Skip to main content

ตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก ฉันและแม่มีกฎร่วมกันอยู่อย่างหนึ่งว่า หากไปเยี่ยมบ้านใครแล้วเขาให้ขนมกิน ก็ให้ยกมือไหว้ขอบคุณ แต่ไม่จำเป็นต้องรับไปเสียทั้งหมด แม่เคยเปรยๆ ว่า ถึงครอบครัวเราจะยากจนแต่แม่สามารถทำอาหารอร่อยๆ ให้กินได้ทุกมื้อ อีกอย่างก็คือบางคนเขาไม่ได้ตั้งใจทำเผื่อเราหรอก แต่เป็นการให้โดยมารยาทเท่านั้น หากรับไว้เสียหมดก็กลายเป็นการรบกวนเขาไปก็เป็นได้

แม้แม่จะบอกแบบนี้ แต่ฉันและแม่ก็รู้ดีว่า ผู้คนรอบตัวที่ใจดีมีน้ำใจกับเรานั้นมีมากมายเพียงใด พ่อเล่าว่าฉันเป็นเด็กอ้วนแก้มยุ้ย ใครเห็นก็เอ็นดู มักเรียกให้ไปกินขนมอยู่ร่ำไป ดังนั้นข้อตกลงของฉันกับแม่ จึงกลายเป็นว่า หากมีคนยื่นให้ ฉันจะยังไม่รับเอาไว้ จนกว่าจะหันไปมองเห็นแม่พยักหน้าน้อยๆ ว่าเป็นอันตกลง ฉันถึงจะยอมรับข้อเสนอ

โชคดีที่ฉันไม่ค่อยออกไปเที่ยวเล่นบ้านคนอื่นมากนัก มีแต่เพื่อนๆ ที่ชอบมาเล่นที่บ้านของฉันมาก บ้านของฉันติดแม่น้ำ เราสนุกกับการทำเรือกระดาษแล้วแข่งกันลอย ตรงลานบ้านก็มีไว้ให้วาดรูป พ่อแม่ใจดีมีกระดาษให้เราวาดรูป ดินสอ ที่หักแบ่งกัน และนิทานที่พ่อไปยืมมาจากวัด โลกของเด็กๆ ที่เราเคยคิดว่าอิสรเสรี แอบทำนั่นนี่โดยไม่ให้ใครเห็น พอถึงตอนโตกลับต้องมานั่งหัวเราะ ที่พวกผู้ใหญ่เขารับรู้ตลอดว่าเราทำอะไร เช่น แอบเอาชุดกระโปรงของแม่มาสวม  แอบเอาผ้าขาวม้าของพ่อมาขึงทำเป็นฉากลิเก

ฉับทบทวนเรื่องเหล่านี้ทีไร ก็มีแต่แอบยิ้ม ยกเว้นก็เพียงเรื่องเดียว คือเรื่องของยายน้อย

……

ยายน้อยเป็นผู้ใหญ่ข้างบ้าน แกเป็นแม่หม้ายที่สามีหายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ บางครั้งฉันได้ยินคนเขาเล่าว่า สามียายน้อยในอดีตคือพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ ถูกจับติดคุกตลอดชีวิต เขาจึงไม่สามารถกลับมาบ้านได้อีกแล้ว บางคนก็เล่าว่าเขาถูกรถชนตาย บางคนก็บอกว่าเขาหนีไปอยู่กับภรรยาใหม่ เรื่องเล่าเหล่านี้เป็นความลับสำหรับเราเสมอมา และก็ไม่เคยมีใครกล้าถามยายน้อยตรงๆ รับรู้เพียงแต่ว่าแกใช้ชีวิตอยู่กับลูกๆ อีก 3 คน โดยไม่ลำบากนัก ในบ้านหลังใหญ่ เนื้อที่กว้างขวาง พร้อมสมบัติพัสถานมากมาย บ้านยายน้อยมีรั้วกั้นทุกด้าน แต่ก็ใช่ว่าใครจะแอบเข้าไปไม่ได้

ยายน้อยเป็นคนดุไหม ฉันก็ตอบไม่ถูก เพียงแต่แกมีสีหน้าที่เย็นชา หัวเราะยาก ยามยิ้มก็เป็นการยิ้มที่ทำให้ขนลุก ไม่เหมือนยิ้มของคนใจดี นอกจากนี้เวลายายน้อยเดินเข้าบ้านมาทีไร ก็เป็นเรื่องไม่ค่อยดีนัก เป็นต้นว่า แกมาตามหาหลานสาวตัวเล็กๆ แน่นอนว่าเธอแอบมาเล่นที่บ้านของฉันนั่นเอง

“กลับได้แล้วหนุ่ย บ้านเรามีของเล่นเยอะแยะ” แกเรียกหลานด้วยเสียงเย็นๆ
“หนุ่ยไม่กลับ หนุ่ยจะเล่นกับพี่ๆ” หนุ่ยเถียงแกเสมอ อย่างที่คนอื่นไม่กล้าเถียง

แล้วก็ได้ผลทุกครั้ง แกได้แต่ถอนหายใจ แสดงออกว่าแกรักหลานของแกมาก ฉันเพิ่งมารู้ตอนหลังว่า ลูกๆ ของยายน้อยย้ายไปแต่งงานมีครอบครัวที่อื่นหมดแล้ว ทิ้งไว้ก็เพียงแต่หลานตัวเล็กๆ ให้แกเลี้ยงดูและอยู่เป็นเพื่อน

หนุ่ยเป็นเด็กที่มีชีวิตพิเศษ มีของเล่นราคาแพง มีอุปกรณ์การเรียนและชุดนักเรียนใหม่เสมอ แต่มีเพียงอย่างเดียวที่ฉันเคยนึกอิจฉา ก็คือหนุ่ยมีกีตาร์เล่นเป็นของตัวเอง ส่วนฉันแม้อยากฝึกเพียงใดก็ไม่สามารถจะหามาเล่นได้ ฉันกับหนุ่ยเป็นเพื่อนเล่นต่างวัยกัน ในขณะที่หน้าตาของหนุ่ยดูใคร่ไม่ค่อยมีความสุขนัก จำได้ว่าเย็นวันหนึ่ง หนุ่ยมาเล่นวาดรูปที่บ้านฉันแล้วไม่ยอมกลับ ยายน้อยก็ถึงกลับขึ้นเสียง
“ต่อไปอย่ามาทีนี่อีก”

ฉันไม่เข้าใจเหตุผลของแกหรอก แต่นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา พ่อแม่ของเราก็ดูเหมือนจะมีกำแพงต่อกันไปด้วย ถ้าไม่จำเป็นอย่าข้ามถนนไปฝั่งบ้านเขา พ่อไม่อยากให้มองหน้ากันไม่ติด ส่วนน้องหนุ่ย ก็ได้ยินเสียงแกร้องไห้โวยวายอยู่ทุกวัน พร้อมกับโดนตีหากเป็นเด็กดื้อ จากที่เคยสนิทกับ ฉันกับหนุ่ยจึงห่างกันออกไปมากขึ้น วันหนึ่งหนุ่ยก็หายไปจากบ้าน ยายน้อยบอกฉันว่า
“เขาไปเยี่ยมพ่อแม่ คงจะได้เรียนในเมือง จะได้เก่งๆ มีอนาคต”

เขาบอกกับฉันพร้อมรอยยิ้มที่ยิ้มได้แค่ครู่เดียว ตั้งแต่นั้นมา ฉันไม่เคยเห็นแกยิ้มอีกเลย ยิ้มในแบบเดียวกับพ่อแม่ของฉันและคนอื่นๆ ยิ้ม

.....................

แต่ไม่นานจากนั้น กำแพงระหว่างฉันกับยายน้อยก็เหมือนจะทลายลงไปบ้าง จากการที่แม่ของฉันตายจากไป แกเดินเข้าบ้านมา ยื่นซองสีขาวให้ซองหนึ่ง ในนั้นเป็นเงินทำบุญ ฉันรับไว้พร้อมยกมือไหว้ วูบนั้นฉันเห็น แววตาของยายน้อยที่แสดงความเอ็นดูและเสียใจ

น่าเสียดายที่จากนั้นไม่นาน ฉันก็ออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่น นานๆ ครั้งเมื่อกลับบ้าน เราต่างเป็นคนแปลกหน้าที่คุ้นเคย เจอกันยิ้มทักทายกันบ้าง ทักทายกันเวลาเดินสวน ผ่านหน้าบ้าน  แต่ก็มีเพียงแค่นั้น ไม่เคยเลยสักครั้งที่ยายน้อยจะเดินมาเยี่ยมที่บ้าน หรือ พูดคุยสารทุกข์สุขดิบเช่นคนอื่นๆ

ยกเว้นก็เสียแต่วันนี้

บ้านของฉันมีโอกาสต้อนรับยายน้อย แกสวมเสื้อสีน้ำตาล ผ้าถุงลายเถาวัลย์ที่มีใบไม้เล็กๆ เกี่ยวอยู่รอบตัว แกไม่ได้เดินมามือเปล่า มีแกงอะไรสักอย่างอยู่ในชามใบใหญ่ ริ้วรอยความแก่ชราทำให้ฉันเผลอเห็นรอยยิ้มนั้น ไม่ต่างไปจากรอยยิ้มของคนแก่เฒ่าคนอื่นที่เอ็นดูเด็กๆ

ต่างก็เพียงมันเป็นรอยยิ้มที่โศกเศร้า
“ยายทำแกงขนุนมาให้ชิม”
แกบอกกับฉันแบบนี้ ในวันที่ไม่มีแม่คอยพยักหน้าให้รับ ฉันยื่นมือออกไปรับไว้ และวางลงข้างๆ ยอมรับว่าใจเต้นตึกตัก ภาพในอดีตย้อนมาชวนให้อ่อนไหว ฉันกล่าวขอบคุณ และแสดงท่าทางอยากชิมแกงหม้อนั้นเร็วๆ

“ยายทำเองเหรอ”
“ใช่สิ ยังแข็งแรงอยู่นะ” แกหัวเราะน้อยๆ พร้อมนั่งลงบนเสื่อ ตาของพ่อฉันแอบมองมาเป็นระยะๆ คราวนี้ แววตาพ่อดูเหมือนจะเข้าใจแกมากไปกว่าเสียทุกครั้งด้วยซ้ำ
“กินเลยไหม หิวก็กินเลยลูก มาเหนื่อยๆ ข้าวปลายังไม่ได้กินนินา”
“เดี๋ยวค่อยกินก็ได้ค่ะ ยายสบายดีเหรอ สงกรานต์นี้ลูกๆ มากันเยอะไหมคะ”
ฉันถามไปตามประสา พ่อส่งสายตาบางอย่างมาให้ ยายน้อยยกมือเหี่ยวย่นขึ้นลูบบนใบหน้า จากนั้นฉันก็ต้องตกใจเมื่อเห็นแกโผเข้ามากอดฉันเอาไว้

น้ำตาหยดลงบนชามแกง เรื่องจริงหรือเท็จ ฉันไม่อาจทราบได้ รู้แต่แกกอดฉันแน่นขึ้นเรื่อยๆ
“พวกเขามา มากันเกือบทุกคน แต่มาโดยไม่มีชีวิต เขาตายกันหมดแล้ว”
ยายน้อยตอบเสียงสั่นๆ ฉันอ้าปากค้าง พ่อช่วยเล่าสั้นๆ เพื่อไม่ให้ยายน้อยต้องสะเทือนใจว่า ผ่านไปนับหลายปีนี้ ลูกหลานแกไม่มาเยี่ยมบ้าน เพิ่งได้ข่าวในปีนี้ว่า จะพาหลานๆ กลับมาเยี่ยมในช่วงสงกรานต์

ยายน้อยตื่นแต่เช้า หุงข้าว เตรียมสำรับ ซักผ้า ถางหญ้า ถูบ้าน ไว้ต้อนรับทุกคน พร้อมใส่เสื้อผ้าใหม่ แต่แล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจก็มาแจ้งแกที่บ้านว่า รถคันนั้นประสบอุบัติเหตุ ทั้งเสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัส

บ้านหลังนั้นมีโอกาสต้อนรับโลงศพจำนวนหลายใบ ในวันขึ้นปีใหม่

“ยายไม่มีหลานอีกแล้ว ไม่มีแล้ว...”
ยายน้อยคร่ำครวญ ผละจากการกอดฉันแล้วก็ยังจับมือเอาไว้ สิ่งที่อยู่ในน้ำตาและเสียงร้องไห้ มีคำถามและเรื่องราวมากมายที่ต่อให้โลกทั้งโลกผ่านไปนานกว่านี้ เราก็ไม่มีวันเข้าใจ

ฉันกลั้นน้ำตา ลูบบนหลังมือเหี่ยวย่นนั้นเบาๆ
“คิดว่าหลานยังอยู่กับเราใกล้ๆ ก็ได้ค่ะยาย ถ้าอยู่ตรงนี้ยายจะทำอะไรบ้างล่ะ”
“ก็ทำขนมหวานให้กินนะ ยายจะพามาเล่นที่นี่บ่อยๆ จะให้เอากีตาร์มายืมทุกวันเลย ถ้าหนูอยากเล่น”

บางครั้ง อดีตเป็นความหอมหวานมากกว่าปัจจุบันกระมัง สำหรับยายน้อย ความทรงจำได้โอบอุ้มชีวิตที่สวยงามของแกเอาไว้ในเวลานี้ หลายวันที่ฉันอยู่ที่บ้าน มีโอกาสได้รับอาหาร ขนม จากยายน้อยแทบจะทุกมื้อ
ฉันคิดถึงแม่ ทุกครั้งที่เอื้อมมือไปรับสิ่งเหล่านั้น พลางคิดว่า แม่คงไม่ตำหนิอีกต่อไปแล้ว หากฉันจะปล่อยให้หญิงชราผู้นี้ลงมือทำอาหารทุกวันอย่างเหน็ดเหนื่อย  สิ้นเปลืองไปกับสิ่งที่มากเกินกว่าแกคนเดียวจะกินจะใช้

และฉันเพิ่งเข้าใจในวันนี้เอง ว่าการหยิบยื่นให้เราสำหรับคนบางคนนั้น เขามีความสุขกับสิ่งที่เขาได้รับ มากกว่าที่เราเห็น

มากมายนัก.

...................

หมายเหตุ : ภาพชุดนี้อาจไม่เกี่ยวกับในเรื่องโดยตรง แต่ได้ภาพมาจากการทำบุญเวียนเทียนค่ะ

 

20080521 บางอย่างเผาไหม้ เพื่อส่งไปถึง
บางอย่างเผาไหม้ เพื่อส่งไปถึง

20080521 ตัวแทนของการคารวะแห่งจิตวิญญาณ
ตัวแทนของการคารวะแห่งจิตวิญญาณ
20080521 ภาพอันคุ้นตา และสาระอันคุ้นใจ
ภาพอันคุ้นตา และสาระอันคุ้นใจ
20080521 (4)
20080521 (5)
20080521 (6)




บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
ความชื้นแฉะเหล่านั้นคงไม่เป็นไรหรอกกระมัง หยดน้ำที่ทำให้พื้นดินที่สีดำขึ้นมากกว่าปกติ ดินที่นุ่มลง หญ้าที่ปกคลุมไปถ้วนทั่ว ฉันว่ามันชุ่มฉ่ำดีเหมือนกัน เมื่อฤดูฝนยาวกว่าที่เราคิด และปีนี้ ฝนก็ตกบ่อยกว่าปีที่ผ่านมา
วาดวลี
ท้องฟ้าอ้อยสร้อยแบบนั้นแหละ ที่คนแถวบ้านฉันรำพึงกันว่า เป็นความชุ่มฉ่ำต้อนรับเทศกาลเข้าพรรษา ฝนตกเอื่อยๆ พรมความชื้นไปทั่วถนนเล็กๆ ของหมู่บ้านเรา แต่ก็ไม่มีใครย่อท้อที่จะออกไปทำบุญ ดอกไม้ธูปเทียน อาหารคาวหวาน ข้าวตอกดอกไม้ คนข้างบ้านของฉันซึ่งเป็นครอบครัวที่ขยันทำงานไม่มีวันหยุด ก็ยังเอ่ยปากบอกว่า หยุดงานสักวันสองวันดีกว่า นอกจากไปทำบุญแล้ว ก็ยังได้หยุดอยู่บ้านกับครอบครัวอีกด้วย
วาดวลี
นานมาแล้วที่ฉันเคยได้ยินประโยคที่ว่า “แค่กระพริบตา โลกก็เปลี่ยน” แล้วเคยคิดเล่นๆ ว่า อะไรก็ตามที่เปลี่ยนไปแบบฉับพลัน หรือ เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังนั้น คงไม่ได้เกิดบ่อยนัก และหากจะเกิดขึ้นจริง ทุกอย่างล้วนมีสาเหตุ มีสัญญาณเตือนมาก่อน อยู่ที่เราจะสังเกตหรือไม่ก็เท่านั้น แต่สำหรับเรื่องของพี่ชาย พอจะทำให้ฉันเชื่อได้บ้างว่า กับเรื่องบางเรื่องนั้น การเปลี่ยนแปลงก็ไม่ได้มีอะไรมาเตือนล่วงหน้า
วาดวลี
 “รักของพี่กับเขาเริ่มตรงนี้”ตรงที่พี่ชายพูด มันคือถนนเส้นหนึ่ง ที่ตัดผ่านกลางระหว่างคูเมืองด้านในของเชียงใหม่ ไปยังชุมชนเก่าแก่แห่งหนึ่ง รอบๆ ถนนมีอาหารพื้นเมืองขาย มีส้มตำ ไก่ย่าง ร้านรวง บริษัท รวมทั้งวัดเก่าแก่สวยงาม   ฉันก้มลงไปมองตามนิ้วชี้ของเขา ที่ตรงนั้น คือฝาท่อกลมๆ เก่าๆ ปิดรอยโหว่ขี้เหร่ของถนนเอาไว้“ตรงนี้น่ะหรือ จุดเริ่มต้นของความรัก”ฉันทำหน้าไม่อยากเชื่อ พี่ชายยิ้มที่มุมปาก แล้วพยักหน้า “มีอยู่วันหนึ่ง พี่มาก้มๆ เงยๆ ผูกเชือกรองเท้าตรงนี้ ว่าจะเดินไปเยี่ยมเพื่อนที่ร้านซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าข้างหน้านั่น ก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินมา ผมยาว ผิวขาว หน้าตาก็ไม่สวยมาก…
วาดวลี
“บ้านพอมีที่เหลือว่างไหม” คนถามฉันเป็นชายหนุ่ม ที่นับนามว่าเป็น “เพื่อน” กัน มาได้ 4 ปีแล้ว ความจริง เขาเป็นเพื่อนของเพื่อน เมื่อรู้จักกันได้นับปี ก็ตัดสินใจได้ว่าเขาน่าจะเป็น “คนดี” พอในแบบที่ร้องขออะไร แล้วเราไม่กล้าที่จะไม่ให้ หากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย หรือลำบากใจกันจริงๆ มาครั้งนี้ บนถ้อยคำอาวรณ์ น้ำเสียงเขาหม่นเศร้า แววตาก็หม่นเศร้า เกิดอะไรขึ้นกับเขาหรือ เช้าวันอาทิตย์ที่แสงแดดสายสาดส่องให้อบอุ่น บนฟ้ามีก้อนเมฆปุกปุยสีขาว ไหลไปมาบนพื้นสีคราม สวยยิ่งกว่าสวย แต่เขาคนนี้มีแววเหมือนคนที่เพิ่งผ่านการร้องไห้มา
วาดวลี
 ๑. จะมี อะไรบ้าง ยั่งยืน ? กลางวัน กลางคืน แดด ฝน ลม หนาว มนุษย์ สมมุติ ชั่วคราว ว่าเรา ครอบครอง เพื่อ "ของเรา" ๒. ไยแย่งโอบกอดอนาคต แล้วเอ่ยกล่าวโทษวันเก่า ไยถก ไยเถียง เรื่องเงา ที่ลาลับ ล่วงกับ ดวงตะวัน 
วาดวลี
เชียงใหม่ในวันที่ฝนซา เพื่อนที่แวะมาเยี่ยมต่อสายบอกว่ากลับถึงบางกอกเรียบร้อยดีแล้ว เสียงอึกทึกครึกโครมที่รายล้อมตัวเธอบอกฉันว่า เธอไม่ได้อยู่ลำพังขณะคุยโทรศัพท์ ฉันแซวเธอเล่นๆ ว่ากำลังอยู่ในถิ่นอโคจรหรือเปล่านะ ก็เราคุยกันแทบจะไม่ได้ยินอะไรนอกจากเสียงเพลง เสียงรถ และเสียงคนมากมายเธอหัวเราะชอบใจ แล้วตอบว่า "ใช่ ฉันอยู่ในถิ่นอะโคจร" แล้วย้อนสวนมาว่า"ก็ดีกว่าอยู่ในแดนสนธยาเหมือนเธอ"ดอกหญ้าในสวนหลังบ้าน รกร้าง แต่ก็สวยงามในความรู้สึก 
วาดวลี
ฉันรู้สึกเหมือนกำลังเดินทางไปประเทศจีน เดินทางโดยยังไม่ได้ก้าวขาออกจากบ้านเสียด้วยซ้ำ มันเป็นการเดินทางด้วยจิตใจและจินตนาการ เมื่อน้องสาวที่น่ารักคนหนึ่งของฉัน เธอเดินทางไปเป็นครูสอนภาษาไทยอยู่ที่เมืองหนานหนิง มณฑลกวางสีตั้งแต่ 1 ปีที่แล้ว อีกไม่กี่เดือนก็จะย่างครบ 1 ปี เธอบอกว่าคิดถึงเมืองไทยเป็นที่สุด และนับจากวันนี้ไปอีกแค่ 8 วันเท่านั้นเธอก็จะได้กลับมาเหยียบผืนดินไทยอีกครั้งแล้ว“ดีใจนะที่ปลอดภัย”จำได้ว่าเอ่ยกับเธอด้วยประโยคนี้ หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ประเทศจีนไม่นาน ฉันนึกถึงใบหน้าของเธอ แก้มยุ้ยๆ  และแววตาวาบวับที่ระยิบระยับเสมอ…
วาดวลี
"เธอว่าเราจะไปไหน ?"ฉันถาม แล้วก็ก้าวขึ้นซ้อนมอเตอร์ไซค์ โดยไม่รอคำตอบมาถึง เสียงติดเครื่องของรถคันเก่าดั่งกระหึ่ม ยามบ่ายๆ ของวันหยุดที่เราควรจะได้เดินทางบ้าง แม้จะเป็นระยะทางสั้นๆ หรือยามว่างอันน้อยนิด ฉันอยากออกไปสูดอากาศ ส่วนเธออยากขี่รถเล่นเงยหน้ามองท้องฟ้า วันนี้ไม่มีฝน แม้จะไม่มีแดด แต่ก้อนเมฆยามบ่ายขับเคลื่อนราวว่า อีกนานกว่าพายุจะคลุมเมืองไว้อีกครั้ง
วาดวลี
ท้องฟ้าในเมืองของเรายังสวยเสมอ โดยเฉพาะยามที่เพื่อนเก่าของฉันรีบจอดจักรยานไว้ข้างตลาด แล้วเดินเข้ามาจับมือ เธอเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปทางทิศตะวันตก ก้อนเมฆพวกนั้นเลื้อยตัวมากอดภูเขาเอาไว้ มองไกลๆ เหมือนใครเอาผ้าขนหนูสีขาวนุ่มๆ ไปพันทิ้งไว้(เมืองเล็กๆ ของเราหลังฝนตก)
วาดวลี
ตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก ฉันและแม่มีกฎร่วมกันอยู่อย่างหนึ่งว่า หากไปเยี่ยมบ้านใครแล้วเขาให้ขนมกิน ก็ให้ยกมือไหว้ขอบคุณ แต่ไม่จำเป็นต้องรับไปเสียทั้งหมด แม่เคยเปรยๆ ว่า ถึงครอบครัวเราจะยากจนแต่แม่สามารถทำอาหารอร่อยๆ ให้กินได้ทุกมื้อ อีกอย่างก็คือบางคนเขาไม่ได้ตั้งใจทำเผื่อเราหรอก แต่เป็นการให้โดยมารยาทเท่านั้น หากรับไว้เสียหมดก็กลายเป็นการรบกวนเขาไปก็เป็นได้แม้แม่จะบอกแบบนี้ แต่ฉันและแม่ก็รู้ดีว่า ผู้คนรอบตัวที่ใจดีมีน้ำใจกับเรานั้นมีมากมายเพียงใด พ่อเล่าว่าฉันเป็นเด็กอ้วนแก้มยุ้ย ใครเห็นก็เอ็นดู มักเรียกให้ไปกินขนมอยู่ร่ำไป ดังนั้นข้อตกลงของฉันกับแม่ จึงกลายเป็นว่า หากมีคนยื่นให้…
วาดวลี
ฝนยังโปรยลงมาไม่ขาดสาย แม้จะเพิ่งผ่านเดือนเมษายนมาได้ไม่เท่าไหร่  ท้องทุ่งฉ่ำไปด้วยฝนและดูจะมากไปจนน่าวิตก ลานกว้างหน้าบ้านของยายปลีวันนี้จึงไม่มีเด็กๆ มาวิ่งเล่น แต่หลบฝนกันไปวาดรูปเล่นอยู่ตรงชานเรือน หลานอีกคนทำหน้าตาเบื่อเพราะอยากออกไปเที่ยวเล่นบ้านเพื่อน นี่เป็นวันธรรมดาที่อาจมีทั้งความหมายหรือไม่มี สำหรับยายปลี เพราะหลังจากแกเก็บผ้าเข้าไปตากใต้ยุ้งข้าวเรียบร้อยแล้ว ก็กลับมานั่งอยู่ประจำที่ อยู่กับเครื่องทอด้ายแบบสมัยโบราณ มันทำจากไม้ และไม่รู้ว่ามันมีอายุมาแล้วเท่าไหร่