทำตัวเบียดเสียดและดันคนข้างหน้าอยู่ตลอดเวลา ชั่วเวลานั้นเมื่อเห็นขายาวๆ ของเขาตามหลังฉันมาติดๆ และรีบพับเก็บใบผ่านด่านยัดใส่กระเป๋าไว้

บางคนก็กระโดดโลดเต้นแสดงความดีใจ ที่ไม่มีรั้วเขตใดมากั้นกลางพวกเขาเอาไว้อีก เหลือก็แต่ความตั้งใจมุ่งมั่น

ใครไปก่อน ก็ได้ซื้อก่อน ในเมื่อเสียเวลาไปมากกับการต่อแถว เวลาที่เหลืออยู่คือ ทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ แต่ก็ไม่เสมอไป เมื่อผ่านด่านตรวจของเจ้าหน้าที่มาแล้ว ก็ต้องมาเจอกับฝูงชนมหาศาล ที่เบียดกันอยู่หน้าร้านค้า

“ขอทางหน่อยค่ะ ขอทางหน่อย”
คำพูดตามมารยาทดังซ้ายทีขวาที พูดเสร็จก็เบียดเลย บางคนโดนชนจนกระเด็น ก็ไม่มีโอกาสได้รับการขอโทษ พ่อแม่จูงมือลูกไว้แน่นเพราะกลัวพลัดหลง กระเป๋าถือถูกเกาะกุมให้มิดชิด ไม่มีใครไว้ใจกันไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือพม่า คนแก่บางคนคงรู้สึกเหมือนจะเป็นลม ถูกประคองโดยลูกหลานให้มาอยู่ในมุมที่พอจะตั้งหลักได้

การจับจ่ายใช้สอยมีอยู่ทุกวินาที ทุกถนน ทุกร้านค้า การต่อรองที่ติดปาก แลกเปลี่ยนกับความอ้อนวอนเห็นใจกันไปมา จวบจนจะได้ราคาที่พอใจ ต่างคนได้ข้าวของที่ต้องการ หรือแม้จะไม่ต้องการก็ยังอดซื้อไม่ได้ เพื่อนที่ไปด้วยกับฉัน คว้ากระเป๋าสะพายมาใบหนึ่ง บอกด้วยสีหน้าดีใจว่า
“ใบละสองร้อยเอง ดูสิ ถูกมากๆ”
“ร้านโน้นต่อได้ใบละร้อยห้าสิบเองน้อง”

คนไทยด้วยกันแวะแสดงความเห็น เรายิ้มจางๆ ให้ ก่อนจะเห็นเขาปราดเข้าไปต่อราคาเสื้อกันหนาวต่อไป

อากาศที่สดใสของฤดูหนาว คงจะมีส่วนช่วยให้ทุกอย่างเย็นลงได้บ้าง

บทเพลงแว่วมาจากร้านขายซีดี ขับกล่อมชีวิตที่หมุนเวียนเข้าออกตลอดวัน ยังโชคดีที่บนพื้นที่แอดอัดนั้นยังพอมีที่ว่างให้ชายหญิงตาบอดได้นั่งขอทาน เด็กน้อยปั่นจักรยานเล่น หรือพ่อค้าชาวพม่าได้พักนั่งกินข้าว

เหลือบมองนาฬิกาแล้ว เวลาช่างผ่านไปรวดเร็ว นักท่องเที่ยวที่ได้ของถูกใจแล้วก็เริ่มทยอยกันกลับ บางคนมีจุดมุ่งหมายไปต่อ บางคนถึงเวลาต้องกลับภูมิลำเนาแล้ว ผู้คนทบทวนของที่ซื้อหามา ดูว่าขาดเหลืออะไร และท้ายสุด ก็ก้มลงควานหากระดาษสีขาวซึ่งเป็นใบผ่านชั่วคราวนั้นออกจากกระเป๋า

อีกครั้ง ที่เรากลับมายืนต่อแถวเพื่อข้ามด่านไปยังเมืองที่เรียกว่าประเทศไทย

ฉันเผลอมองหาชายหนุ่มร่างใหญ่พร้อมคณะของเขา ป่านนี้ยังนั่งแท็กซี่ไปชมเมืองอยู่ด้านใน หรือไม่ก็จับจ่ายซื้อของกันอย่างสนุกสนาน อย่างไรเสีย ก่อนพลบค่ำ เขาก็คงจะเดินออกมาเช่นเดียวกับฉัน เรามีเวลากันเพียงคนละ 1 วัน สำหรับการข้ามด่านที่นี่ แต่จะแปลกอะไร หากใครจะใช้เวลามากกว่านั้น หรือจะกลับเข้าไปใหม่

ฉันรู้ว่า ธนบัตรและเงินตราจะพาเราผ่านด่านพรมแดนที่ไหนก็ได้ทั่วโลก เท่าที่เงินจะอำนวยให้ได้ เพื่อการข้ามไปเหยียบผืนดินอื่น โดยเฉพาะรั้วกั้นที่มีสนนราคาเพียงแค่ไม่กี่สิบบาทแบบที่นี่
อีกฟากหนึ่งของถนน ยังมีผู้คนรอคอยเพื่อจะข้ามเข้าไป ยามนั้น เมื่อออกมาแล้ว อดหันกลับไปมองอีกครั้งไม่ได้ มองทะลุผ่านด่านกั้น รั้วสีฟ้า ป้ายประกาศ และเจ้าหน้าที่แปลกหน้าเหล่านั้น ฉันยังเผลอมองเห็น รั้วสีขาวใสที่อาจมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่คงต้องใช้หัวใจในการพินิจพิจารณา

ว่ายังมีอีกบางพรมแดน รออยู่ตรงนั้น พรมแดนที่กั้นกลางระหว่างอาณาจักรใจ และเป็นแบบทดสอบของเราอยู่เสมอๆ ที่ซึ่งไม่มีกฎหมายกำหนด และไม่จำเป็นต้องใช้ใบผ่านประทับตราในการก้าวข้าม

พรมแดนที่อยู่ในโลกอุดมคติ ที่หวังไว้สักวันว่าเราจะไปมาหาสู่กันอย่างมิตรและเท่าเทียมกัน พรมแดนนั้น ไม่มีใครมองเห็นมันได้นอกจากหัวใจของเราเอง.

000

000

000

000

000

000

000

000

 

บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
1.อากาศยามเช้าหนาวไอเย็นแผ่วเบา พัดมาจากภูเขาสูงผ่านทางไกล ใกล้รุ่งฝ่าหมอกคลุ้งสีเทา-เทา
วาดวลี
ฉันกับเพื่อนหย่อนก้นบนเก้าอี้ไม้ริมถนนของเมืองเชียงของ เราสั่งชานม ชามะนาว และกาแฟมากินให้สดชื่นหลังจากนั่งรถมาเป็นชั่วโมง มองดูผู้คนมาเยือนสวนทางกับเจ้าของท้องถิ่นไปมาในวันหยุด"เรากำลังจะไปที่ไหนต่อ"เพื่อนร่วมทางถามฉัน ฉันเหลือบมองเขา ไม่ตอบ แล้วคว้าหนังสืออ่านเล่นในร้านกาแฟมาเปิดอ่าน เราเพิ่งมาถึง แล้วจะไปไหน เธอถามแปลกจัง ฉันอยากตอบเล่นๆ ว่า เดี๋ยวจะพาเธอไปลงว่ายน้ำโขงเล่นก็แล้วกัน"เราต้องไปกินปลาบึกไหม?"เพื่อนถาม ฉันเกือบสำลักชามะนาว “เธออยากกินเหรอ”ฉันถามกลับ เขาทำหน้าไม่ถูก แต่แววตาลังเล “ก็มีคนบอกว่ามาเชียงของต้องกินปลาบึก”ฉันอมยิ้ม ฉันก็ได้ยินแบบนั้นเหมือนกัน แต่เท่าที่รู้…
วาดวลี
กระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่า กำลังถูกประทับด้วยตราปั๊มสีแดงเพื่อบอก “อนุญาต” ให้ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองไปยังพม่า ผู้คนจำนวนนับร้อยนับพัน ต่อแถวกันอยู่ที่ท่าขี้เหล็กในเขตแม่สายด้วยใบหน้ารอคอย ตั้งแต่ขั้นตอนการทำบัตร ชำระเงิน ตรวจเอกสาร จนกระทั่งพวกเขาจะได้ข้ามพ้นประตูด่านของเจ้าหน้าที่เมื่อนั้น ใบหน้าที่บึ้งตึงก็จะเปลี่ยนเป็น “โล่งอก”ฉันและเพื่อนยืนรออยู่ที่ทำบัตรเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ขณะที่เพื่อนกำลังวาดฝันว่าเขาจะซื้ออะไรบ้างจากฝั่งพม่า ไม่ทันที่จะอ้าปากพูดว่า “เกาะกันไว้นะเดี๋ยวหลง” เพราะคนเยอะขนาดจนมีประกาศหาคนตลอดเวลา ไม่ทันไรฉันก็ถูกดันจากคนข้างหลังให้ขยับเข้าไปข้างหน้า ทั้งที่แถวมันเต็มแล้ว…
วาดวลี
1ฤดูหนาวไม่ได้มาเยือนอย่างเงียบเชียบอีกแล้ว มันแสดงตัวตน ชัดเจน ผ่านอากาศ ต้นไม้ใบหญ้า รอยน้ำค้าง ประทับตรงนั้นตรงนี้  แม้กระทั่งบนขนตาของเธอ  หญิงวัยกลางคนที่ตื่นแต่เช้า ปั่นจักรยานไปตลาด กลับมาพร้อมกับข้าวของในมือที่มากจนจักรยานแทบเสียหลัก เธอจอดรถไว้ข้างๆ รั้ว หิ้วของ วางลง และยกมือเช็ดน้ำค้างบนขนตา2“หนาวมากไหม”เธอเอ่ยถามอย่างอาทร ฉันพยักหน้า อดคิดถึงแม่จริงๆ ของตัวเองไม่ได้ ฉันคงต้องใช้เวลาเป็นวันๆ หากจะคิดถึงฤดูหนาวและการอยู่ร่วมกัน  แค่คิดถึงการซุกตัวใน “ผ้าห่มขี้งา” ร่วมกับแม่ แค่นั้นก็เป็นสุขแล้ว หน้าหนาวพ่อจะให้ฉันนอนตรงกลาง เพื่อให้อุ่นมากพอ …
วาดวลี
1. ผืนดินปกคลุมไปด้วยต้นหญ้า และเป็นต้นหญ้าชนิดที่มีดอกสีขาว ฉันชะงักจอบเสียบที่เตรียมมา ด้วยความอาลัยอาวรณ์ต่อดอกหญ้าที่พากันบานสะพรั่งอวดสายลมหนาว ก็มันสวยขนาดนี้ ฉันจะขุด ตัดมันไปได้อย่างไรกันวางจอบลง แล้วนั่งยองๆ ฉันคว้ากล้องถ่ายรูปมาถ่ายเก็บเอาไว้ นอกจากดอกหญ้าที่บานเต็มที่แล้ว ยังมีต้นกล้าที่เพิ่งถือกำเนิด มันน่ารักดีจัง ฉันยิ้มให้กับต้นหญ้า แม้จะเคาะเขินคนข้างๆ อยู่บ้างที่ทำตัวอ่อนหัดแบบนี้ แต่เขาคงเข้าใจ คนโหยหาผืนดินอย่างฉัน“หญ้าก็คือหญ้า ถ้าไม่ตัดมันทิ้ง เราจะปลูกผักได้ยังไง”เธอช่วยเตือนสติ ฉันกลับมาโลกความจริง นั่นสินะ ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องถางมันทิ้ง “รกจะตาย” เธอว่า…
วาดวลี
ฤดูหนาวยามสาย แสงตะวันทอดผ่านเรือนร่างของผู้คนและตกกระทบเป็นผืนเงา อยู่ตรงนั้นตรงนี้บนถนน ชักชวนให้นักท่องเที่ยวบางคนอดไม่ได้ที่จะถ่ายรูปเงาตัวเองเอาไว้ดูเล่น ฉันเองก็เช่นกัน ย้ายระดับสายตาไปอยู่บนผืนดิน แสงเงาจากผู้คนมากมาย มุ่งหน้าไปยังพระธาตุดอยสุเทพ นักท่องเที่ยวกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย ยิ้มสรวลหยอกล้อ ขอถ่ายรูปคู่กับบันได ประตู ป้าย และร้านค้า ดูเหมือนจะมีแต่เสียงหัวเราะ ตื่นเต้นและความสุข ปนเปื้อนเศษเสี้ยวของความหงุดหงิดรำคาญเล็กน้อย รอยยิ้มกว้างๆ ปรากฏบนใบหน้าของแม่ค้าหลายคน เงินสดถูกเก็บเข้ากระเป๋า ถุงพลาสติกถูกดึงขึ้น ใส่ของ ดึงขึ้นและใส่ของ…
วาดวลี
“หนาวไหมครับ”ชายแปลกหน้าเอ่ยถาม ขณะหย่อนตัวลงนั่งบนแคร่ไม้ เราสองคนอยู่ในที่รกร้างว่างเปล่าของใครสักคนหนึ่ง ฉันอยากเรียกแบบนั้น ทั้งๆ ที่มันคือสถานีรถโดยสารที่จะเดินทางจากตัวเมืองลำปางไปยังแจ้ซ้อนขณะรถเข็นคันหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาหาเรา ฉันตอบผู้ชายคนนั้นสั้นๆว่า “หนาวนะ” เขาอมยิ้ม กระชับเสื้อให้แน่นขึ้นแล้วหยิบขวดน้ำขึ้นมาดื่ม ฉันไม่สนใจเขานัก เอาแต่ควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋า เพื่อจะหยิบมาดูนาฬิกาว่าตอนนี้คือกี่โมงแล้ว แต่ยังหาโทรศัพท์ไม่เจอ ก็เหลือบไปเห็นนาฬิกาขนาดใหญ่เกาะติดอยู่บนต้นไม้ ดูเหมือนจะเป็นต้นมะขาม มันสูงใหญ่ให้ร่มเงาเป็นอย่างดีแก่ท่ารถแห่งนี้…
วาดวลี
ท่ามกลางความมืดของผืนฟ้า  พระจันทร์ดวงกลมโตอวดแสงนวลอยู่บนนั้น แม้คืนนี้มองไม่เห็นดาว  แต่พระจันทร์คงไม่เหงา  ก็บนท้องฟ้า เต็มไปด้วยดวงไฟสีส้มนับร้อย นับพันดวง วาววับ จนไม่อาจนับจำนวนได้ โคมไฟ หรือ ว่าวไฟ ในเทศกาลลอยกระทง ต่างลอยขึ้นไปตามแรงลม และความร้อนจากเปลวไฟเล็กๆ ที่ห้อยอยู่ข้างท้าย แม้คนจุดจะมีทั้งชาวเมืองเชียงใหม่ หรือนักท่องเที่ยวจากเมืองอื่น แต่สิ่งที่ฉันได้รู้ในวันนี้ก็คือ สำหรับคนบางคนแล้ว ดาวสีส้มบางดวงนั้นขึ้นไปตามแรงศรัทธาและความเชื่อที่สั่งสมมาตลอดชีวิต“ได้เวลาจุดไฟกันแล้วนะ” ชายชราคนหนึ่งคนตะโกนบอกหลานชาย หลังจากเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้…
วาดวลี
“พ่อเคยคิดจะย้ายไปอยู่ที่อื่นไหม?”ฉันเคยเอ่ยถามชายชราไว้นานแล้ว ไม่จริงจังในคำพูด และไม่มีประเด็นอะไรมากนัก ฉันเพียงแต่อยากรู้ว่าเขาคิดอย่างไร ในวันรื้อถอนบ้านเก่าที่ผุพังเพราะน้ำท่วม จำเป็นต้องสร้างหลังใหม่มาแทนที่ ............ที่ดินของเราเป็นผืนยาวติดแม่น้ำเล็กๆ ซื้อมาด้วยเงินก้อนใหญ่ที่สุดในชีวิตของแม่ ราคาไม่กี่พันบาท ฉันย้ายมาอยู่ในตอนที่อายุ 7 ขวบ  เวลาต่อมา คืนหนึ่งแม่ก็เสียชีวิตในบ้านหลังนี้ ตายจากไปเหลือเพียงเถ้าถ่าน ร่างกายถูกเผากลางแดดด้วยฟืนกองโต จำได้ว่าหลังจากคืนเผาศพแม่ไม่นานนัก บ้านทั้งหลังเงียบสงบ…
วาดวลี
ผู้หญิงคนนั้นกำลังฉุน ส่วนหญิงสาวอีกคนในชุดกระโปรงสีชมพู มีท่าทางไม่สบายใจอารมณ์ขุ่นเคืองปะทุในแดดระอุของยามบ่าย  ขณะนั้น  ฉันฝ่าไอร้อนมาจอดรถหน้าร้านค้าของนวลเมื่อวานนี้ฉันขอให้เธอช่วยรื้อลังเก่าๆ ใบใหญ่ๆ ไว้ให้  เพื่อซื้อไปใส่ของขนย้ายบ้านนวลกำลังยุ่ง ยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก แต่ก็ยังมีแก่ใจกระซิบบอกด้วยเสียงอ่อนโยนเช่นเคย“รอหน่อยนะ แม่กำลังหาลังใบใหญ่ให้ ไม่ได้ลืม เดี๋ยวคงเอาลงมา”“แม่เหรอ?”ฉันทวนคำ นวลกำลังพูดถึงใครกันนะ ก็เธอจากบ้านมาไกลจากพม่า มาทำงานในร้านขายของชำ ทุกทีนวลเรียกเจ้าของร้านผู้ชายว่า เฮีย และเรียกพี่ผู้หญิงว่า เจ๊ ฉันยังไม่ได้ถาม แต่เธอคงจะดูแววตาออก…
วาดวลี
เพิงผักสดหน้าวัดในตอนเช้า กำลังแปรสภาพเป็นร้านเหล้าในยามค่ำ ตะวันยังไม่แตะดินดี เคาน์เตอร์ไม้เล็กๆ ก็มีลูกค้ามารอแล้วเกือบเต็มร้านชายวัยกลางคนกระดกเหล้าขาวจากแก้วทรงเหลี่ยมอยู่หน้าเพิงป้าแดง  ไม่ยี่หระต่อสายตาเมียที่ยืนค้อนอยู่ด้านหลังเธอยืนเท้าสะเอวเหมือนแม่บ้านในการ์ตูน มองสามีเงียบๆ แล้วก็เอ่ยด้วยเสียงห้วนสั้น“กระดกเข้าไป บอกว่าให้กินข้าวรองท้องก่อน ป้าแดงเอาแกงอ่อมมาถ้วยหนึ่ง”เธอไม่ได้สั่งกลับบ้าน แต่สั่งให้สามี ป้าแดงตักแกงจากหม้อใส่ชาม วางไว้บนเคาน์เตอร์ไม้ แล้วรับเงินจากผู้เป็นภรรยา เธอจากไปพร้อมผักกาดกำใหญ่ในมือ“เดี๋ยวข้ากลับไปกินข้าว” “อือ”สามีภรรยาตอบกันห้วนสั้น…
วาดวลี
๑.ฤดูมาเร็ว ราวกระพริบตารู้สึกดังว่า เพิ่งผ่านเมื่อวานฝนหมาดถนน เพิ่งโดนแดดทักลมหนาวก็พัดมาจุมพิตผ่านแม่น้ำสีเหลืองลำเลียงเศษไม้เผลอมองวูบไหวหัวใจสะท้านฝนพอหรือยัง? หรือคั่งค้างอยู่รอการพรั่งพรู ไหลมาท่วมบ้าน  ๒.ต้นข้าวสีเขียว เคยซีดเซียวยับนิ่งงันสดับ กับทางน้ำผ่านเจ้าชูช่อใหม่ ในตุลาฤดูไม่อาจหยั่งรู้ หรือไม่คิดสะท้าน?ผีเสื้อกลัวไหม ไอหนาวจะมาหอบหมอกห่มฟ้า พัดป่าแห้งกร้านควันคลุ้งคลุมเมือง กลายเป็นเรื่องเล่าไฟฟอนแผดเผา เราไม่อาจต้าน  ๓.ไปหมดแล้วหรือ ที่คือฝันร้ายปัดกวาดบ้านใหม่ ไว้รอเพื่อนบ้านกลางคืนสงบ รอพบวันพรุ่งหวังเห็นสายรุ้ง ลา-วสันต์กาลรอยฝนกันยา ตุลารำลึกลบความคิดนึก…