ท้องฟ้าในเมืองของเรายังสวยเสมอ โดยเฉพาะยามที่เพื่อนเก่าของฉันรีบจอดจักรยานไว้ข้างตลาด แล้วเดินเข้ามาจับมือ เธอเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปทางทิศตะวันตก ก้อนเมฆพวกนั้นเลื้อยตัวมากอดภูเขาเอาไว้ มองไกลๆ เหมือนใครเอาผ้าขนหนูสีขาวนุ่มๆ ไปพันทิ้งไว้
(เมืองเล็กๆ ของเราหลังฝนตก)
ฝนเพิ่งหยุดตกได้ไม่นาน เส้นผมของเธอยังมีหยดน้ำ ฉันเอื้อมมือไปลูบเส้นผมเธอเบาๆ เพื่อนสาวหัวเราะ เธอมีท่าทีเขิน ตีแขนฉันเบาๆ แล้วดุเอาว่า
“ทำตัวเหมือนตอนเป็นนักเรียนเลยนะ”
“ทีเธอยังทำตาโรแมนติกมองท้องฟ้าอยู่เลย”
ฉันย้อนเธอ แล้วเดินตามเข้าไปในตลาด มีเด็กชายตัวน้อยสองคนเดินตาม เขาเป็นลูกของเธอทั้งคู่ ตาใส แป๋ว และเชื่อฟังแม่เป็นอย่างดี เด็กชายช่วยปัดกวาดแผงขายของ ยกของมาวาง นั่งรอคนมาส่งเนื้อหมู
“คนเรามันก็ต้องมีบ้าง ช่วงเวลาที่เผลอมองฟ้า มองดาว ใครเขาจะว่ายังไงก็ช่าง เราเป็นของเราแบบนี้นี่นา ใช่ว่าเราจะทำตัวเหลวไหลเสียเมื่อไหร่”
เธอรำพึง แล้วสะบัดผมไปมาในแบบที่เป็นบุคลิกประจำ ฉันลอบมองใบหน้านั้น เพื่อนสนิทที่เคยใช้ชีวิตด้วยกันในช่วงมัธยมต้น เธอและฉันเคยปั่นจักรยานไปดูดอกไม้ ทุ่งหญ้า เธอชอบเขียนกลอน ร้องเพลง เธอฝึกเล่นกีตาร์ เธอเป็นคนละเอียดอ่อน และมีความฝัน
ตอนที่เรานั่งเอาเท้าหย่อนลงแม่น้ำ ไม่กลัวชุดนักเรียนจะเปียก เธอบอกว่า
“ฉันอยากไปอยู่ต่างประเทศ พูดภาษาอังกฤษเยอะๆ แล้วเดินทางรอบโลก กลับมาฉันจะทำสารคดีเรื่องเดินทาง แบบที่เห็นในทีวีน่ะ”
ฉันจำความฝันเหล่านั้นได้ดี พอๆ กับที่จำความฝันของตัวเอง แม้เราจะแยกย้ายกันไปนานมาแล้ว ผ่านมาจนกระทั่งอายุสามสิบกว่าปี เธอยังไม่ได้เดินทางรอบโลก ฉันเสียอีกที่ห่างไกลบ้าน นานๆ จะได้กลับมาครั้ง
“ชีวิตเราผิดพลาด” เธอพูดด้วยแววตายิ้ม นั่นบอกว่าทุกอย่างได้ผ่านไปหมดแล้ว เพื่อนของฉันมีท้องตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น มองไปยังเด็กชายที่หน้าเหมือนเธอ ขณะนี้ตัวเขาสูงกว่าเสียอีก เสียงเริ่มแตกหนุ่ม
“ใช้งานได้แล้ว” เธอว่า แล้วบอกให้ลูกชายช่วยไปรับข้าวของจากผู้เป็นพ่อ
(ข้าวในทุ่งสีทอง ในต้นฤดูฝน)
เนื้อหมูมาถึงแล้ว มีหัวหมู ตับ ไต เครื่องใน เท้า อวัยวะครบส่วนกระทั่งเลือด ทุกอย่างถูกห่อมาอย่างดี ล้างสะอาด เธอหยิบออกมาวางแผ่บนแผง เธอทำทุกอย่างได้รวดเร็ว ชำนิชำนาญ
เนื้อหมูติดซี่โครง มาเป็นแผงใหญ่ เธอเลือกมีดที่คมและหนัก ไม่น่าเชื่อว่ามือเล็กๆ นั้น จะตัดมันได้อย่างเฉียบขาด มีดของเธอคมกริบ แต่ละชิ้นแทบไม่ต้องชั่งต้องวัด เธอตัดได้เท่ากันหมด ลูกค้าเริ่มต้นทยอยมาซื้อเนื้อหมู ฉันเขยิบเท้าถอย
“อย่าเพิ่งไปสิ” เธอรีบบอก มือก็ทำงานไป ดวงตาก็ยังส่งไมตรีมาไม่มีเปลี่ยน
“ตะกี้ที่มองฟ้าน่ะ เราชอบท้องฟ้าแบบนี้มากๆ” เธอคุยต่อ ไม่สนใจลูกค้าที่จะมองหน้าเธอพร้อมพากันฟังไปด้วย
“ถึงไม่ได้ไปอยู่ที่อื่น แต่ก็เคยไปเที่ยวนะ ที่ไหนไม่สวยเท่านี้เลย ตอนนี้เกสเฮาส์ขึ้นมาตั้งหลายที่ แวะไปดูบ้างหรือยัง”
เธอถาม ฉันพยักหน้า
“ก็ได้ผ่านๆ บ้าง อีกไม่นานก็คงมีมากขึ้น” ฉันออกความเห็น
“นั่นแหละ ทำให้เรากลับมามีความฝันอีกครั้ง”
“เหรอ จะทำอะไร”
ฉันรอฟังทำตาแป๋ว เธอหัวเราะกับตัวเอง ยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อจากการออกแรงหั่นหมูพวกนั้น
(ทุ่งกว้างๆ แบบนี้ มีอยู่รอบทิศทาง)
“ก็..ยังไงดีล่ะ อย่าขำเรานะ”
“โธ่เอ้ย เคยขำที่ไหนล่ะ” ฉันอมยิ้ม
“ฉันอยากเปิดร้านกาแฟ...”
“ฮื่อ” ฉันพยักหน้า มองไปยังใบหน้าเคาะเขินที่ทำตาลอยไปมา เธอกลับมาเป็นเด็กอีกครั้ง ชำเลืองมองใบหน้าของลูกชายที่แปลกใจกับอาการของแม่ ส่วนสามีของเธอกำลังง่วนอยู่กับการทอนเงินให้ลูกค้า
“ร้านกาแฟแบบว่าน่ารักๆ มีดอกไม้ใส่แจกันบนโต๊ะ ทาผนังเป็นสีส้มอ่อน มีขนมเค้กให้ทานกับกาแฟ แล้วก็อะไรอีก มีหนังสือให้อ่าน ด้านล่างมีเปลญวนผูกๆ ให้นอนเล่น อะไรแบบนี้ จะเปิดเช้าๆ นะ แล้วปิดค่ำๆ หน่อย เธอว่าดีไหม”
หันมาถามฉัน ฉันก็พยักหน้า เป็นฝันที่น่ารักเหลือเกิน
“มองสถานที่ไว้หรือยัง”
“มองตลอด มองมาหลายต่อหลายปีแล้ว ดูไว้หลายที่นะ หน้าอำเภอ หลังอำเภอ เยื้องตลาด หรือไม่ก็ทางไปโรงเรียนของเรา...”
“ก็ดีนี่...” ฉันให้กำลังใจ
“เดี๋ยวนะ...”
เธอเหลือบไปมองสามี เขาทอนเงินไม่ทัน แถมสะกิดให้เธอรีบตักหมูบดเพื่อแบ่งขาย เธอหันไปช่วยอย่างขมีขมัน
ลูกค้าทยอยกันมามากขึ้น แผงหมูของเธอขายดีแทบตัดไม่ทัน เสื้อกันเปื้อนของเธอเริ่มมอมแมม แต่เดี๋ยวพรุ่งนี้เธอก็ซักใหม่มาอย่างสะอาด เศษเลือดและกลิ่นคาวกระเด็นโดนใบหน้า เธอล้วงกระเป๋าที่วางข้างๆ หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเป็นระยะๆ
จากนั้นก็กลับมาเล่าความฝันต่อ
(เมืองที่เราขี่จักรยานไปมาหากันได้)
(เก้าอี้พักริมทาง)
“เธอว่าเราจะได้ทำร้านกาแฟไหม”
อยู่ๆ เธอก็ถามขึ้นมา ฉันสูดลมหายใจ
“เราไม่ค่อยได้อยู่ที่นี่ คงตอบไม่ได้ ต้องดูว่ามีลูกค้าไหม แล้วมันจะอยู่ได้หรือเปล่า ต้องหาทำเลเหมาะๆ...”
ฉันออกความเห็นไป เธอก้มหน้า หั่นหมูช้าลง ช้าลง แต่ก็ยังทำเรื่อยไป
“ไม่รู้จะเป็นไปได้ไหมนะ แต่สักวันเราจะทำแบบนั้น แล้วเลิกขายหมูนี่ซะที มันเหนื่อยเหลือเกิน”
เธอรำพึงเบาๆ พร้อมสายตาของสามีที่มองมา คู่ชีวิตของเธอยิ้มให้ฉันจางๆ
“ฝันมาแบบนี้หลายปีละ อย่าเบื่อที่จะฟังล่ะ”
เขาว่า ตามด้วยเสียงหัวเราะ ฉันยิ้มตอบ ก่อนจะขอตัวกลับเสียที รู้สึกว่ายืนเกะกะแผงของเธอมาได้นานนักแล้ว
“ไว้มาอีกนะ คราวหน้าจะพาไปถ่ายรูปบนดอย เดี๋ยวรอให้ราคาหมูมันลง ได้กำไรอีกสักนิด จะพักหลายๆ วัน”
ฉันพยักหน้า เดินจากแผงหมูของเพื่อนเก่าออกมาหลังตลาด หยุดยืนมองท้องฟ้า
(ก้อนเมฆแบบนี้ที่โอบล้อมเมืองเอาไว้)
ก้อนเมฆเคลื่อนไหวเหมือนงู เลื้อยรอบภูเขาและเตรียมตัวจากไปอย่างเชื่องช้า บนผืนฟ้านั้น จะมีใครไหมที่มีชีวิตยาวนานพอ ได้มองเห็นความฝันของทุกๆ คน ที่หมุนเวียนตามกาลเวลา
เมื่อจากอะไรมา ฉันก็ชอบเหลียวกลับไปดูเสมอ มองเห็นเพื่อนตัวเล็กๆ คนนั้นกำลังวุ่นวายกับการทำงาน
ใต้แผงหมูแผงนั้น ฉันไม่อาจรู้ได้ ว่าฝันของเธอจะเป็นจริงไหม และอะไรจะดีกว่ากัน ระหว่างร้านกาแฟ กับการเป็นแม่ค้าหมูแบบเช่นทุกวันนี้ และหากทำมันจริงๆ อย่างที่เธอคิด ชีวิตจะเป็นยังไงในวันข้างหน้า
แม้อยากจะสนับสนุนความฝันของเธอมากแค่ไหน ยังมีชีวิตจริงอีกหลายด้านที่อาจทำให้ฝันของเรากลายเป็นดอกไม้ไฟที่จุดแล้วหายวับไปกับตา
ฉันจึงได้แต่เพียง “รู้สึกดีดี” ที่อย่างน้อย ทุกวันๆ ของเธอ ใต้แผงหมูนั้น มีความฝันที่สวยงาม หล่อเลี้ยงจิตใจของเธอ
และเล่าสู่กันฟัง.