Skip to main content

เมื่อหลายสิบปีก่อน เมื่อชายวัยกลางคนคนหนึ่งมาปลูกบ้านอยู่ริมแม่น้ำ

เขายิ้มให้กับชีวิตพลางบอกลูกเมียว่า อยากกินปลามื้อไหนขอให้บอก จะเอาตัวเล็กตัวใหญ่ แค่คว้าแห คว้าไซ เบ็ดตกปลา หรือเดินดุ่มลงไปยกยอ ไม่เกิน 15 เท่านั้น ก็จะมีปลามาแกงได้ทั้งหม้อ

20080507 น้ำแม่โก๋นข้างบ้านพ่อชุม
น้ำแม่โก๋นข้างบ้านพ่อชุม

 

แต่ผ่านไปถึงวัยชรา อายุ 76 ในปีนี้ พ่อชุมบอกว่า นั่งมองปลาในน้ำว่ายไปมาอย่างอิสระ  แล้วไม่มีแรงพอจะลงไปหาได้เหมือนแต่ก่อน แน่นอนว่าเขาชอบกินปลา ยิ่งสูงอายุก็ลดปริมาณการกินเนื้อสัตว์อื่น ปลามีประโยชน์สม่ำเสมอ และดีต่อระบบย่อยอาหาร วันนั้น เขาบอกกับฉันว่า วิธีที่ดีที่สุดก็คือทำกระชังเลี้ยงปลาเสีย จะได้เก็บมากินได้ง่ายๆ แถมยังแบ่งปันคนข้างบ้าน หรือเผื่อเหลือไว้ขายได้อีกต่างหาก

พ่อชุมเริ่มทำกระชังปลาไป 5 กระชัง ทำด้วยไม้ไผ่ง่ายๆ มีตาข่าย 3 ด้าน อีกด้านหนึ่งใช้ผนังดินของตลิ่งเป็นที่กั้น เขาซื้อพันธุ์ปลามาปล่อยเอาไว้ เลี้ยงด้วยอาหาร สลับกับไส้เดือนหรือเศษอาหารบางอย่าง ผ่านไปสองสามเดือน ปลาเริ่มโตว่ายกันไปมา ตัวอวบอ้วน สุขภาพดี

20080507 กระชังสีฟ้าเรียงรายริมแม่น้ำ
กระชังสีฟ้าเรียงรายริมแม่น้ำ

ฉันไปเยี่ยมเขาไม่นานนี้ นับกระชังดูแล้ว กลับพบว่าเหลือแค่ 4 ส่วนกระชังที่หายไปนั้นเขาบอกฉันว่า
“เอาข้าวเหนียวแห้งให้มันกิน ปลากฎว่าท้องอืด ตายลอยเกลื่อนเลย”

ว่าแล้วก็หัวเราะ ขำให้กับตัวเอง แล้วก็มองปลาที่เหลืออย่างมีความสุข

ผ่านไปอีกหลายสัปดาห์ ปลาในกระชังก็ลดเหลือเพียงแค่ 3 มันหายไปอีกหนึ่งกระชัง คราวนี้ชายชราหัวเราะดังกว่าเดิม
“พ่อให้มันกินแมงเม่า นึกว่ามันจะชอบ เห็นกินกันใหญ่ ปรากฏว่าท้องอืดตายเหมือนกัน”

เขาดูจะสนุกกับการเรียนรู้ของเขาเอง ตลอดชีวิตในหมู่บ้านเล็กๆ ที่อุดมสมบูรณ์ ปลาคือสิ่งที่มีอยู่ในน้ำสม่ำเสมอ พ่อชุมบอกว่า อีกไม่นานปลาในกระชังที่เหลือก็จะโตเต็มที่ พร้อมที่จะกินได้อย่างอร่อยหรือนำไปขายที่ตลาดได้แล้ว

หากแต่ไม่กี่วันที่ผ่านมา ฝนตกไม่ลืมหูลืมตา น้ำที่เพิ่มระดับขึ้นเรื่อยๆ มีมากอย่างคาดไม่ถึง ฉันกลับไปเยี่ยมเขาคราวนี้ เห็นมีกระชังเปล่าๆ เหลืออยู่เพียงอันเดียว

“กระชังแตก เพราะน้ำมามากเกิน ปลาทะลักออกจากกระชังหมดเลย”
เขาเล่าไป  ทำตาโตอย่างระทึก สลับกับยิ้ม แล้วพาฉันเดินไปยังริมตลิ่ง ก้มมองดู ปลาจำนวนมาก ว่ายไปมาอย่างอิสระในแม่น้ำบริเวณนั้น แม้ว่าจะไม่มีกระชังมาจำกัดอิสรภาพของพวกมันอีก

“มันไม่ไปไหนเลย บ้านแตกแล้วก็ยังกลับมาที่เดิม แถมรู้ด้วยนะ ว่าจะให้อาหารมันเมื่อไหร่ ว่ายมารอ อยู่ริมตลิ่ง ก็เลยให้อาหารมันเช่นเดิม”
“แล้วกระชังที่เหลือล่ะ”
ฉันถาม
“ก็เห็นว่าเพื่อนๆ มันอยู่ข้างนอกหมดแล้ว เลยสงสาร ก็เปิดให้มันออกมาอยู่กับเพื่อนเสียเลย”
เขาว่าพลางเทอาหารลงแม่น้ำ ปลาเหล่านั้นแหวกว่ายมากินกันอย่างอร่อย อิ่มแล้วก็ว่ายเล่นไปมาหา หามุมสงบของใครของมัน ซึ่งจะเป็นมุมไหนก็ได้ของแม่น้ำ ฝั่งนี้ ฝั่งนั้น แล้วแต่อยากจะไปตรงไหน

“แล้วจะจับมันมากินยังไงล่ะ” ฉันอดสงสัยไม่ได้
“ก็ไม่ต้องจับมัน เลี้ยงไว้ดูเล่น” เขาหัวเราะจนตาหยี คู่ชีวิตของเขาเดินตามมาสมทบ แล้วบอกว่าหากใครมาจับได้ ก็แล้วแต่เขาจะแบ่งไว้ให้กิน
“ก็ดีนะพ่อ เราได้เพาะพันธุ์ปลาให้แม่น้ำไง” ฉันว่าอย่างเห็นดีเห็นงาม เผื่อมันว่ายไปมา บ้านหลังอื่นจะได้มีปลากินเพิ่มขึ้น

แต่พ่อชุมกลับหัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า
“มันไม่ไปไหนหรอก ไล่มันยังไม่ไปเลย สงสัยจะคิดถึงพ่อ เห็นแบบนี้ก็กินไม่ลง สงสัยต้องเลิกกินปลา  เพราะมันเป็นสัตว์เลี้ยงของเราไปแล้ว”

เขาเอ่ยทิ้งท้าย ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ริมตลิ่ง มองสัตว์เลี้ยงของเขาที่บางตัวก็ว่ายกลับเข้ามาหลับในกระชังผุพังอันที่เหลือ อย่างมีความสุข .

 

20080507 พ่อชุมนั่งอ่านบันทึกในสมุดทำมือ
พ่อชุมนั่งอ่านบันทึกในสมุดทำมือ  บนเก้าอี้ไม้ไผ่ที่ทำเอง


20080507 ที่ตากฟืนริมน้ำ
ที่ตากฟืนริมน้ำ

20080507 มุมน้ำดื่มไว้รองรับเพื่อนบ้าน
มุมน้ำดื่มไว้รองรับเพื่อนบ้าน

20080507 มุมโปรดของเพื่อนบ้านพากันนั่งมองไปยังกระชังริมน้ำ
มุมโปรดของเพื่อนบ้านพากันนั่งมองไปยังกระชังริมน้ำ ก่อนช่วยกันวิพากษ์วิจารณ์

20080507 อีกมุมพักผ่อนส่วนตัว
อีกมุมพักผ่อนส่วนตัวของพ่อชุมมีไว้ให้นั่งได้คนเดียวเท่านั้น

20080507 แมวของเพื่อนบ้าน
แมวของเพื่อนบ้าน มาเยี่ยมแล้วก็กำลังจะกลับ

 

บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
ความชื้นแฉะเหล่านั้นคงไม่เป็นไรหรอกกระมัง หยดน้ำที่ทำให้พื้นดินที่สีดำขึ้นมากกว่าปกติ ดินที่นุ่มลง หญ้าที่ปกคลุมไปถ้วนทั่ว ฉันว่ามันชุ่มฉ่ำดีเหมือนกัน เมื่อฤดูฝนยาวกว่าที่เราคิด และปีนี้ ฝนก็ตกบ่อยกว่าปีที่ผ่านมา
วาดวลี
ท้องฟ้าอ้อยสร้อยแบบนั้นแหละ ที่คนแถวบ้านฉันรำพึงกันว่า เป็นความชุ่มฉ่ำต้อนรับเทศกาลเข้าพรรษา ฝนตกเอื่อยๆ พรมความชื้นไปทั่วถนนเล็กๆ ของหมู่บ้านเรา แต่ก็ไม่มีใครย่อท้อที่จะออกไปทำบุญ ดอกไม้ธูปเทียน อาหารคาวหวาน ข้าวตอกดอกไม้ คนข้างบ้านของฉันซึ่งเป็นครอบครัวที่ขยันทำงานไม่มีวันหยุด ก็ยังเอ่ยปากบอกว่า หยุดงานสักวันสองวันดีกว่า นอกจากไปทำบุญแล้ว ก็ยังได้หยุดอยู่บ้านกับครอบครัวอีกด้วย
วาดวลี
นานมาแล้วที่ฉันเคยได้ยินประโยคที่ว่า “แค่กระพริบตา โลกก็เปลี่ยน” แล้วเคยคิดเล่นๆ ว่า อะไรก็ตามที่เปลี่ยนไปแบบฉับพลัน หรือ เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังนั้น คงไม่ได้เกิดบ่อยนัก และหากจะเกิดขึ้นจริง ทุกอย่างล้วนมีสาเหตุ มีสัญญาณเตือนมาก่อน อยู่ที่เราจะสังเกตหรือไม่ก็เท่านั้น แต่สำหรับเรื่องของพี่ชาย พอจะทำให้ฉันเชื่อได้บ้างว่า กับเรื่องบางเรื่องนั้น การเปลี่ยนแปลงก็ไม่ได้มีอะไรมาเตือนล่วงหน้า
วาดวลี
 “รักของพี่กับเขาเริ่มตรงนี้”ตรงที่พี่ชายพูด มันคือถนนเส้นหนึ่ง ที่ตัดผ่านกลางระหว่างคูเมืองด้านในของเชียงใหม่ ไปยังชุมชนเก่าแก่แห่งหนึ่ง รอบๆ ถนนมีอาหารพื้นเมืองขาย มีส้มตำ ไก่ย่าง ร้านรวง บริษัท รวมทั้งวัดเก่าแก่สวยงาม   ฉันก้มลงไปมองตามนิ้วชี้ของเขา ที่ตรงนั้น คือฝาท่อกลมๆ เก่าๆ ปิดรอยโหว่ขี้เหร่ของถนนเอาไว้“ตรงนี้น่ะหรือ จุดเริ่มต้นของความรัก”ฉันทำหน้าไม่อยากเชื่อ พี่ชายยิ้มที่มุมปาก แล้วพยักหน้า “มีอยู่วันหนึ่ง พี่มาก้มๆ เงยๆ ผูกเชือกรองเท้าตรงนี้ ว่าจะเดินไปเยี่ยมเพื่อนที่ร้านซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าข้างหน้านั่น ก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินมา ผมยาว ผิวขาว หน้าตาก็ไม่สวยมาก…
วาดวลี
“บ้านพอมีที่เหลือว่างไหม” คนถามฉันเป็นชายหนุ่ม ที่นับนามว่าเป็น “เพื่อน” กัน มาได้ 4 ปีแล้ว ความจริง เขาเป็นเพื่อนของเพื่อน เมื่อรู้จักกันได้นับปี ก็ตัดสินใจได้ว่าเขาน่าจะเป็น “คนดี” พอในแบบที่ร้องขออะไร แล้วเราไม่กล้าที่จะไม่ให้ หากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย หรือลำบากใจกันจริงๆ มาครั้งนี้ บนถ้อยคำอาวรณ์ น้ำเสียงเขาหม่นเศร้า แววตาก็หม่นเศร้า เกิดอะไรขึ้นกับเขาหรือ เช้าวันอาทิตย์ที่แสงแดดสายสาดส่องให้อบอุ่น บนฟ้ามีก้อนเมฆปุกปุยสีขาว ไหลไปมาบนพื้นสีคราม สวยยิ่งกว่าสวย แต่เขาคนนี้มีแววเหมือนคนที่เพิ่งผ่านการร้องไห้มา
วาดวลี
 ๑. จะมี อะไรบ้าง ยั่งยืน ? กลางวัน กลางคืน แดด ฝน ลม หนาว มนุษย์ สมมุติ ชั่วคราว ว่าเรา ครอบครอง เพื่อ "ของเรา" ๒. ไยแย่งโอบกอดอนาคต แล้วเอ่ยกล่าวโทษวันเก่า ไยถก ไยเถียง เรื่องเงา ที่ลาลับ ล่วงกับ ดวงตะวัน 
วาดวลี
เชียงใหม่ในวันที่ฝนซา เพื่อนที่แวะมาเยี่ยมต่อสายบอกว่ากลับถึงบางกอกเรียบร้อยดีแล้ว เสียงอึกทึกครึกโครมที่รายล้อมตัวเธอบอกฉันว่า เธอไม่ได้อยู่ลำพังขณะคุยโทรศัพท์ ฉันแซวเธอเล่นๆ ว่ากำลังอยู่ในถิ่นอโคจรหรือเปล่านะ ก็เราคุยกันแทบจะไม่ได้ยินอะไรนอกจากเสียงเพลง เสียงรถ และเสียงคนมากมายเธอหัวเราะชอบใจ แล้วตอบว่า "ใช่ ฉันอยู่ในถิ่นอะโคจร" แล้วย้อนสวนมาว่า"ก็ดีกว่าอยู่ในแดนสนธยาเหมือนเธอ"ดอกหญ้าในสวนหลังบ้าน รกร้าง แต่ก็สวยงามในความรู้สึก 
วาดวลี
ฉันรู้สึกเหมือนกำลังเดินทางไปประเทศจีน เดินทางโดยยังไม่ได้ก้าวขาออกจากบ้านเสียด้วยซ้ำ มันเป็นการเดินทางด้วยจิตใจและจินตนาการ เมื่อน้องสาวที่น่ารักคนหนึ่งของฉัน เธอเดินทางไปเป็นครูสอนภาษาไทยอยู่ที่เมืองหนานหนิง มณฑลกวางสีตั้งแต่ 1 ปีที่แล้ว อีกไม่กี่เดือนก็จะย่างครบ 1 ปี เธอบอกว่าคิดถึงเมืองไทยเป็นที่สุด และนับจากวันนี้ไปอีกแค่ 8 วันเท่านั้นเธอก็จะได้กลับมาเหยียบผืนดินไทยอีกครั้งแล้ว“ดีใจนะที่ปลอดภัย”จำได้ว่าเอ่ยกับเธอด้วยประโยคนี้ หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ประเทศจีนไม่นาน ฉันนึกถึงใบหน้าของเธอ แก้มยุ้ยๆ  และแววตาวาบวับที่ระยิบระยับเสมอ…
วาดวลี
"เธอว่าเราจะไปไหน ?"ฉันถาม แล้วก็ก้าวขึ้นซ้อนมอเตอร์ไซค์ โดยไม่รอคำตอบมาถึง เสียงติดเครื่องของรถคันเก่าดั่งกระหึ่ม ยามบ่ายๆ ของวันหยุดที่เราควรจะได้เดินทางบ้าง แม้จะเป็นระยะทางสั้นๆ หรือยามว่างอันน้อยนิด ฉันอยากออกไปสูดอากาศ ส่วนเธออยากขี่รถเล่นเงยหน้ามองท้องฟ้า วันนี้ไม่มีฝน แม้จะไม่มีแดด แต่ก้อนเมฆยามบ่ายขับเคลื่อนราวว่า อีกนานกว่าพายุจะคลุมเมืองไว้อีกครั้ง
วาดวลี
ท้องฟ้าในเมืองของเรายังสวยเสมอ โดยเฉพาะยามที่เพื่อนเก่าของฉันรีบจอดจักรยานไว้ข้างตลาด แล้วเดินเข้ามาจับมือ เธอเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปทางทิศตะวันตก ก้อนเมฆพวกนั้นเลื้อยตัวมากอดภูเขาเอาไว้ มองไกลๆ เหมือนใครเอาผ้าขนหนูสีขาวนุ่มๆ ไปพันทิ้งไว้(เมืองเล็กๆ ของเราหลังฝนตก)
วาดวลี
ตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก ฉันและแม่มีกฎร่วมกันอยู่อย่างหนึ่งว่า หากไปเยี่ยมบ้านใครแล้วเขาให้ขนมกิน ก็ให้ยกมือไหว้ขอบคุณ แต่ไม่จำเป็นต้องรับไปเสียทั้งหมด แม่เคยเปรยๆ ว่า ถึงครอบครัวเราจะยากจนแต่แม่สามารถทำอาหารอร่อยๆ ให้กินได้ทุกมื้อ อีกอย่างก็คือบางคนเขาไม่ได้ตั้งใจทำเผื่อเราหรอก แต่เป็นการให้โดยมารยาทเท่านั้น หากรับไว้เสียหมดก็กลายเป็นการรบกวนเขาไปก็เป็นได้แม้แม่จะบอกแบบนี้ แต่ฉันและแม่ก็รู้ดีว่า ผู้คนรอบตัวที่ใจดีมีน้ำใจกับเรานั้นมีมากมายเพียงใด พ่อเล่าว่าฉันเป็นเด็กอ้วนแก้มยุ้ย ใครเห็นก็เอ็นดู มักเรียกให้ไปกินขนมอยู่ร่ำไป ดังนั้นข้อตกลงของฉันกับแม่ จึงกลายเป็นว่า หากมีคนยื่นให้…
วาดวลี
ฝนยังโปรยลงมาไม่ขาดสาย แม้จะเพิ่งผ่านเดือนเมษายนมาได้ไม่เท่าไหร่  ท้องทุ่งฉ่ำไปด้วยฝนและดูจะมากไปจนน่าวิตก ลานกว้างหน้าบ้านของยายปลีวันนี้จึงไม่มีเด็กๆ มาวิ่งเล่น แต่หลบฝนกันไปวาดรูปเล่นอยู่ตรงชานเรือน หลานอีกคนทำหน้าตาเบื่อเพราะอยากออกไปเที่ยวเล่นบ้านเพื่อน นี่เป็นวันธรรมดาที่อาจมีทั้งความหมายหรือไม่มี สำหรับยายปลี เพราะหลังจากแกเก็บผ้าเข้าไปตากใต้ยุ้งข้าวเรียบร้อยแล้ว ก็กลับมานั่งอยู่ประจำที่ อยู่กับเครื่องทอด้ายแบบสมัยโบราณ มันทำจากไม้ และไม่รู้ว่ามันมีอายุมาแล้วเท่าไหร่