Skip to main content

ท้องฟ้าในเมืองของเรายังสวยเสมอ โดยเฉพาะยามที่เพื่อนเก่าของฉันรีบจอดจักรยานไว้ข้างตลาด แล้วเดินเข้ามาจับมือ เธอเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปทางทิศตะวันตก ก้อนเมฆพวกนั้นเลื้อยตัวมากอดภูเขาเอาไว้ มองไกลๆ เหมือนใครเอาผ้าขนหนูสีขาวนุ่มๆ ไปพันทิ้งไว้

20080528 เมืองเล็กๆ ของเราหลังฝนตก
(เมืองเล็กๆ ของเราหลังฝนตก)

ฝนเพิ่งหยุดตกได้ไม่นาน เส้นผมของเธอยังมีหยดน้ำ ฉันเอื้อมมือไปลูบเส้นผมเธอเบาๆ เพื่อนสาวหัวเราะ เธอมีท่าทีเขิน ตีแขนฉันเบาๆ แล้วดุเอาว่า
“ทำตัวเหมือนตอนเป็นนักเรียนเลยนะ”
“ทีเธอยังทำตาโรแมนติกมองท้องฟ้าอยู่เลย”


ฉันย้อนเธอ แล้วเดินตามเข้าไปในตลาด มีเด็กชายตัวน้อยสองคนเดินตาม เขาเป็นลูกของเธอทั้งคู่ ตาใส แป๋ว และเชื่อฟังแม่เป็นอย่างดี เด็กชายช่วยปัดกวาดแผงขายของ ยกของมาวาง นั่งรอคนมาส่งเนื้อหมู
“คนเรามันก็ต้องมีบ้าง ช่วงเวลาที่เผลอมองฟ้า มองดาว ใครเขาจะว่ายังไงก็ช่าง เราเป็นของเราแบบนี้นี่นา ใช่ว่าเราจะทำตัวเหลวไหลเสียเมื่อไหร่”

เธอรำพึง แล้วสะบัดผมไปมาในแบบที่เป็นบุคลิกประจำ ฉันลอบมองใบหน้านั้น เพื่อนสนิทที่เคยใช้ชีวิตด้วยกันในช่วงมัธยมต้น เธอและฉันเคยปั่นจักรยานไปดูดอกไม้ ทุ่งหญ้า เธอชอบเขียนกลอน ร้องเพลง เธอฝึกเล่นกีตาร์ เธอเป็นคนละเอียดอ่อน และมีความฝัน

ตอนที่เรานั่งเอาเท้าหย่อนลงแม่น้ำ ไม่กลัวชุดนักเรียนจะเปียก เธอบอกว่า
“ฉันอยากไปอยู่ต่างประเทศ พูดภาษาอังกฤษเยอะๆ แล้วเดินทางรอบโลก กลับมาฉันจะทำสารคดีเรื่องเดินทาง แบบที่เห็นในทีวีน่ะ”

ฉันจำความฝันเหล่านั้นได้ดี พอๆ กับที่จำความฝันของตัวเอง แม้เราจะแยกย้ายกันไปนานมาแล้ว ผ่านมาจนกระทั่งอายุสามสิบกว่าปี เธอยังไม่ได้เดินทางรอบโลก ฉันเสียอีกที่ห่างไกลบ้าน นานๆ จะได้กลับมาครั้ง
“ชีวิตเราผิดพลาด” เธอพูดด้วยแววตายิ้ม นั่นบอกว่าทุกอย่างได้ผ่านไปหมดแล้ว เพื่อนของฉันมีท้องตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น มองไปยังเด็กชายที่หน้าเหมือนเธอ ขณะนี้ตัวเขาสูงกว่าเสียอีก เสียงเริ่มแตกหนุ่ม
“ใช้งานได้แล้ว” เธอว่า แล้วบอกให้ลูกชายช่วยไปรับข้าวของจากผู้เป็นพ่อ

20080528 ทุ่งกว้างๆ แบบนี้ มีอยู่รอบทิศทาง
(ข้าวในทุ่งสีทอง ในต้นฤดูฝน)

เนื้อหมูมาถึงแล้ว มีหัวหมู ตับ ไต เครื่องใน เท้า อวัยวะครบส่วนกระทั่งเลือด ทุกอย่างถูกห่อมาอย่างดี ล้างสะอาด เธอหยิบออกมาวางแผ่บนแผง เธอทำทุกอย่างได้รวดเร็ว ชำนิชำนาญ

เนื้อหมูติดซี่โครง มาเป็นแผงใหญ่ เธอเลือกมีดที่คมและหนัก ไม่น่าเชื่อว่ามือเล็กๆ นั้น จะตัดมันได้อย่างเฉียบขาด มีดของเธอคมกริบ แต่ละชิ้นแทบไม่ต้องชั่งต้องวัด เธอตัดได้เท่ากันหมด ลูกค้าเริ่มต้นทยอยมาซื้อเนื้อหมู ฉันเขยิบเท้าถอย
“อย่าเพิ่งไปสิ” เธอรีบบอก มือก็ทำงานไป ดวงตาก็ยังส่งไมตรีมาไม่มีเปลี่ยน
“ตะกี้ที่มองฟ้าน่ะ เราชอบท้องฟ้าแบบนี้มากๆ” เธอคุยต่อ ไม่สนใจลูกค้าที่จะมองหน้าเธอพร้อมพากันฟังไปด้วย
“ถึงไม่ได้ไปอยู่ที่อื่น แต่ก็เคยไปเที่ยวนะ ที่ไหนไม่สวยเท่านี้เลย ตอนนี้เกสเฮาส์ขึ้นมาตั้งหลายที่ แวะไปดูบ้างหรือยัง”

เธอถาม ฉันพยักหน้า
“ก็ได้ผ่านๆ บ้าง อีกไม่นานก็คงมีมากขึ้น” ฉันออกความเห็น
“นั่นแหละ ทำให้เรากลับมามีความฝันอีกครั้ง”
“เหรอ จะทำอะไร”
ฉันรอฟังทำตาแป๋ว เธอหัวเราะกับตัวเอง ยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อจากการออกแรงหั่นหมูพวกนั้น

20080528 เมืองที่เราขี่จักรยานไปมาหากันได้
(ทุ่งกว้างๆ แบบนี้ มีอยู่รอบทิศทาง)

“ก็..ยังไงดีล่ะ อย่าขำเรานะ”
“โธ่เอ้ย เคยขำที่ไหนล่ะ”
ฉันอมยิ้ม
“ฉันอยากเปิดร้านกาแฟ...”
“ฮื่อ”
ฉันพยักหน้า มองไปยังใบหน้าเคาะเขินที่ทำตาลอยไปมา เธอกลับมาเป็นเด็กอีกครั้ง ชำเลืองมองใบหน้าของลูกชายที่แปลกใจกับอาการของแม่ ส่วนสามีของเธอกำลังง่วนอยู่กับการทอนเงินให้ลูกค้า

“ร้านกาแฟแบบว่าน่ารักๆ มีดอกไม้ใส่แจกันบนโต๊ะ ทาผนังเป็นสีส้มอ่อน มีขนมเค้กให้ทานกับกาแฟ แล้วก็อะไรอีก มีหนังสือให้อ่าน ด้านล่างมีเปลญวนผูกๆ ให้นอนเล่น อะไรแบบนี้ จะเปิดเช้าๆ นะ แล้วปิดค่ำๆ หน่อย เธอว่าดีไหม”
หันมาถามฉัน ฉันก็พยักหน้า เป็นฝันที่น่ารักเหลือเกิน
“มองสถานที่ไว้หรือยัง”
“มองตลอด มองมาหลายต่อหลายปีแล้ว ดูไว้หลายที่นะ หน้าอำเภอ หลังอำเภอ เยื้องตลาด หรือไม่ก็ทางไปโรงเรียนของเรา...”
“ก็ดีนี่...” ฉันให้กำลังใจ
“เดี๋ยวนะ...”
เธอเหลือบไปมองสามี เขาทอนเงินไม่ทัน แถมสะกิดให้เธอรีบตักหมูบดเพื่อแบ่งขาย  เธอหันไปช่วยอย่างขมีขมัน

ลูกค้าทยอยกันมามากขึ้น แผงหมูของเธอขายดีแทบตัดไม่ทัน เสื้อกันเปื้อนของเธอเริ่มมอมแมม แต่เดี๋ยวพรุ่งนี้เธอก็ซักใหม่มาอย่างสะอาด เศษเลือดและกลิ่นคาวกระเด็นโดนใบหน้า เธอล้วงกระเป๋าที่วางข้างๆ หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเป็นระยะๆ

จากนั้นก็กลับมาเล่าความฝันต่อ

20080528 ก้อนเมฆแบบนี้ที่โอบล้อมเมืองเอาไว้
(เมืองที่เราขี่จักรยานไปมาหากันได้)

20080528 เก้าอี้พักริมทาง
(เก้าอี้พักริมทาง)

“เธอว่าเราจะได้ทำร้านกาแฟไหม”
อยู่ๆ เธอก็ถามขึ้นมา ฉันสูดลมหายใจ
“เราไม่ค่อยได้อยู่ที่นี่ คงตอบไม่ได้ ต้องดูว่ามีลูกค้าไหม แล้วมันจะอยู่ได้หรือเปล่า ต้องหาทำเลเหมาะๆ...”
ฉันออกความเห็นไป เธอก้มหน้า หั่นหมูช้าลง ช้าลง แต่ก็ยังทำเรื่อยไป

“ไม่รู้จะเป็นไปได้ไหมนะ แต่สักวันเราจะทำแบบนั้น แล้วเลิกขายหมูนี่ซะที มันเหนื่อยเหลือเกิน”

เธอรำพึงเบาๆ พร้อมสายตาของสามีที่มองมา คู่ชีวิตของเธอยิ้มให้ฉันจางๆ
“ฝันมาแบบนี้หลายปีละ อย่าเบื่อที่จะฟังล่ะ”
เขาว่า ตามด้วยเสียงหัวเราะ ฉันยิ้มตอบ ก่อนจะขอตัวกลับเสียที รู้สึกว่ายืนเกะกะแผงของเธอมาได้นานนักแล้ว
“ไว้มาอีกนะ คราวหน้าจะพาไปถ่ายรูปบนดอย เดี๋ยวรอให้ราคาหมูมันลง ได้กำไรอีกสักนิด จะพักหลายๆ วัน”
ฉันพยักหน้า เดินจากแผงหมูของเพื่อนเก่าออกมาหลังตลาด หยุดยืนมองท้องฟ้า

20080528 ข้าวในทุ่งสีทอง ในต้นฤดูฝน
(ก้อนเมฆแบบนี้ที่โอบล้อมเมืองเอาไว้)

ก้อนเมฆเคลื่อนไหวเหมือนงู เลื้อยรอบภูเขาและเตรียมตัวจากไปอย่างเชื่องช้า บนผืนฟ้านั้น จะมีใครไหมที่มีชีวิตยาวนานพอ ได้มองเห็นความฝันของทุกๆ คน ที่หมุนเวียนตามกาลเวลา

เมื่อจากอะไรมา ฉันก็ชอบเหลียวกลับไปดูเสมอ มองเห็นเพื่อนตัวเล็กๆ คนนั้นกำลังวุ่นวายกับการทำงาน
ใต้แผงหมูแผงนั้น ฉันไม่อาจรู้ได้ ว่าฝันของเธอจะเป็นจริงไหม และอะไรจะดีกว่ากัน ระหว่างร้านกาแฟ กับการเป็นแม่ค้าหมูแบบเช่นทุกวันนี้ และหากทำมันจริงๆ อย่างที่เธอคิด ชีวิตจะเป็นยังไงในวันข้างหน้า

แม้อยากจะสนับสนุนความฝันของเธอมากแค่ไหน ยังมีชีวิตจริงอีกหลายด้านที่อาจทำให้ฝันของเรากลายเป็นดอกไม้ไฟที่จุดแล้วหายวับไปกับตา
ฉันจึงได้แต่เพียง “รู้สึกดีดี” ที่อย่างน้อย ทุกวันๆ ของเธอ ใต้แผงหมูนั้น มีความฝันที่สวยงาม หล่อเลี้ยงจิตใจของเธอ

และเล่าสู่กันฟัง.

บล็อกของ วาดวลี

วาดวลี
เมื่อหลายสิบปีก่อน เมื่อชายวัยกลางคนคนหนึ่งมาปลูกบ้านอยู่ริมแม่น้ำ เขายิ้มให้กับชีวิตพลางบอกลูกเมียว่า อยากกินปลามื้อไหนขอให้บอก จะเอาตัวเล็กตัวใหญ่ แค่คว้าแห คว้าไซ เบ็ดตกปลา หรือเดินดุ่มลงไปยกยอ ไม่เกิน 15 เท่านั้น ก็จะมีปลามาแกงได้ทั้งหม้อน้ำแม่โก๋นข้างบ้านพ่อชุม
วาดวลี
๑.นอนพักเถิด มวลมิตร ที่ชิดใกล้เก็บแรงไว้คุ้ยหาเศษอาหารฟ้าสวยสวย พื้นที่กว้าง ที่กลางลานคือสวรรค์สถาน ของผองเราอย่าไปเครียด จริงจัง เลยวันพรุ่งเดี๋ยวก็รุ่ง เดี๋ยวก็ค่ำ เหมือนวันเก่ารู้วิถี ตัวตน บนทางเราอย่าเกะกะใครเขาก็เท่านั้นเราเป็นชนกลุ่มน้อยด้อยในโลกจะส่งซึ่ง ภาษาโศก ภาษาขันก็หามีใครฟังเจ้าทั้งนั้นคนอื่นล้วน สื่อสารกัน ภาษาเขา
วาดวลี
“เขาขนทรายกันตรงไหนคะ”ฉันเอ่ยถามเสียงเบาๆ หากจะให้เดาก็คงเป็นที่วัด แต่วัดในบริเวณนี้มีตั้งหลายแห่ง และก็ไม่ได้อยู่ติดกับแม่น้ำแบบวัดใหญ่ของอีกฝั่งฟากถนน วัดใหญ่นั้น ตีเขตไปเป็นอีกตำบล อีกอำเภอหนึ่ง ซึ่งเดาได้ว่า คนในหมู่บ้านฉัน คงไม่ได้ไปทำบุญกันที่นั่น พี่สาวใจดีข้างบ้าน บอกฉันทุกเรื่อง ในสิ่งที่ฉันสงสัย จะว่าไป มีเพียงครอบครัวเดียวที่ฉันรู้จักมักคุ้น แม้จะย้ายบ้านมาได้หลายเดือนแล้ว คนอื่นๆ ส่วนใหญ่ ออกไปใช้ชีวิตประจำวันนอกบ้าน เราเจอกันยามค่ำ ก็ยิ้มให้กันไปมา แล้วต่างแยกย้ายกันไป แค่เวลา 2 ทุ่มกว่า ทั้งหมู่บ้านก็เงียบสนิท มีเพียงฉันที่เปิดไฟทำงานจนถึงดึกดื่นจะสงกรานต์แล้ว…
วาดวลี
“ฝนกำลังตกซิๆ”เสียงตามสายโทรศัพท์จากเพื่อนหนุ่มที่ฉันเคยเขียนถึงเมื่อตอนที่แล้ว เอ่ยบอกเล่าเบาๆ ถึงสิ่งที่กำลังอยู่ในชีวิตเขาของในเช้าวันนี้คนทางนี้เรียกสายฝนด้วยคำนั้น “ฝนตกซิๆ” บางครั้ง ฉันก็ชอบลักษณะฝนอย่างว่า ด้วยเป็นคนที่ชอบอยู่บ้าน จะมีอะไรสุขใจไปกว่าการได้นั่งดูสายฝนที่ไม่มีลมแรงๆ ให้ต้องหวาดกลัว อากาศเย็นสบาย จิบชาอุ่นๆ แล้วนั่งทำงาน แต่ก็อดเห็นใจไม่ได้ ถึงคนที่กำลังเดินทาง หรือคนทำมาค้าขาย  อาการฝนตกซิๆ นั่นคือเรื่องรำคาญใจ และรบกวนการทำงานอย่างยิ่ง วูบนั้น ฉันก็นึกไปถึง ป้ายสุภาษิตหน้าวัดต้นปิน ซึ่งเขียนไว้บนแผ่นไม้ติดผนังวัดว่า “ฝนตกซิๆ นานเอื้อน หมาขี้เรื้อน นานต๋าย”…
วาดวลี
“ผมจะย้ายกลับบ้านเกิดแล้วนะ” อีกครั้ง ที่เพื่อนชายคนเดิม คนที่ฉันเคยช่วยเก็บข้าวของเมื่อปีก่อน บอกกับฉันในต้นปลายเดือนมีนาคมของปีนี้ถึงเรื่องการย้ายกลับภูมิลำเนาเกิดไปยังอำเภอฝาง บ่ายที่แดดจัดจ้านนั้น ฉันจำได้ดีถึงประกายนัยน์ตามุ่งมั่นของเขา เมื่อหกเดือนที่แล้ว ................  
วาดวลี
อาจด้วยความเมตตาของผืนฟ้า และความปราณีของผืนดิน ที่ยังคงให้เราได้หายใจหายคอได้อยู่  ทั้งที่ “อะไรที่มองไม่เห็นในอากาศ” นั้น กำลังมาบอกอย่างโต้งๆ ว่า โลกไม่ใช่แค่กำลังร้อน แต่มันกำลังเสื่อมสลายและผุกร่อน“ขี่รถไปไหนแสบตามากเลย หายใจไม่ค่อยออก”คนรู้จักของฉันเล่าให้ฟัง ฉันได้แต่พยักหน้าเห็นด้วย เพราะอาการก็ไม่ต่างกัน เมื่อวานนี้ ฉันซ้อนมอเตอร์ไซค์คนที่บ้านขี่เลียบน้ำปิงไปยังเขตเมือง ใบไม้ร่วงกราวจากพายุที่ก่อตัวตั้งเค้ามาในช่วงบ่าย ใบไม้แห้งสีน้ำตาลกรอบกระจายไปถ้วนทั่วท้องถนนและผืนหญ้าบนสวนสาธารณะ บางแห่งพัดปลิวเอาเศษกระดาษ ถุงพลาสติก วนอยู่ในอากาศ ก่อนจะร่วงไปตกลงในลำน้ำปิง…
วาดวลี
หลายปีก่อน หญิงสาวรูปร่างบางตาคมคนหนึ่ง ซึ่งเป็นรุ่นน้อง เอ่ยกับฉันว่าการหอบสัมภาระเพื่อย้ายจาก “บ้านเช่า” ไป “บ้านใหม่” ที่เธอเป็นเจ้าของนั้น ต้องเก็บไปให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้กลายเป็นภาระของคนมาทีหลัง “อะไรเอาไปได้ก็เอาไป ยกเว้นก็แต่ต้นไม้ มันโตจนเกินกว่าที่จะขุดขึ้นมา”ฉันไม่มีโอกาสไปเยี่ยมเธอเลยในหลายปีมานี้ แต่พอจะรับรู้ได้ว่า คนรักต้นไม้แบบเธอนั้นเพียรพยายามปลูกสารพัดต้นไม้เท่าที่ผืนดินจะอำนวย นอกจากต้นโมก ดอกแก้ว หรือพลูด่างแล้วเธอยังมีพืชสวนครัว เช่น ตะไคร้ พริก โหระพา เพื่อเอาไว้ทำกับข้าว แต่ฉันเดาเอาว่าเธอคงปลูกทั้งต้นมะม่วง จำปี กระทั่งฝรั่งหรือขนุน…
วาดวลี
"มีลูกแมวเพิ่งออกลูกตั้งหลายตัวแน่ะ""มันอยู่ตรงไหนคะ" "นั่นไง หลบอยู่หลังป้ายหาเสียงน่ะ"คนบอกชี้นิ้วไปยังบริเวณริมรั้วที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ฉันอดไม่ได้ ที่จะจำใจมองไปยังป้ายโฆษณาหาเสียงขนาดใหญ่ สูงท่วมหัวตั้งโด่เด่อยู่เพียงอันเดียวในหมู่บ้าน  ป้ายอันนั้นทำด้วยไม้อัดเรียงต่อกัน แปะทับเข้าไปด้วยไวนิลพิมพ์ภาพ 4 สีสดใส ใบหน้าผุดผ่อง ขาวนวลและริมฝีปากแดงระเรื่อ ดูมีอำนาจวาสนาและความรู้ แต่ในเมื่อไม่มีป้ายหาเสียงของใครอื่นมาเทียบเคียงอีกเลย ฉันจึงคิดเล่นๆว่า  ดูท่าทางเขาไม่ใช่ผู้ลงสมัครระดับธรรมดา และบ้านหลังนั้นที่มีรถหาเสียงหลายๆ คันทยอยกันมาจอดชุมนุม…
วาดวลี
“เธอดูโน่นสิ แดดออกแล้ว แต่ฝนยังตกอยู่เลย”ฉันเอ่ยเสียงดัง แล้วละสายตาจากคอมพิวเตอร์ ออกมายืนยังประตูบ้าน กลิ่นไอฝนกระทบกับผืนดินแตะปลายจมูก  สูดกลิ่นเข้าไปเต็มปอด พลางพิจารณาแสงแดดที่ค่อยๆ มาแทนที่อย่างเชื่องช้าคนข้างกายลุกขึ้นบ้าง เราสองคนออกมายืนดูสายฝน ที่มีเม็ดเล็กลงเรื่อยๆ ตกช้าลง ช้าลง จนกระทั่งหยุดตก เหลือไว้เพียงก็รอยหมาดฝนบนผืนดิน ใบไม้ และทางเดิน “แบบนี้ต้องมีรุ้งกินน้ำแน่ๆ หิวข้าวหรือยัง”
“อ้าว เกี่ยวกันยังไง” ฉันทำหน้าเบ๋อ พุ่งตัวเข้าไปใกล้เธอในระยะประชิด“แปลว่าเราออกไปหาอะไรกิน แล้วไปดูรุ้งกินน้ำด้วยไง”ฉันยิ้มกริ่ม ถ้าเธอมีเวลาอยู่กับฉันทุกวันก็คงจะดี นานๆ หน…
วาดวลี
ก่อนหน้านี้หลายสัปดาห์แล้วล่ะ  ที่ฉันไปยืนอยู่ตรงนั้นแล้วพยายามจะนับดูว่า ดอกทิวลิปที่ก้านอวบ กลีบสวย ในสวนตรงนี้ มีจำนวนกี่สีกันแน่มวลหมู่ไม้มากมาย พืชพันธุ์ทั้งไทยและฝรั่ง ผลิบานแสดงความแข็งแรงต่ออากาศหนาวยามเช้า และแดดจัดยามบ่ายในบริเวณสวนสาธารณะของหาดเชียงราย แม้มันจะไม่ได้เกิดและเติบโตที่นั่น แต่ถูกเพาะปลูกเลี้ยงดูด้วยการทดลอง กระทั่งเมื่อสำเร็จผล ก็ถูกขนย้าย มาลงบนผืนดินชั่วคราวเพื่อแสดงงานดอกไม้ดอกทิวลิป ลิลลี่ บานชื่อพันธุ์ใหม่ และดอกไม้ชื่อแปลกหูอีกหลายชนิด เบ่งบานอวดสีสันอยู่ไม่ไกลนักจากลำน้ำกกที่พากันไหลอ้อยสร้อย เชื่องช้าไม่เพียงแต่ทดสอบความทนทานของดอกไม้ต่ออากาศเท่านั้น…
วาดวลี
อากาศขมุกขมัว เริ่มต้นมาได้หลายวันแล้ว ขณะที่หมอกบางเพิ่งจางลงไปในตอนเช้า ตอนสายๆ ของฤดูหนาวกลับมีเม็ดฝนมาเยือน คนในครอบครัวต้องปรับตัวในการออกไปทำงาน  ด้วยการใส่ทั้งเสื้อกันหนาวและเสื้อกันฝน ส่วนฉัน ขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปติดอยู่ที่แผงขายผักเล็กๆ ในหมู่บ้าน คุณยายมองดูสายฝนที่หนาหนักลงมา แล้วก็ถอนหายใจ"อย่าเพิ่งกลับเลยหนู รอให้ฝนซาก่อน"เขาบอกฉันอย่างมีไมตรี แล้วชวนให้เข้าไปหลบฝนด้านในร้าน เหลือบไปมองถนน บางคนฝ่าเม็ดฝนไปไม่กลัวเปียก บางคนทำท่าเก้ๆ กังๆแล้วบทสนทนาของฝนหลงฤดูก็เกิดขึ้น"มันแปลกจริงๆ ฝนจะมาช่วงนี้ได้ยังไง""อากาศวิปริต""จะเข้าหน้าร้อนแล้วก็แบบนี้แหละ ฝนหัวปี""เฮ้ย ยังไม่ถึง"…
วาดวลี
ผู้ชายคนนั้นเหมือนไม่สนใจใครเลยเขาย่ำเท้าหนักๆ ลงบนผืนทราย บุ๋มเป็นรอยเท้าทับซ้อนกันไปมา เขาง่วนอยู่กับข้าวของบางอย่างตรงหน้า แต่ฉันไม่คิดว่าเขาจะลืม ว่าเวลาที่ตะวันยามเช้าสะท้อนแม่น้ำจนเป็นสีเหลืองนวลนั้นสวยงามเพียงใดหาดทรายริมแม่น้ำโขงที่ฉันมาเยือน อยู่ในความสนใจของนักเดินทาง โลกนัดเวลาให้เราไว้แล้ว สำหรับการตื่นในที่แปลกถิ่นและออกมาสูดอากาศ หากตื่นเช้ากว่าใครเพื่อน เราจะมองเห็น ผู้คนทยอยโผล่หน้าออกจากเกสเฮาส์ที่เรียงรายกันตลอดริมฝั่ง บ้างก็ลงมาเดินเล่น บ้างก็กางขาตั้งกล้องรอเอาไว้ เพื่อจะได้กดชัตเตอร์เมื่อดวงตะวันกลมโตสีแดงโผล่พ้นทิวเขาหลังแม่น้ำขึ้นมา…