Skip to main content

----------
ภายใต้แสงจันทร์  ที่ริมฝั่งนั้นพี่ยังจำได้
จงกลับคืนมาหารักดังเก่า  ลืมเรื่องร้ายคลายเศร้า
เจ้าอย่าทำเมินไฉน
พะเยารอเธอ  รอรักด้วยความห่วงใย  
จะนานแสนนานเท่าไหร่  ขอให้เธอนั้นกลับมา
----------

“เพลงแปลกหูดีนะ ร้องเพลงอะไรเหรอ”
“เพลงของเมืองที่เรากำลังจะไปนี่ไงล่ะ”

คนตอบหักพวงมาลัย ซ้ายที ซ้ายที ขณะรถของเรากำลังไต่อยู่บนเส้นทางคดโค้งโอบล้อมไปด้วยภูเขา
ฉันพยายามเอียงตัวเพื่อจะถ่ายรูป ฟ้ายามบ่ายสดใสเหมือนไม่มีเค้าฝน ฟังเพลงนั้นอย่างตั้งใจ
“อ๋อ เพลงพะเยารอเธอ ใช่ไหม”
ฉันถามอีกครั้งให้แน่ใจ คนร้องพยักหน้าหงึกหงัก ความทรงจำเก่าๆ ของเพลงต้นฉบับล่องลอยมาแต่ไกล
ดนตรีเชื่องช้าที่ชวนให้นึกถึงรักอันแสนเศร้า

ใบหน้าเศร้าหมองของใครคนหนึ่ง ลอยเข้ามาด้วย

“ถ้าไปพะเยาเมื่อไหร่ บอกนะ จะพาไปเที่ยว” ชายหนุ่มคนหนึ่งเคยบอกไว้แบบนั้น
เขาเป็นคนพะเยา เกิดที่นั่น โตที่นั่น หากแต่วันนี้เขามาอยู่เชียงใหม่ได้หลายปีแล้ว ไม่มีทีท่าว่าจะกลับบ้าน
เขาเลือกจะไม่อยู่เมืองนั้น ตรงข้ามกันกับบทเพลง ส่วนเหตุผลอื่น เขาบอกว่า
พะเยาเป็นเมืองที่เดินช้า ใช้นาฬิกาคนละอันกับเมืองอื่น หนุ่มสาวเดินทางไปแสนไกล ทิ้งเมืองไว้เพียงเพื่อระลึกถึงวัยเยาว์ หากอยู่ที่นี่ ชีวิตไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงอะไรนัก ไม่ทันได้ถามว่าแล้วอยากให้เมืองเปลี่ยนไปแบบไหน
เขาก็สรุปด้วยเหตุผลส่วนตัวว่า

“ไม่อยากอยู่ อยู่แล้วได้แต่รอ ใครแต่งเพลงไว้ไม่รู้  อยู่พะเยาแล้วต้องรอทุกที”
เขาบอกแบบนี้ พาใจอกหักดวงหนึ่งเร่ร่อนไปหลายเมือง ใช้ชีวิตกิน ดื่ม เมาไปตามประสาคนโสด
แต่ครั้งไหนเขาได้กลับบ้านที่พะเยา เขาก็จะโทรมาทุกครั้ง แล้วเอ่ยถ้อยคำเดิมๆ
“มาพะเยาบอกนะจะพาไปดูพระอาทิตย์ตกน้ำ”

เขาบอกฉันไว้อย่างนี้ แต่พอถึงเวลาจริงๆ เมื่อคิดจะไปพะเยา เขากลับปฏิเสธที่จะไปด้วย
“ยังไม่อยากไปตอนนี้ ช่วงนี้ใกล้หนาว หัวใจไม่แข็งแรง”
หนุ่มพะเยาให้เหตุผลพร้อมหัวเราะ ไม่ว่ากัน ฉันและเพื่อนจึงเดินทางกันมาอย่างเงียบๆ

เราเดินทางไปหลายอำเภอ ทั้งดอกคำใต้ เมืองกระถินสีเหลือง ซึ่งมีคนเคยบอกว่ามีกลิ่นหอมกรุ่นละไม
ปลายฝนแบบนี้น่าจะมีให้เห็น แต่ก็มองไม่ค่อยเห็น ส่วนเชียงคำ เป็นเมืองแห่งวัด มีวัดมากมายในอดีต ศูนย์กลางของชาวไทยลื้อ ฉันแวะไปดูผ้าสวยๆ ที่ศูนย์ศิลปวัฒนธรรม แต่ก็ปรากฏว่าเขาปิด
สุดท้ายเราก็มายืนอยู่ในเวลาใกล้ค่ำ ที่กว๊านพะเยา

ผืนน้ำสีฟ้า ที่ไกลเกือบสุดสายตา ดวงตะวันที่ว่ากันว่า จะแตะลงผืนน้ำในองศาเดิม ทุกวัน
เรือลำน้อยที่แล่นผ่านไปมา ในเงาของแสงอาทิตย์ ชีวิตของพ่อค้าและแม่ค้า ที่พึ่งพิงผืนน้ำและสวนสาธารณะเลี้ยงครอบครัว คนหนุ่มสาวที่มาแวะชมบรรยากาศ และนั่งท่องเที่ยวที่มาแสวงหาความสุข

“เรารู้แล้วล่ะ ว่าทำไมต้อมเขาไม่อยากมารอใครที่นี่อีก”
“ทำไมล่ะ”
คนข้างๆ นั่งลง ขณะพระอาทิตย์กำลังเลื่อนต่ำลงมาเรื่อยๆ
“ก็ดูบรรยากาศสิ เราว่ามันเหงานะ”
“อือ”

เขาตอบสั้นๆ เหมือนว่าจะเห็นด้วย
“ที่นี่สวยนะ สวย และงดงาม แต่ก็อ้างว้างจนน่าใจหาย ถ้าหากต้องมานั่งรอใครสักคนที่นี่ นานเป็นเดือนเป็นปี คงนึกอยากกระโดดน้ำไปให้รู้แล้วรู้รอด”
ฉันพูดเล่นๆ พลางหัวเราะ คนฟังก็ขำไปด้วย หยิบกล้องถ่ายรูปออกมา กดบันทึกภาพตรงหน้าเอาไว้

ก่อนฟ้าจะมืด ได้ยินเสียงดังแว่วมา
“ถ้างั้นก็รู้แล้วล่ะ ว่าทำไมพะเยาต้องรอเธอ”
“หือ ทำไมล่ะ”

คนตอบทำหน้าจริงจังบอกว่า
“ก็มันเหงาแบบนี้ไง ใครๆ ก็อยากหนีพะเยาไปหมด พะเยาก็เลยต้องรอเธอ”
“อ๋อ..เหรอ..อืม..”

ทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจ แต่ก็พยักหน้า เงียบงันไปกับสายน้ำที่ไหลเอื่อย เวียนวนอยู่ในกว๊าน
จนแสงตะวันสุดท้ายแตะลงไป นึกถึงใครต่อใคร และนึกถึงเมืองหลายๆ เมือง ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

แม้การเปลี่ยนแปลงอาจจะไม่ทันใจใครบางคน  แต่ฉันก็คิดว่า บางที
การเดินช้าของที่นี่ น่าจะเป็นเรื่องที่ดีกว่าเมืองอื่นๆ ที่เดินทางไปอย่างรวดเร็ว และมองไม่เห็นทิศทาง
ความนึกฝันของผู้คนโลดเล่นอยู่รายรอบ ความปรารถนาที่แตกต่าง และการเดินทางของความหวัง
มีให้เห็นอยู่ทุกหนทุกแห่ง

ขณะดวงตะวันหล่นลงแม่น้ำไปแล้วนั้น
ฉันก็กลายร่างเป็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ที่มองเห็นสิ่งเร้นลับมากมายในจักรวาล อันหาคำตอบได้ไม่เคยหมด
และอย่างไม่มีเหตุผล เพลงพะเยารอเธอก็ยังดังแว่ว อยู่ในความคิดนั้น
อยู่อีกหลายวัน..ในเวลาต่อมาว่า

พะเยารอเธอ  รอรักด้วยความห่วงใย  
จะนานแสนนานเท่าไหร่  ขอให้เธอนั้นกลับมา….

picture

picture

picture

picture

picture

picture

picture

picture

picture

picture

picture

picture

picture

picture

บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
เมื่อหลายสิบปีก่อน เมื่อชายวัยกลางคนคนหนึ่งมาปลูกบ้านอยู่ริมแม่น้ำ เขายิ้มให้กับชีวิตพลางบอกลูกเมียว่า อยากกินปลามื้อไหนขอให้บอก จะเอาตัวเล็กตัวใหญ่ แค่คว้าแห คว้าไซ เบ็ดตกปลา หรือเดินดุ่มลงไปยกยอ ไม่เกิน 15 เท่านั้น ก็จะมีปลามาแกงได้ทั้งหม้อน้ำแม่โก๋นข้างบ้านพ่อชุม
วาดวลี
๑.นอนพักเถิด มวลมิตร ที่ชิดใกล้เก็บแรงไว้คุ้ยหาเศษอาหารฟ้าสวยสวย พื้นที่กว้าง ที่กลางลานคือสวรรค์สถาน ของผองเราอย่าไปเครียด จริงจัง เลยวันพรุ่งเดี๋ยวก็รุ่ง เดี๋ยวก็ค่ำ เหมือนวันเก่ารู้วิถี ตัวตน บนทางเราอย่าเกะกะใครเขาก็เท่านั้นเราเป็นชนกลุ่มน้อยด้อยในโลกจะส่งซึ่ง ภาษาโศก ภาษาขันก็หามีใครฟังเจ้าทั้งนั้นคนอื่นล้วน สื่อสารกัน ภาษาเขา
วาดวลี
“เขาขนทรายกันตรงไหนคะ”ฉันเอ่ยถามเสียงเบาๆ หากจะให้เดาก็คงเป็นที่วัด แต่วัดในบริเวณนี้มีตั้งหลายแห่ง และก็ไม่ได้อยู่ติดกับแม่น้ำแบบวัดใหญ่ของอีกฝั่งฟากถนน วัดใหญ่นั้น ตีเขตไปเป็นอีกตำบล อีกอำเภอหนึ่ง ซึ่งเดาได้ว่า คนในหมู่บ้านฉัน คงไม่ได้ไปทำบุญกันที่นั่น พี่สาวใจดีข้างบ้าน บอกฉันทุกเรื่อง ในสิ่งที่ฉันสงสัย จะว่าไป มีเพียงครอบครัวเดียวที่ฉันรู้จักมักคุ้น แม้จะย้ายบ้านมาได้หลายเดือนแล้ว คนอื่นๆ ส่วนใหญ่ ออกไปใช้ชีวิตประจำวันนอกบ้าน เราเจอกันยามค่ำ ก็ยิ้มให้กันไปมา แล้วต่างแยกย้ายกันไป แค่เวลา 2 ทุ่มกว่า ทั้งหมู่บ้านก็เงียบสนิท มีเพียงฉันที่เปิดไฟทำงานจนถึงดึกดื่นจะสงกรานต์แล้ว…
วาดวลี
“ฝนกำลังตกซิๆ”เสียงตามสายโทรศัพท์จากเพื่อนหนุ่มที่ฉันเคยเขียนถึงเมื่อตอนที่แล้ว เอ่ยบอกเล่าเบาๆ ถึงสิ่งที่กำลังอยู่ในชีวิตเขาของในเช้าวันนี้คนทางนี้เรียกสายฝนด้วยคำนั้น “ฝนตกซิๆ” บางครั้ง ฉันก็ชอบลักษณะฝนอย่างว่า ด้วยเป็นคนที่ชอบอยู่บ้าน จะมีอะไรสุขใจไปกว่าการได้นั่งดูสายฝนที่ไม่มีลมแรงๆ ให้ต้องหวาดกลัว อากาศเย็นสบาย จิบชาอุ่นๆ แล้วนั่งทำงาน แต่ก็อดเห็นใจไม่ได้ ถึงคนที่กำลังเดินทาง หรือคนทำมาค้าขาย  อาการฝนตกซิๆ นั่นคือเรื่องรำคาญใจ และรบกวนการทำงานอย่างยิ่ง วูบนั้น ฉันก็นึกไปถึง ป้ายสุภาษิตหน้าวัดต้นปิน ซึ่งเขียนไว้บนแผ่นไม้ติดผนังวัดว่า “ฝนตกซิๆ นานเอื้อน หมาขี้เรื้อน นานต๋าย”…
วาดวลี
“ผมจะย้ายกลับบ้านเกิดแล้วนะ” อีกครั้ง ที่เพื่อนชายคนเดิม คนที่ฉันเคยช่วยเก็บข้าวของเมื่อปีก่อน บอกกับฉันในต้นปลายเดือนมีนาคมของปีนี้ถึงเรื่องการย้ายกลับภูมิลำเนาเกิดไปยังอำเภอฝาง บ่ายที่แดดจัดจ้านนั้น ฉันจำได้ดีถึงประกายนัยน์ตามุ่งมั่นของเขา เมื่อหกเดือนที่แล้ว ................  
วาดวลี
อาจด้วยความเมตตาของผืนฟ้า และความปราณีของผืนดิน ที่ยังคงให้เราได้หายใจหายคอได้อยู่  ทั้งที่ “อะไรที่มองไม่เห็นในอากาศ” นั้น กำลังมาบอกอย่างโต้งๆ ว่า โลกไม่ใช่แค่กำลังร้อน แต่มันกำลังเสื่อมสลายและผุกร่อน“ขี่รถไปไหนแสบตามากเลย หายใจไม่ค่อยออก”คนรู้จักของฉันเล่าให้ฟัง ฉันได้แต่พยักหน้าเห็นด้วย เพราะอาการก็ไม่ต่างกัน เมื่อวานนี้ ฉันซ้อนมอเตอร์ไซค์คนที่บ้านขี่เลียบน้ำปิงไปยังเขตเมือง ใบไม้ร่วงกราวจากพายุที่ก่อตัวตั้งเค้ามาในช่วงบ่าย ใบไม้แห้งสีน้ำตาลกรอบกระจายไปถ้วนทั่วท้องถนนและผืนหญ้าบนสวนสาธารณะ บางแห่งพัดปลิวเอาเศษกระดาษ ถุงพลาสติก วนอยู่ในอากาศ ก่อนจะร่วงไปตกลงในลำน้ำปิง…
วาดวลี
หลายปีก่อน หญิงสาวรูปร่างบางตาคมคนหนึ่ง ซึ่งเป็นรุ่นน้อง เอ่ยกับฉันว่าการหอบสัมภาระเพื่อย้ายจาก “บ้านเช่า” ไป “บ้านใหม่” ที่เธอเป็นเจ้าของนั้น ต้องเก็บไปให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้กลายเป็นภาระของคนมาทีหลัง “อะไรเอาไปได้ก็เอาไป ยกเว้นก็แต่ต้นไม้ มันโตจนเกินกว่าที่จะขุดขึ้นมา”ฉันไม่มีโอกาสไปเยี่ยมเธอเลยในหลายปีมานี้ แต่พอจะรับรู้ได้ว่า คนรักต้นไม้แบบเธอนั้นเพียรพยายามปลูกสารพัดต้นไม้เท่าที่ผืนดินจะอำนวย นอกจากต้นโมก ดอกแก้ว หรือพลูด่างแล้วเธอยังมีพืชสวนครัว เช่น ตะไคร้ พริก โหระพา เพื่อเอาไว้ทำกับข้าว แต่ฉันเดาเอาว่าเธอคงปลูกทั้งต้นมะม่วง จำปี กระทั่งฝรั่งหรือขนุน…
วาดวลี
"มีลูกแมวเพิ่งออกลูกตั้งหลายตัวแน่ะ""มันอยู่ตรงไหนคะ" "นั่นไง หลบอยู่หลังป้ายหาเสียงน่ะ"คนบอกชี้นิ้วไปยังบริเวณริมรั้วที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ฉันอดไม่ได้ ที่จะจำใจมองไปยังป้ายโฆษณาหาเสียงขนาดใหญ่ สูงท่วมหัวตั้งโด่เด่อยู่เพียงอันเดียวในหมู่บ้าน  ป้ายอันนั้นทำด้วยไม้อัดเรียงต่อกัน แปะทับเข้าไปด้วยไวนิลพิมพ์ภาพ 4 สีสดใส ใบหน้าผุดผ่อง ขาวนวลและริมฝีปากแดงระเรื่อ ดูมีอำนาจวาสนาและความรู้ แต่ในเมื่อไม่มีป้ายหาเสียงของใครอื่นมาเทียบเคียงอีกเลย ฉันจึงคิดเล่นๆว่า  ดูท่าทางเขาไม่ใช่ผู้ลงสมัครระดับธรรมดา และบ้านหลังนั้นที่มีรถหาเสียงหลายๆ คันทยอยกันมาจอดชุมนุม…
วาดวลี
“เธอดูโน่นสิ แดดออกแล้ว แต่ฝนยังตกอยู่เลย”ฉันเอ่ยเสียงดัง แล้วละสายตาจากคอมพิวเตอร์ ออกมายืนยังประตูบ้าน กลิ่นไอฝนกระทบกับผืนดินแตะปลายจมูก  สูดกลิ่นเข้าไปเต็มปอด พลางพิจารณาแสงแดดที่ค่อยๆ มาแทนที่อย่างเชื่องช้าคนข้างกายลุกขึ้นบ้าง เราสองคนออกมายืนดูสายฝน ที่มีเม็ดเล็กลงเรื่อยๆ ตกช้าลง ช้าลง จนกระทั่งหยุดตก เหลือไว้เพียงก็รอยหมาดฝนบนผืนดิน ใบไม้ และทางเดิน “แบบนี้ต้องมีรุ้งกินน้ำแน่ๆ หิวข้าวหรือยัง”
“อ้าว เกี่ยวกันยังไง” ฉันทำหน้าเบ๋อ พุ่งตัวเข้าไปใกล้เธอในระยะประชิด“แปลว่าเราออกไปหาอะไรกิน แล้วไปดูรุ้งกินน้ำด้วยไง”ฉันยิ้มกริ่ม ถ้าเธอมีเวลาอยู่กับฉันทุกวันก็คงจะดี นานๆ หน…
วาดวลี
ก่อนหน้านี้หลายสัปดาห์แล้วล่ะ  ที่ฉันไปยืนอยู่ตรงนั้นแล้วพยายามจะนับดูว่า ดอกทิวลิปที่ก้านอวบ กลีบสวย ในสวนตรงนี้ มีจำนวนกี่สีกันแน่มวลหมู่ไม้มากมาย พืชพันธุ์ทั้งไทยและฝรั่ง ผลิบานแสดงความแข็งแรงต่ออากาศหนาวยามเช้า และแดดจัดยามบ่ายในบริเวณสวนสาธารณะของหาดเชียงราย แม้มันจะไม่ได้เกิดและเติบโตที่นั่น แต่ถูกเพาะปลูกเลี้ยงดูด้วยการทดลอง กระทั่งเมื่อสำเร็จผล ก็ถูกขนย้าย มาลงบนผืนดินชั่วคราวเพื่อแสดงงานดอกไม้ดอกทิวลิป ลิลลี่ บานชื่อพันธุ์ใหม่ และดอกไม้ชื่อแปลกหูอีกหลายชนิด เบ่งบานอวดสีสันอยู่ไม่ไกลนักจากลำน้ำกกที่พากันไหลอ้อยสร้อย เชื่องช้าไม่เพียงแต่ทดสอบความทนทานของดอกไม้ต่ออากาศเท่านั้น…
วาดวลี
อากาศขมุกขมัว เริ่มต้นมาได้หลายวันแล้ว ขณะที่หมอกบางเพิ่งจางลงไปในตอนเช้า ตอนสายๆ ของฤดูหนาวกลับมีเม็ดฝนมาเยือน คนในครอบครัวต้องปรับตัวในการออกไปทำงาน  ด้วยการใส่ทั้งเสื้อกันหนาวและเสื้อกันฝน ส่วนฉัน ขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปติดอยู่ที่แผงขายผักเล็กๆ ในหมู่บ้าน คุณยายมองดูสายฝนที่หนาหนักลงมา แล้วก็ถอนหายใจ"อย่าเพิ่งกลับเลยหนู รอให้ฝนซาก่อน"เขาบอกฉันอย่างมีไมตรี แล้วชวนให้เข้าไปหลบฝนด้านในร้าน เหลือบไปมองถนน บางคนฝ่าเม็ดฝนไปไม่กลัวเปียก บางคนทำท่าเก้ๆ กังๆแล้วบทสนทนาของฝนหลงฤดูก็เกิดขึ้น"มันแปลกจริงๆ ฝนจะมาช่วงนี้ได้ยังไง""อากาศวิปริต""จะเข้าหน้าร้อนแล้วก็แบบนี้แหละ ฝนหัวปี""เฮ้ย ยังไม่ถึง"…
วาดวลี
ผู้ชายคนนั้นเหมือนไม่สนใจใครเลยเขาย่ำเท้าหนักๆ ลงบนผืนทราย บุ๋มเป็นรอยเท้าทับซ้อนกันไปมา เขาง่วนอยู่กับข้าวของบางอย่างตรงหน้า แต่ฉันไม่คิดว่าเขาจะลืม ว่าเวลาที่ตะวันยามเช้าสะท้อนแม่น้ำจนเป็นสีเหลืองนวลนั้นสวยงามเพียงใดหาดทรายริมแม่น้ำโขงที่ฉันมาเยือน อยู่ในความสนใจของนักเดินทาง โลกนัดเวลาให้เราไว้แล้ว สำหรับการตื่นในที่แปลกถิ่นและออกมาสูดอากาศ หากตื่นเช้ากว่าใครเพื่อน เราจะมองเห็น ผู้คนทยอยโผล่หน้าออกจากเกสเฮาส์ที่เรียงรายกันตลอดริมฝั่ง บ้างก็ลงมาเดินเล่น บ้างก็กางขาตั้งกล้องรอเอาไว้ เพื่อจะได้กดชัตเตอร์เมื่อดวงตะวันกลมโตสีแดงโผล่พ้นทิวเขาหลังแม่น้ำขึ้นมา…