Skip to main content

ท้องฟ้าในเมืองของเรายังสวยเสมอ โดยเฉพาะยามที่เพื่อนเก่าของฉันรีบจอดจักรยานไว้ข้างตลาด แล้วเดินเข้ามาจับมือ เธอเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปทางทิศตะวันตก ก้อนเมฆพวกนั้นเลื้อยตัวมากอดภูเขาเอาไว้ มองไกลๆ เหมือนใครเอาผ้าขนหนูสีขาวนุ่มๆ ไปพันทิ้งไว้

20080528 เมืองเล็กๆ ของเราหลังฝนตก
(เมืองเล็กๆ ของเราหลังฝนตก)

ฝนเพิ่งหยุดตกได้ไม่นาน เส้นผมของเธอยังมีหยดน้ำ ฉันเอื้อมมือไปลูบเส้นผมเธอเบาๆ เพื่อนสาวหัวเราะ เธอมีท่าทีเขิน ตีแขนฉันเบาๆ แล้วดุเอาว่า
“ทำตัวเหมือนตอนเป็นนักเรียนเลยนะ”
“ทีเธอยังทำตาโรแมนติกมองท้องฟ้าอยู่เลย”


ฉันย้อนเธอ แล้วเดินตามเข้าไปในตลาด มีเด็กชายตัวน้อยสองคนเดินตาม เขาเป็นลูกของเธอทั้งคู่ ตาใส แป๋ว และเชื่อฟังแม่เป็นอย่างดี เด็กชายช่วยปัดกวาดแผงขายของ ยกของมาวาง นั่งรอคนมาส่งเนื้อหมู
“คนเรามันก็ต้องมีบ้าง ช่วงเวลาที่เผลอมองฟ้า มองดาว ใครเขาจะว่ายังไงก็ช่าง เราเป็นของเราแบบนี้นี่นา ใช่ว่าเราจะทำตัวเหลวไหลเสียเมื่อไหร่”

เธอรำพึง แล้วสะบัดผมไปมาในแบบที่เป็นบุคลิกประจำ ฉันลอบมองใบหน้านั้น เพื่อนสนิทที่เคยใช้ชีวิตด้วยกันในช่วงมัธยมต้น เธอและฉันเคยปั่นจักรยานไปดูดอกไม้ ทุ่งหญ้า เธอชอบเขียนกลอน ร้องเพลง เธอฝึกเล่นกีตาร์ เธอเป็นคนละเอียดอ่อน และมีความฝัน

ตอนที่เรานั่งเอาเท้าหย่อนลงแม่น้ำ ไม่กลัวชุดนักเรียนจะเปียก เธอบอกว่า
“ฉันอยากไปอยู่ต่างประเทศ พูดภาษาอังกฤษเยอะๆ แล้วเดินทางรอบโลก กลับมาฉันจะทำสารคดีเรื่องเดินทาง แบบที่เห็นในทีวีน่ะ”

ฉันจำความฝันเหล่านั้นได้ดี พอๆ กับที่จำความฝันของตัวเอง แม้เราจะแยกย้ายกันไปนานมาแล้ว ผ่านมาจนกระทั่งอายุสามสิบกว่าปี เธอยังไม่ได้เดินทางรอบโลก ฉันเสียอีกที่ห่างไกลบ้าน นานๆ จะได้กลับมาครั้ง
“ชีวิตเราผิดพลาด” เธอพูดด้วยแววตายิ้ม นั่นบอกว่าทุกอย่างได้ผ่านไปหมดแล้ว เพื่อนของฉันมีท้องตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น มองไปยังเด็กชายที่หน้าเหมือนเธอ ขณะนี้ตัวเขาสูงกว่าเสียอีก เสียงเริ่มแตกหนุ่ม
“ใช้งานได้แล้ว” เธอว่า แล้วบอกให้ลูกชายช่วยไปรับข้าวของจากผู้เป็นพ่อ

20080528 ทุ่งกว้างๆ แบบนี้ มีอยู่รอบทิศทาง
(ข้าวในทุ่งสีทอง ในต้นฤดูฝน)

เนื้อหมูมาถึงแล้ว มีหัวหมู ตับ ไต เครื่องใน เท้า อวัยวะครบส่วนกระทั่งเลือด ทุกอย่างถูกห่อมาอย่างดี ล้างสะอาด เธอหยิบออกมาวางแผ่บนแผง เธอทำทุกอย่างได้รวดเร็ว ชำนิชำนาญ

เนื้อหมูติดซี่โครง มาเป็นแผงใหญ่ เธอเลือกมีดที่คมและหนัก ไม่น่าเชื่อว่ามือเล็กๆ นั้น จะตัดมันได้อย่างเฉียบขาด มีดของเธอคมกริบ แต่ละชิ้นแทบไม่ต้องชั่งต้องวัด เธอตัดได้เท่ากันหมด ลูกค้าเริ่มต้นทยอยมาซื้อเนื้อหมู ฉันเขยิบเท้าถอย
“อย่าเพิ่งไปสิ” เธอรีบบอก มือก็ทำงานไป ดวงตาก็ยังส่งไมตรีมาไม่มีเปลี่ยน
“ตะกี้ที่มองฟ้าน่ะ เราชอบท้องฟ้าแบบนี้มากๆ” เธอคุยต่อ ไม่สนใจลูกค้าที่จะมองหน้าเธอพร้อมพากันฟังไปด้วย
“ถึงไม่ได้ไปอยู่ที่อื่น แต่ก็เคยไปเที่ยวนะ ที่ไหนไม่สวยเท่านี้เลย ตอนนี้เกสเฮาส์ขึ้นมาตั้งหลายที่ แวะไปดูบ้างหรือยัง”

เธอถาม ฉันพยักหน้า
“ก็ได้ผ่านๆ บ้าง อีกไม่นานก็คงมีมากขึ้น” ฉันออกความเห็น
“นั่นแหละ ทำให้เรากลับมามีความฝันอีกครั้ง”
“เหรอ จะทำอะไร”
ฉันรอฟังทำตาแป๋ว เธอหัวเราะกับตัวเอง ยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อจากการออกแรงหั่นหมูพวกนั้น

20080528 เมืองที่เราขี่จักรยานไปมาหากันได้
(ทุ่งกว้างๆ แบบนี้ มีอยู่รอบทิศทาง)

“ก็..ยังไงดีล่ะ อย่าขำเรานะ”
“โธ่เอ้ย เคยขำที่ไหนล่ะ”
ฉันอมยิ้ม
“ฉันอยากเปิดร้านกาแฟ...”
“ฮื่อ”
ฉันพยักหน้า มองไปยังใบหน้าเคาะเขินที่ทำตาลอยไปมา เธอกลับมาเป็นเด็กอีกครั้ง ชำเลืองมองใบหน้าของลูกชายที่แปลกใจกับอาการของแม่ ส่วนสามีของเธอกำลังง่วนอยู่กับการทอนเงินให้ลูกค้า

“ร้านกาแฟแบบว่าน่ารักๆ มีดอกไม้ใส่แจกันบนโต๊ะ ทาผนังเป็นสีส้มอ่อน มีขนมเค้กให้ทานกับกาแฟ แล้วก็อะไรอีก มีหนังสือให้อ่าน ด้านล่างมีเปลญวนผูกๆ ให้นอนเล่น อะไรแบบนี้ จะเปิดเช้าๆ นะ แล้วปิดค่ำๆ หน่อย เธอว่าดีไหม”
หันมาถามฉัน ฉันก็พยักหน้า เป็นฝันที่น่ารักเหลือเกิน
“มองสถานที่ไว้หรือยัง”
“มองตลอด มองมาหลายต่อหลายปีแล้ว ดูไว้หลายที่นะ หน้าอำเภอ หลังอำเภอ เยื้องตลาด หรือไม่ก็ทางไปโรงเรียนของเรา...”
“ก็ดีนี่...” ฉันให้กำลังใจ
“เดี๋ยวนะ...”
เธอเหลือบไปมองสามี เขาทอนเงินไม่ทัน แถมสะกิดให้เธอรีบตักหมูบดเพื่อแบ่งขาย  เธอหันไปช่วยอย่างขมีขมัน

ลูกค้าทยอยกันมามากขึ้น แผงหมูของเธอขายดีแทบตัดไม่ทัน เสื้อกันเปื้อนของเธอเริ่มมอมแมม แต่เดี๋ยวพรุ่งนี้เธอก็ซักใหม่มาอย่างสะอาด เศษเลือดและกลิ่นคาวกระเด็นโดนใบหน้า เธอล้วงกระเป๋าที่วางข้างๆ หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเป็นระยะๆ

จากนั้นก็กลับมาเล่าความฝันต่อ

20080528 ก้อนเมฆแบบนี้ที่โอบล้อมเมืองเอาไว้
(เมืองที่เราขี่จักรยานไปมาหากันได้)

20080528 เก้าอี้พักริมทาง
(เก้าอี้พักริมทาง)

“เธอว่าเราจะได้ทำร้านกาแฟไหม”
อยู่ๆ เธอก็ถามขึ้นมา ฉันสูดลมหายใจ
“เราไม่ค่อยได้อยู่ที่นี่ คงตอบไม่ได้ ต้องดูว่ามีลูกค้าไหม แล้วมันจะอยู่ได้หรือเปล่า ต้องหาทำเลเหมาะๆ...”
ฉันออกความเห็นไป เธอก้มหน้า หั่นหมูช้าลง ช้าลง แต่ก็ยังทำเรื่อยไป

“ไม่รู้จะเป็นไปได้ไหมนะ แต่สักวันเราจะทำแบบนั้น แล้วเลิกขายหมูนี่ซะที มันเหนื่อยเหลือเกิน”

เธอรำพึงเบาๆ พร้อมสายตาของสามีที่มองมา คู่ชีวิตของเธอยิ้มให้ฉันจางๆ
“ฝันมาแบบนี้หลายปีละ อย่าเบื่อที่จะฟังล่ะ”
เขาว่า ตามด้วยเสียงหัวเราะ ฉันยิ้มตอบ ก่อนจะขอตัวกลับเสียที รู้สึกว่ายืนเกะกะแผงของเธอมาได้นานนักแล้ว
“ไว้มาอีกนะ คราวหน้าจะพาไปถ่ายรูปบนดอย เดี๋ยวรอให้ราคาหมูมันลง ได้กำไรอีกสักนิด จะพักหลายๆ วัน”
ฉันพยักหน้า เดินจากแผงหมูของเพื่อนเก่าออกมาหลังตลาด หยุดยืนมองท้องฟ้า

20080528 ข้าวในทุ่งสีทอง ในต้นฤดูฝน
(ก้อนเมฆแบบนี้ที่โอบล้อมเมืองเอาไว้)

ก้อนเมฆเคลื่อนไหวเหมือนงู เลื้อยรอบภูเขาและเตรียมตัวจากไปอย่างเชื่องช้า บนผืนฟ้านั้น จะมีใครไหมที่มีชีวิตยาวนานพอ ได้มองเห็นความฝันของทุกๆ คน ที่หมุนเวียนตามกาลเวลา

เมื่อจากอะไรมา ฉันก็ชอบเหลียวกลับไปดูเสมอ มองเห็นเพื่อนตัวเล็กๆ คนนั้นกำลังวุ่นวายกับการทำงาน
ใต้แผงหมูแผงนั้น ฉันไม่อาจรู้ได้ ว่าฝันของเธอจะเป็นจริงไหม และอะไรจะดีกว่ากัน ระหว่างร้านกาแฟ กับการเป็นแม่ค้าหมูแบบเช่นทุกวันนี้ และหากทำมันจริงๆ อย่างที่เธอคิด ชีวิตจะเป็นยังไงในวันข้างหน้า

แม้อยากจะสนับสนุนความฝันของเธอมากแค่ไหน ยังมีชีวิตจริงอีกหลายด้านที่อาจทำให้ฝันของเรากลายเป็นดอกไม้ไฟที่จุดแล้วหายวับไปกับตา
ฉันจึงได้แต่เพียง “รู้สึกดีดี” ที่อย่างน้อย ทุกวันๆ ของเธอ ใต้แผงหมูนั้น มีความฝันที่สวยงาม หล่อเลี้ยงจิตใจของเธอ

และเล่าสู่กันฟัง.

บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
ความชื้นแฉะเหล่านั้นคงไม่เป็นไรหรอกกระมัง หยดน้ำที่ทำให้พื้นดินที่สีดำขึ้นมากกว่าปกติ ดินที่นุ่มลง หญ้าที่ปกคลุมไปถ้วนทั่ว ฉันว่ามันชุ่มฉ่ำดีเหมือนกัน เมื่อฤดูฝนยาวกว่าที่เราคิด และปีนี้ ฝนก็ตกบ่อยกว่าปีที่ผ่านมา
วาดวลี
ท้องฟ้าอ้อยสร้อยแบบนั้นแหละ ที่คนแถวบ้านฉันรำพึงกันว่า เป็นความชุ่มฉ่ำต้อนรับเทศกาลเข้าพรรษา ฝนตกเอื่อยๆ พรมความชื้นไปทั่วถนนเล็กๆ ของหมู่บ้านเรา แต่ก็ไม่มีใครย่อท้อที่จะออกไปทำบุญ ดอกไม้ธูปเทียน อาหารคาวหวาน ข้าวตอกดอกไม้ คนข้างบ้านของฉันซึ่งเป็นครอบครัวที่ขยันทำงานไม่มีวันหยุด ก็ยังเอ่ยปากบอกว่า หยุดงานสักวันสองวันดีกว่า นอกจากไปทำบุญแล้ว ก็ยังได้หยุดอยู่บ้านกับครอบครัวอีกด้วย
วาดวลี
นานมาแล้วที่ฉันเคยได้ยินประโยคที่ว่า “แค่กระพริบตา โลกก็เปลี่ยน” แล้วเคยคิดเล่นๆ ว่า อะไรก็ตามที่เปลี่ยนไปแบบฉับพลัน หรือ เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังนั้น คงไม่ได้เกิดบ่อยนัก และหากจะเกิดขึ้นจริง ทุกอย่างล้วนมีสาเหตุ มีสัญญาณเตือนมาก่อน อยู่ที่เราจะสังเกตหรือไม่ก็เท่านั้น แต่สำหรับเรื่องของพี่ชาย พอจะทำให้ฉันเชื่อได้บ้างว่า กับเรื่องบางเรื่องนั้น การเปลี่ยนแปลงก็ไม่ได้มีอะไรมาเตือนล่วงหน้า
วาดวลี
 “รักของพี่กับเขาเริ่มตรงนี้”ตรงที่พี่ชายพูด มันคือถนนเส้นหนึ่ง ที่ตัดผ่านกลางระหว่างคูเมืองด้านในของเชียงใหม่ ไปยังชุมชนเก่าแก่แห่งหนึ่ง รอบๆ ถนนมีอาหารพื้นเมืองขาย มีส้มตำ ไก่ย่าง ร้านรวง บริษัท รวมทั้งวัดเก่าแก่สวยงาม   ฉันก้มลงไปมองตามนิ้วชี้ของเขา ที่ตรงนั้น คือฝาท่อกลมๆ เก่าๆ ปิดรอยโหว่ขี้เหร่ของถนนเอาไว้“ตรงนี้น่ะหรือ จุดเริ่มต้นของความรัก”ฉันทำหน้าไม่อยากเชื่อ พี่ชายยิ้มที่มุมปาก แล้วพยักหน้า “มีอยู่วันหนึ่ง พี่มาก้มๆ เงยๆ ผูกเชือกรองเท้าตรงนี้ ว่าจะเดินไปเยี่ยมเพื่อนที่ร้านซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าข้างหน้านั่น ก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินมา ผมยาว ผิวขาว หน้าตาก็ไม่สวยมาก…
วาดวลี
“บ้านพอมีที่เหลือว่างไหม” คนถามฉันเป็นชายหนุ่ม ที่นับนามว่าเป็น “เพื่อน” กัน มาได้ 4 ปีแล้ว ความจริง เขาเป็นเพื่อนของเพื่อน เมื่อรู้จักกันได้นับปี ก็ตัดสินใจได้ว่าเขาน่าจะเป็น “คนดี” พอในแบบที่ร้องขออะไร แล้วเราไม่กล้าที่จะไม่ให้ หากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย หรือลำบากใจกันจริงๆ มาครั้งนี้ บนถ้อยคำอาวรณ์ น้ำเสียงเขาหม่นเศร้า แววตาก็หม่นเศร้า เกิดอะไรขึ้นกับเขาหรือ เช้าวันอาทิตย์ที่แสงแดดสายสาดส่องให้อบอุ่น บนฟ้ามีก้อนเมฆปุกปุยสีขาว ไหลไปมาบนพื้นสีคราม สวยยิ่งกว่าสวย แต่เขาคนนี้มีแววเหมือนคนที่เพิ่งผ่านการร้องไห้มา
วาดวลี
 ๑. จะมี อะไรบ้าง ยั่งยืน ? กลางวัน กลางคืน แดด ฝน ลม หนาว มนุษย์ สมมุติ ชั่วคราว ว่าเรา ครอบครอง เพื่อ "ของเรา" ๒. ไยแย่งโอบกอดอนาคต แล้วเอ่ยกล่าวโทษวันเก่า ไยถก ไยเถียง เรื่องเงา ที่ลาลับ ล่วงกับ ดวงตะวัน 
วาดวลี
เชียงใหม่ในวันที่ฝนซา เพื่อนที่แวะมาเยี่ยมต่อสายบอกว่ากลับถึงบางกอกเรียบร้อยดีแล้ว เสียงอึกทึกครึกโครมที่รายล้อมตัวเธอบอกฉันว่า เธอไม่ได้อยู่ลำพังขณะคุยโทรศัพท์ ฉันแซวเธอเล่นๆ ว่ากำลังอยู่ในถิ่นอโคจรหรือเปล่านะ ก็เราคุยกันแทบจะไม่ได้ยินอะไรนอกจากเสียงเพลง เสียงรถ และเสียงคนมากมายเธอหัวเราะชอบใจ แล้วตอบว่า "ใช่ ฉันอยู่ในถิ่นอะโคจร" แล้วย้อนสวนมาว่า"ก็ดีกว่าอยู่ในแดนสนธยาเหมือนเธอ"ดอกหญ้าในสวนหลังบ้าน รกร้าง แต่ก็สวยงามในความรู้สึก 
วาดวลี
ฉันรู้สึกเหมือนกำลังเดินทางไปประเทศจีน เดินทางโดยยังไม่ได้ก้าวขาออกจากบ้านเสียด้วยซ้ำ มันเป็นการเดินทางด้วยจิตใจและจินตนาการ เมื่อน้องสาวที่น่ารักคนหนึ่งของฉัน เธอเดินทางไปเป็นครูสอนภาษาไทยอยู่ที่เมืองหนานหนิง มณฑลกวางสีตั้งแต่ 1 ปีที่แล้ว อีกไม่กี่เดือนก็จะย่างครบ 1 ปี เธอบอกว่าคิดถึงเมืองไทยเป็นที่สุด และนับจากวันนี้ไปอีกแค่ 8 วันเท่านั้นเธอก็จะได้กลับมาเหยียบผืนดินไทยอีกครั้งแล้ว“ดีใจนะที่ปลอดภัย”จำได้ว่าเอ่ยกับเธอด้วยประโยคนี้ หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ประเทศจีนไม่นาน ฉันนึกถึงใบหน้าของเธอ แก้มยุ้ยๆ  และแววตาวาบวับที่ระยิบระยับเสมอ…
วาดวลี
"เธอว่าเราจะไปไหน ?"ฉันถาม แล้วก็ก้าวขึ้นซ้อนมอเตอร์ไซค์ โดยไม่รอคำตอบมาถึง เสียงติดเครื่องของรถคันเก่าดั่งกระหึ่ม ยามบ่ายๆ ของวันหยุดที่เราควรจะได้เดินทางบ้าง แม้จะเป็นระยะทางสั้นๆ หรือยามว่างอันน้อยนิด ฉันอยากออกไปสูดอากาศ ส่วนเธออยากขี่รถเล่นเงยหน้ามองท้องฟ้า วันนี้ไม่มีฝน แม้จะไม่มีแดด แต่ก้อนเมฆยามบ่ายขับเคลื่อนราวว่า อีกนานกว่าพายุจะคลุมเมืองไว้อีกครั้ง
วาดวลี
ท้องฟ้าในเมืองของเรายังสวยเสมอ โดยเฉพาะยามที่เพื่อนเก่าของฉันรีบจอดจักรยานไว้ข้างตลาด แล้วเดินเข้ามาจับมือ เธอเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปทางทิศตะวันตก ก้อนเมฆพวกนั้นเลื้อยตัวมากอดภูเขาเอาไว้ มองไกลๆ เหมือนใครเอาผ้าขนหนูสีขาวนุ่มๆ ไปพันทิ้งไว้(เมืองเล็กๆ ของเราหลังฝนตก)
วาดวลี
ตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก ฉันและแม่มีกฎร่วมกันอยู่อย่างหนึ่งว่า หากไปเยี่ยมบ้านใครแล้วเขาให้ขนมกิน ก็ให้ยกมือไหว้ขอบคุณ แต่ไม่จำเป็นต้องรับไปเสียทั้งหมด แม่เคยเปรยๆ ว่า ถึงครอบครัวเราจะยากจนแต่แม่สามารถทำอาหารอร่อยๆ ให้กินได้ทุกมื้อ อีกอย่างก็คือบางคนเขาไม่ได้ตั้งใจทำเผื่อเราหรอก แต่เป็นการให้โดยมารยาทเท่านั้น หากรับไว้เสียหมดก็กลายเป็นการรบกวนเขาไปก็เป็นได้แม้แม่จะบอกแบบนี้ แต่ฉันและแม่ก็รู้ดีว่า ผู้คนรอบตัวที่ใจดีมีน้ำใจกับเรานั้นมีมากมายเพียงใด พ่อเล่าว่าฉันเป็นเด็กอ้วนแก้มยุ้ย ใครเห็นก็เอ็นดู มักเรียกให้ไปกินขนมอยู่ร่ำไป ดังนั้นข้อตกลงของฉันกับแม่ จึงกลายเป็นว่า หากมีคนยื่นให้…
วาดวลี
ฝนยังโปรยลงมาไม่ขาดสาย แม้จะเพิ่งผ่านเดือนเมษายนมาได้ไม่เท่าไหร่  ท้องทุ่งฉ่ำไปด้วยฝนและดูจะมากไปจนน่าวิตก ลานกว้างหน้าบ้านของยายปลีวันนี้จึงไม่มีเด็กๆ มาวิ่งเล่น แต่หลบฝนกันไปวาดรูปเล่นอยู่ตรงชานเรือน หลานอีกคนทำหน้าตาเบื่อเพราะอยากออกไปเที่ยวเล่นบ้านเพื่อน นี่เป็นวันธรรมดาที่อาจมีทั้งความหมายหรือไม่มี สำหรับยายปลี เพราะหลังจากแกเก็บผ้าเข้าไปตากใต้ยุ้งข้าวเรียบร้อยแล้ว ก็กลับมานั่งอยู่ประจำที่ อยู่กับเครื่องทอด้ายแบบสมัยโบราณ มันทำจากไม้ และไม่รู้ว่ามันมีอายุมาแล้วเท่าไหร่