Skip to main content

ตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก ฉันและแม่มีกฎร่วมกันอยู่อย่างหนึ่งว่า หากไปเยี่ยมบ้านใครแล้วเขาให้ขนมกิน ก็ให้ยกมือไหว้ขอบคุณ แต่ไม่จำเป็นต้องรับไปเสียทั้งหมด แม่เคยเปรยๆ ว่า ถึงครอบครัวเราจะยากจนแต่แม่สามารถทำอาหารอร่อยๆ ให้กินได้ทุกมื้อ อีกอย่างก็คือบางคนเขาไม่ได้ตั้งใจทำเผื่อเราหรอก แต่เป็นการให้โดยมารยาทเท่านั้น หากรับไว้เสียหมดก็กลายเป็นการรบกวนเขาไปก็เป็นได้

แม้แม่จะบอกแบบนี้ แต่ฉันและแม่ก็รู้ดีว่า ผู้คนรอบตัวที่ใจดีมีน้ำใจกับเรานั้นมีมากมายเพียงใด พ่อเล่าว่าฉันเป็นเด็กอ้วนแก้มยุ้ย ใครเห็นก็เอ็นดู มักเรียกให้ไปกินขนมอยู่ร่ำไป ดังนั้นข้อตกลงของฉันกับแม่ จึงกลายเป็นว่า หากมีคนยื่นให้ ฉันจะยังไม่รับเอาไว้ จนกว่าจะหันไปมองเห็นแม่พยักหน้าน้อยๆ ว่าเป็นอันตกลง ฉันถึงจะยอมรับข้อเสนอ

โชคดีที่ฉันไม่ค่อยออกไปเที่ยวเล่นบ้านคนอื่นมากนัก มีแต่เพื่อนๆ ที่ชอบมาเล่นที่บ้านของฉันมาก บ้านของฉันติดแม่น้ำ เราสนุกกับการทำเรือกระดาษแล้วแข่งกันลอย ตรงลานบ้านก็มีไว้ให้วาดรูป พ่อแม่ใจดีมีกระดาษให้เราวาดรูป ดินสอ ที่หักแบ่งกัน และนิทานที่พ่อไปยืมมาจากวัด โลกของเด็กๆ ที่เราเคยคิดว่าอิสรเสรี แอบทำนั่นนี่โดยไม่ให้ใครเห็น พอถึงตอนโตกลับต้องมานั่งหัวเราะ ที่พวกผู้ใหญ่เขารับรู้ตลอดว่าเราทำอะไร เช่น แอบเอาชุดกระโปรงของแม่มาสวม  แอบเอาผ้าขาวม้าของพ่อมาขึงทำเป็นฉากลิเก

ฉับทบทวนเรื่องเหล่านี้ทีไร ก็มีแต่แอบยิ้ม ยกเว้นก็เพียงเรื่องเดียว คือเรื่องของยายน้อย

……

ยายน้อยเป็นผู้ใหญ่ข้างบ้าน แกเป็นแม่หม้ายที่สามีหายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ บางครั้งฉันได้ยินคนเขาเล่าว่า สามียายน้อยในอดีตคือพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ ถูกจับติดคุกตลอดชีวิต เขาจึงไม่สามารถกลับมาบ้านได้อีกแล้ว บางคนก็เล่าว่าเขาถูกรถชนตาย บางคนก็บอกว่าเขาหนีไปอยู่กับภรรยาใหม่ เรื่องเล่าเหล่านี้เป็นความลับสำหรับเราเสมอมา และก็ไม่เคยมีใครกล้าถามยายน้อยตรงๆ รับรู้เพียงแต่ว่าแกใช้ชีวิตอยู่กับลูกๆ อีก 3 คน โดยไม่ลำบากนัก ในบ้านหลังใหญ่ เนื้อที่กว้างขวาง พร้อมสมบัติพัสถานมากมาย บ้านยายน้อยมีรั้วกั้นทุกด้าน แต่ก็ใช่ว่าใครจะแอบเข้าไปไม่ได้

ยายน้อยเป็นคนดุไหม ฉันก็ตอบไม่ถูก เพียงแต่แกมีสีหน้าที่เย็นชา หัวเราะยาก ยามยิ้มก็เป็นการยิ้มที่ทำให้ขนลุก ไม่เหมือนยิ้มของคนใจดี นอกจากนี้เวลายายน้อยเดินเข้าบ้านมาทีไร ก็เป็นเรื่องไม่ค่อยดีนัก เป็นต้นว่า แกมาตามหาหลานสาวตัวเล็กๆ แน่นอนว่าเธอแอบมาเล่นที่บ้านของฉันนั่นเอง

“กลับได้แล้วหนุ่ย บ้านเรามีของเล่นเยอะแยะ” แกเรียกหลานด้วยเสียงเย็นๆ
“หนุ่ยไม่กลับ หนุ่ยจะเล่นกับพี่ๆ” หนุ่ยเถียงแกเสมอ อย่างที่คนอื่นไม่กล้าเถียง

แล้วก็ได้ผลทุกครั้ง แกได้แต่ถอนหายใจ แสดงออกว่าแกรักหลานของแกมาก ฉันเพิ่งมารู้ตอนหลังว่า ลูกๆ ของยายน้อยย้ายไปแต่งงานมีครอบครัวที่อื่นหมดแล้ว ทิ้งไว้ก็เพียงแต่หลานตัวเล็กๆ ให้แกเลี้ยงดูและอยู่เป็นเพื่อน

หนุ่ยเป็นเด็กที่มีชีวิตพิเศษ มีของเล่นราคาแพง มีอุปกรณ์การเรียนและชุดนักเรียนใหม่เสมอ แต่มีเพียงอย่างเดียวที่ฉันเคยนึกอิจฉา ก็คือหนุ่ยมีกีตาร์เล่นเป็นของตัวเอง ส่วนฉันแม้อยากฝึกเพียงใดก็ไม่สามารถจะหามาเล่นได้ ฉันกับหนุ่ยเป็นเพื่อนเล่นต่างวัยกัน ในขณะที่หน้าตาของหนุ่ยดูใคร่ไม่ค่อยมีความสุขนัก จำได้ว่าเย็นวันหนึ่ง หนุ่ยมาเล่นวาดรูปที่บ้านฉันแล้วไม่ยอมกลับ ยายน้อยก็ถึงกลับขึ้นเสียง
“ต่อไปอย่ามาทีนี่อีก”

ฉันไม่เข้าใจเหตุผลของแกหรอก แต่นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา พ่อแม่ของเราก็ดูเหมือนจะมีกำแพงต่อกันไปด้วย ถ้าไม่จำเป็นอย่าข้ามถนนไปฝั่งบ้านเขา พ่อไม่อยากให้มองหน้ากันไม่ติด ส่วนน้องหนุ่ย ก็ได้ยินเสียงแกร้องไห้โวยวายอยู่ทุกวัน พร้อมกับโดนตีหากเป็นเด็กดื้อ จากที่เคยสนิทกับ ฉันกับหนุ่ยจึงห่างกันออกไปมากขึ้น วันหนึ่งหนุ่ยก็หายไปจากบ้าน ยายน้อยบอกฉันว่า
“เขาไปเยี่ยมพ่อแม่ คงจะได้เรียนในเมือง จะได้เก่งๆ มีอนาคต”

เขาบอกกับฉันพร้อมรอยยิ้มที่ยิ้มได้แค่ครู่เดียว ตั้งแต่นั้นมา ฉันไม่เคยเห็นแกยิ้มอีกเลย ยิ้มในแบบเดียวกับพ่อแม่ของฉันและคนอื่นๆ ยิ้ม

.....................

แต่ไม่นานจากนั้น กำแพงระหว่างฉันกับยายน้อยก็เหมือนจะทลายลงไปบ้าง จากการที่แม่ของฉันตายจากไป แกเดินเข้าบ้านมา ยื่นซองสีขาวให้ซองหนึ่ง ในนั้นเป็นเงินทำบุญ ฉันรับไว้พร้อมยกมือไหว้ วูบนั้นฉันเห็น แววตาของยายน้อยที่แสดงความเอ็นดูและเสียใจ

น่าเสียดายที่จากนั้นไม่นาน ฉันก็ออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่น นานๆ ครั้งเมื่อกลับบ้าน เราต่างเป็นคนแปลกหน้าที่คุ้นเคย เจอกันยิ้มทักทายกันบ้าง ทักทายกันเวลาเดินสวน ผ่านหน้าบ้าน  แต่ก็มีเพียงแค่นั้น ไม่เคยเลยสักครั้งที่ยายน้อยจะเดินมาเยี่ยมที่บ้าน หรือ พูดคุยสารทุกข์สุขดิบเช่นคนอื่นๆ

ยกเว้นก็เสียแต่วันนี้

บ้านของฉันมีโอกาสต้อนรับยายน้อย แกสวมเสื้อสีน้ำตาล ผ้าถุงลายเถาวัลย์ที่มีใบไม้เล็กๆ เกี่ยวอยู่รอบตัว แกไม่ได้เดินมามือเปล่า มีแกงอะไรสักอย่างอยู่ในชามใบใหญ่ ริ้วรอยความแก่ชราทำให้ฉันเผลอเห็นรอยยิ้มนั้น ไม่ต่างไปจากรอยยิ้มของคนแก่เฒ่าคนอื่นที่เอ็นดูเด็กๆ

ต่างก็เพียงมันเป็นรอยยิ้มที่โศกเศร้า
“ยายทำแกงขนุนมาให้ชิม”
แกบอกกับฉันแบบนี้ ในวันที่ไม่มีแม่คอยพยักหน้าให้รับ ฉันยื่นมือออกไปรับไว้ และวางลงข้างๆ ยอมรับว่าใจเต้นตึกตัก ภาพในอดีตย้อนมาชวนให้อ่อนไหว ฉันกล่าวขอบคุณ และแสดงท่าทางอยากชิมแกงหม้อนั้นเร็วๆ

“ยายทำเองเหรอ”
“ใช่สิ ยังแข็งแรงอยู่นะ” แกหัวเราะน้อยๆ พร้อมนั่งลงบนเสื่อ ตาของพ่อฉันแอบมองมาเป็นระยะๆ คราวนี้ แววตาพ่อดูเหมือนจะเข้าใจแกมากไปกว่าเสียทุกครั้งด้วยซ้ำ
“กินเลยไหม หิวก็กินเลยลูก มาเหนื่อยๆ ข้าวปลายังไม่ได้กินนินา”
“เดี๋ยวค่อยกินก็ได้ค่ะ ยายสบายดีเหรอ สงกรานต์นี้ลูกๆ มากันเยอะไหมคะ”
ฉันถามไปตามประสา พ่อส่งสายตาบางอย่างมาให้ ยายน้อยยกมือเหี่ยวย่นขึ้นลูบบนใบหน้า จากนั้นฉันก็ต้องตกใจเมื่อเห็นแกโผเข้ามากอดฉันเอาไว้

น้ำตาหยดลงบนชามแกง เรื่องจริงหรือเท็จ ฉันไม่อาจทราบได้ รู้แต่แกกอดฉันแน่นขึ้นเรื่อยๆ
“พวกเขามา มากันเกือบทุกคน แต่มาโดยไม่มีชีวิต เขาตายกันหมดแล้ว”
ยายน้อยตอบเสียงสั่นๆ ฉันอ้าปากค้าง พ่อช่วยเล่าสั้นๆ เพื่อไม่ให้ยายน้อยต้องสะเทือนใจว่า ผ่านไปนับหลายปีนี้ ลูกหลานแกไม่มาเยี่ยมบ้าน เพิ่งได้ข่าวในปีนี้ว่า จะพาหลานๆ กลับมาเยี่ยมในช่วงสงกรานต์

ยายน้อยตื่นแต่เช้า หุงข้าว เตรียมสำรับ ซักผ้า ถางหญ้า ถูบ้าน ไว้ต้อนรับทุกคน พร้อมใส่เสื้อผ้าใหม่ แต่แล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจก็มาแจ้งแกที่บ้านว่า รถคันนั้นประสบอุบัติเหตุ ทั้งเสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัส

บ้านหลังนั้นมีโอกาสต้อนรับโลงศพจำนวนหลายใบ ในวันขึ้นปีใหม่

“ยายไม่มีหลานอีกแล้ว ไม่มีแล้ว...”
ยายน้อยคร่ำครวญ ผละจากการกอดฉันแล้วก็ยังจับมือเอาไว้ สิ่งที่อยู่ในน้ำตาและเสียงร้องไห้ มีคำถามและเรื่องราวมากมายที่ต่อให้โลกทั้งโลกผ่านไปนานกว่านี้ เราก็ไม่มีวันเข้าใจ

ฉันกลั้นน้ำตา ลูบบนหลังมือเหี่ยวย่นนั้นเบาๆ
“คิดว่าหลานยังอยู่กับเราใกล้ๆ ก็ได้ค่ะยาย ถ้าอยู่ตรงนี้ยายจะทำอะไรบ้างล่ะ”
“ก็ทำขนมหวานให้กินนะ ยายจะพามาเล่นที่นี่บ่อยๆ จะให้เอากีตาร์มายืมทุกวันเลย ถ้าหนูอยากเล่น”

บางครั้ง อดีตเป็นความหอมหวานมากกว่าปัจจุบันกระมัง สำหรับยายน้อย ความทรงจำได้โอบอุ้มชีวิตที่สวยงามของแกเอาไว้ในเวลานี้ หลายวันที่ฉันอยู่ที่บ้าน มีโอกาสได้รับอาหาร ขนม จากยายน้อยแทบจะทุกมื้อ
ฉันคิดถึงแม่ ทุกครั้งที่เอื้อมมือไปรับสิ่งเหล่านั้น พลางคิดว่า แม่คงไม่ตำหนิอีกต่อไปแล้ว หากฉันจะปล่อยให้หญิงชราผู้นี้ลงมือทำอาหารทุกวันอย่างเหน็ดเหนื่อย  สิ้นเปลืองไปกับสิ่งที่มากเกินกว่าแกคนเดียวจะกินจะใช้

และฉันเพิ่งเข้าใจในวันนี้เอง ว่าการหยิบยื่นให้เราสำหรับคนบางคนนั้น เขามีความสุขกับสิ่งที่เขาได้รับ มากกว่าที่เราเห็น

มากมายนัก.

...................

หมายเหตุ : ภาพชุดนี้อาจไม่เกี่ยวกับในเรื่องโดยตรง แต่ได้ภาพมาจากการทำบุญเวียนเทียนค่ะ

 

20080521 บางอย่างเผาไหม้ เพื่อส่งไปถึง
บางอย่างเผาไหม้ เพื่อส่งไปถึง

20080521 ตัวแทนของการคารวะแห่งจิตวิญญาณ
ตัวแทนของการคารวะแห่งจิตวิญญาณ
20080521 ภาพอันคุ้นตา และสาระอันคุ้นใจ
ภาพอันคุ้นตา และสาระอันคุ้นใจ
20080521 (4)
20080521 (5)
20080521 (6)




บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
เมื่อหลายสิบปีก่อน เมื่อชายวัยกลางคนคนหนึ่งมาปลูกบ้านอยู่ริมแม่น้ำ เขายิ้มให้กับชีวิตพลางบอกลูกเมียว่า อยากกินปลามื้อไหนขอให้บอก จะเอาตัวเล็กตัวใหญ่ แค่คว้าแห คว้าไซ เบ็ดตกปลา หรือเดินดุ่มลงไปยกยอ ไม่เกิน 15 เท่านั้น ก็จะมีปลามาแกงได้ทั้งหม้อน้ำแม่โก๋นข้างบ้านพ่อชุม
วาดวลี
๑.นอนพักเถิด มวลมิตร ที่ชิดใกล้เก็บแรงไว้คุ้ยหาเศษอาหารฟ้าสวยสวย พื้นที่กว้าง ที่กลางลานคือสวรรค์สถาน ของผองเราอย่าไปเครียด จริงจัง เลยวันพรุ่งเดี๋ยวก็รุ่ง เดี๋ยวก็ค่ำ เหมือนวันเก่ารู้วิถี ตัวตน บนทางเราอย่าเกะกะใครเขาก็เท่านั้นเราเป็นชนกลุ่มน้อยด้อยในโลกจะส่งซึ่ง ภาษาโศก ภาษาขันก็หามีใครฟังเจ้าทั้งนั้นคนอื่นล้วน สื่อสารกัน ภาษาเขา
วาดวลี
“เขาขนทรายกันตรงไหนคะ”ฉันเอ่ยถามเสียงเบาๆ หากจะให้เดาก็คงเป็นที่วัด แต่วัดในบริเวณนี้มีตั้งหลายแห่ง และก็ไม่ได้อยู่ติดกับแม่น้ำแบบวัดใหญ่ของอีกฝั่งฟากถนน วัดใหญ่นั้น ตีเขตไปเป็นอีกตำบล อีกอำเภอหนึ่ง ซึ่งเดาได้ว่า คนในหมู่บ้านฉัน คงไม่ได้ไปทำบุญกันที่นั่น พี่สาวใจดีข้างบ้าน บอกฉันทุกเรื่อง ในสิ่งที่ฉันสงสัย จะว่าไป มีเพียงครอบครัวเดียวที่ฉันรู้จักมักคุ้น แม้จะย้ายบ้านมาได้หลายเดือนแล้ว คนอื่นๆ ส่วนใหญ่ ออกไปใช้ชีวิตประจำวันนอกบ้าน เราเจอกันยามค่ำ ก็ยิ้มให้กันไปมา แล้วต่างแยกย้ายกันไป แค่เวลา 2 ทุ่มกว่า ทั้งหมู่บ้านก็เงียบสนิท มีเพียงฉันที่เปิดไฟทำงานจนถึงดึกดื่นจะสงกรานต์แล้ว…
วาดวลี
“ฝนกำลังตกซิๆ”เสียงตามสายโทรศัพท์จากเพื่อนหนุ่มที่ฉันเคยเขียนถึงเมื่อตอนที่แล้ว เอ่ยบอกเล่าเบาๆ ถึงสิ่งที่กำลังอยู่ในชีวิตเขาของในเช้าวันนี้คนทางนี้เรียกสายฝนด้วยคำนั้น “ฝนตกซิๆ” บางครั้ง ฉันก็ชอบลักษณะฝนอย่างว่า ด้วยเป็นคนที่ชอบอยู่บ้าน จะมีอะไรสุขใจไปกว่าการได้นั่งดูสายฝนที่ไม่มีลมแรงๆ ให้ต้องหวาดกลัว อากาศเย็นสบาย จิบชาอุ่นๆ แล้วนั่งทำงาน แต่ก็อดเห็นใจไม่ได้ ถึงคนที่กำลังเดินทาง หรือคนทำมาค้าขาย  อาการฝนตกซิๆ นั่นคือเรื่องรำคาญใจ และรบกวนการทำงานอย่างยิ่ง วูบนั้น ฉันก็นึกไปถึง ป้ายสุภาษิตหน้าวัดต้นปิน ซึ่งเขียนไว้บนแผ่นไม้ติดผนังวัดว่า “ฝนตกซิๆ นานเอื้อน หมาขี้เรื้อน นานต๋าย”…
วาดวลี
“ผมจะย้ายกลับบ้านเกิดแล้วนะ” อีกครั้ง ที่เพื่อนชายคนเดิม คนที่ฉันเคยช่วยเก็บข้าวของเมื่อปีก่อน บอกกับฉันในต้นปลายเดือนมีนาคมของปีนี้ถึงเรื่องการย้ายกลับภูมิลำเนาเกิดไปยังอำเภอฝาง บ่ายที่แดดจัดจ้านนั้น ฉันจำได้ดีถึงประกายนัยน์ตามุ่งมั่นของเขา เมื่อหกเดือนที่แล้ว ................  
วาดวลี
อาจด้วยความเมตตาของผืนฟ้า และความปราณีของผืนดิน ที่ยังคงให้เราได้หายใจหายคอได้อยู่  ทั้งที่ “อะไรที่มองไม่เห็นในอากาศ” นั้น กำลังมาบอกอย่างโต้งๆ ว่า โลกไม่ใช่แค่กำลังร้อน แต่มันกำลังเสื่อมสลายและผุกร่อน“ขี่รถไปไหนแสบตามากเลย หายใจไม่ค่อยออก”คนรู้จักของฉันเล่าให้ฟัง ฉันได้แต่พยักหน้าเห็นด้วย เพราะอาการก็ไม่ต่างกัน เมื่อวานนี้ ฉันซ้อนมอเตอร์ไซค์คนที่บ้านขี่เลียบน้ำปิงไปยังเขตเมือง ใบไม้ร่วงกราวจากพายุที่ก่อตัวตั้งเค้ามาในช่วงบ่าย ใบไม้แห้งสีน้ำตาลกรอบกระจายไปถ้วนทั่วท้องถนนและผืนหญ้าบนสวนสาธารณะ บางแห่งพัดปลิวเอาเศษกระดาษ ถุงพลาสติก วนอยู่ในอากาศ ก่อนจะร่วงไปตกลงในลำน้ำปิง…
วาดวลี
หลายปีก่อน หญิงสาวรูปร่างบางตาคมคนหนึ่ง ซึ่งเป็นรุ่นน้อง เอ่ยกับฉันว่าการหอบสัมภาระเพื่อย้ายจาก “บ้านเช่า” ไป “บ้านใหม่” ที่เธอเป็นเจ้าของนั้น ต้องเก็บไปให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้กลายเป็นภาระของคนมาทีหลัง “อะไรเอาไปได้ก็เอาไป ยกเว้นก็แต่ต้นไม้ มันโตจนเกินกว่าที่จะขุดขึ้นมา”ฉันไม่มีโอกาสไปเยี่ยมเธอเลยในหลายปีมานี้ แต่พอจะรับรู้ได้ว่า คนรักต้นไม้แบบเธอนั้นเพียรพยายามปลูกสารพัดต้นไม้เท่าที่ผืนดินจะอำนวย นอกจากต้นโมก ดอกแก้ว หรือพลูด่างแล้วเธอยังมีพืชสวนครัว เช่น ตะไคร้ พริก โหระพา เพื่อเอาไว้ทำกับข้าว แต่ฉันเดาเอาว่าเธอคงปลูกทั้งต้นมะม่วง จำปี กระทั่งฝรั่งหรือขนุน…
วาดวลี
"มีลูกแมวเพิ่งออกลูกตั้งหลายตัวแน่ะ""มันอยู่ตรงไหนคะ" "นั่นไง หลบอยู่หลังป้ายหาเสียงน่ะ"คนบอกชี้นิ้วไปยังบริเวณริมรั้วที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ฉันอดไม่ได้ ที่จะจำใจมองไปยังป้ายโฆษณาหาเสียงขนาดใหญ่ สูงท่วมหัวตั้งโด่เด่อยู่เพียงอันเดียวในหมู่บ้าน  ป้ายอันนั้นทำด้วยไม้อัดเรียงต่อกัน แปะทับเข้าไปด้วยไวนิลพิมพ์ภาพ 4 สีสดใส ใบหน้าผุดผ่อง ขาวนวลและริมฝีปากแดงระเรื่อ ดูมีอำนาจวาสนาและความรู้ แต่ในเมื่อไม่มีป้ายหาเสียงของใครอื่นมาเทียบเคียงอีกเลย ฉันจึงคิดเล่นๆว่า  ดูท่าทางเขาไม่ใช่ผู้ลงสมัครระดับธรรมดา และบ้านหลังนั้นที่มีรถหาเสียงหลายๆ คันทยอยกันมาจอดชุมนุม…
วาดวลี
“เธอดูโน่นสิ แดดออกแล้ว แต่ฝนยังตกอยู่เลย”ฉันเอ่ยเสียงดัง แล้วละสายตาจากคอมพิวเตอร์ ออกมายืนยังประตูบ้าน กลิ่นไอฝนกระทบกับผืนดินแตะปลายจมูก  สูดกลิ่นเข้าไปเต็มปอด พลางพิจารณาแสงแดดที่ค่อยๆ มาแทนที่อย่างเชื่องช้าคนข้างกายลุกขึ้นบ้าง เราสองคนออกมายืนดูสายฝน ที่มีเม็ดเล็กลงเรื่อยๆ ตกช้าลง ช้าลง จนกระทั่งหยุดตก เหลือไว้เพียงก็รอยหมาดฝนบนผืนดิน ใบไม้ และทางเดิน “แบบนี้ต้องมีรุ้งกินน้ำแน่ๆ หิวข้าวหรือยัง”
“อ้าว เกี่ยวกันยังไง” ฉันทำหน้าเบ๋อ พุ่งตัวเข้าไปใกล้เธอในระยะประชิด“แปลว่าเราออกไปหาอะไรกิน แล้วไปดูรุ้งกินน้ำด้วยไง”ฉันยิ้มกริ่ม ถ้าเธอมีเวลาอยู่กับฉันทุกวันก็คงจะดี นานๆ หน…
วาดวลี
ก่อนหน้านี้หลายสัปดาห์แล้วล่ะ  ที่ฉันไปยืนอยู่ตรงนั้นแล้วพยายามจะนับดูว่า ดอกทิวลิปที่ก้านอวบ กลีบสวย ในสวนตรงนี้ มีจำนวนกี่สีกันแน่มวลหมู่ไม้มากมาย พืชพันธุ์ทั้งไทยและฝรั่ง ผลิบานแสดงความแข็งแรงต่ออากาศหนาวยามเช้า และแดดจัดยามบ่ายในบริเวณสวนสาธารณะของหาดเชียงราย แม้มันจะไม่ได้เกิดและเติบโตที่นั่น แต่ถูกเพาะปลูกเลี้ยงดูด้วยการทดลอง กระทั่งเมื่อสำเร็จผล ก็ถูกขนย้าย มาลงบนผืนดินชั่วคราวเพื่อแสดงงานดอกไม้ดอกทิวลิป ลิลลี่ บานชื่อพันธุ์ใหม่ และดอกไม้ชื่อแปลกหูอีกหลายชนิด เบ่งบานอวดสีสันอยู่ไม่ไกลนักจากลำน้ำกกที่พากันไหลอ้อยสร้อย เชื่องช้าไม่เพียงแต่ทดสอบความทนทานของดอกไม้ต่ออากาศเท่านั้น…
วาดวลี
อากาศขมุกขมัว เริ่มต้นมาได้หลายวันแล้ว ขณะที่หมอกบางเพิ่งจางลงไปในตอนเช้า ตอนสายๆ ของฤดูหนาวกลับมีเม็ดฝนมาเยือน คนในครอบครัวต้องปรับตัวในการออกไปทำงาน  ด้วยการใส่ทั้งเสื้อกันหนาวและเสื้อกันฝน ส่วนฉัน ขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปติดอยู่ที่แผงขายผักเล็กๆ ในหมู่บ้าน คุณยายมองดูสายฝนที่หนาหนักลงมา แล้วก็ถอนหายใจ"อย่าเพิ่งกลับเลยหนู รอให้ฝนซาก่อน"เขาบอกฉันอย่างมีไมตรี แล้วชวนให้เข้าไปหลบฝนด้านในร้าน เหลือบไปมองถนน บางคนฝ่าเม็ดฝนไปไม่กลัวเปียก บางคนทำท่าเก้ๆ กังๆแล้วบทสนทนาของฝนหลงฤดูก็เกิดขึ้น"มันแปลกจริงๆ ฝนจะมาช่วงนี้ได้ยังไง""อากาศวิปริต""จะเข้าหน้าร้อนแล้วก็แบบนี้แหละ ฝนหัวปี""เฮ้ย ยังไม่ถึง"…
วาดวลี
ผู้ชายคนนั้นเหมือนไม่สนใจใครเลยเขาย่ำเท้าหนักๆ ลงบนผืนทราย บุ๋มเป็นรอยเท้าทับซ้อนกันไปมา เขาง่วนอยู่กับข้าวของบางอย่างตรงหน้า แต่ฉันไม่คิดว่าเขาจะลืม ว่าเวลาที่ตะวันยามเช้าสะท้อนแม่น้ำจนเป็นสีเหลืองนวลนั้นสวยงามเพียงใดหาดทรายริมแม่น้ำโขงที่ฉันมาเยือน อยู่ในความสนใจของนักเดินทาง โลกนัดเวลาให้เราไว้แล้ว สำหรับการตื่นในที่แปลกถิ่นและออกมาสูดอากาศ หากตื่นเช้ากว่าใครเพื่อน เราจะมองเห็น ผู้คนทยอยโผล่หน้าออกจากเกสเฮาส์ที่เรียงรายกันตลอดริมฝั่ง บ้างก็ลงมาเดินเล่น บ้างก็กางขาตั้งกล้องรอเอาไว้ เพื่อจะได้กดชัตเตอร์เมื่อดวงตะวันกลมโตสีแดงโผล่พ้นทิวเขาหลังแม่น้ำขึ้นมา…